Sunday, 18 May 2025
ค้นหา พบ 48181 ที่เกี่ยวข้อง

สมุทรปราการ - ปิดชั่วคราว ! ตลาดสดหนามแดง หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด เจ้าหน้าที่เร่งทำความสะอาดพ่นยาฆ่าเชื้อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

ที่บริเวณตลาดสดหนามแดง หรือ ตลาดเทพประธาน (หนามแดง) อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ได้ทำการปิดตลาดชั่วคราว หลังพบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในตลาดสดแห่งนี้  โดยมีการติดป้ายพร้อมด้วยแผงเหล็กกั้นมาปิดกั้นบริเวณทางเข้า-ออก เพื่อปิดทำความสะอาด และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการและประชาชน ที่เดินทางมาใช้บริการยังตลาดเทพประธานแห่งนี้

โดยนาย วชิรเชษฐ์ รุ่งธวัฒน์วงศ์ นายกเทศมนตรีตำบลเทพารักษ์  หลังจากได้ทราบว่าตลาดเทพประธาน (หนามแดง) พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จึงมีความห่วงใยผู้ประกอบการและประชาชนในเขตพื้นที่รวมถึงประชาชนทั่วไป  ที่เดินทางมาจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้าภายในตลาดแห่งนี้  จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการล้างทำความสะอาดภายในตลาดเทพประธาน  และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่มาใช้บริการยังตลาดสดแห่งนี้

ด้านนาย ชาตรี อยู่วัฒนะ ในฐานะผู้บริหารตลาดเทพประธาน (หนามแดง) หรือตลาดสดหนามแดง กล่าวว่า หลังพบว่าตลาดเทพประธานมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จึงได้ทำการสั่งปิดตลาดชั่วคราวเพื่อล้างทำความสะอาด จากนั้นทางเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลเทพารักษ์  ภายใต้การอำนวยการของนาย  วชิรเชษฐ์  รุ่งธวัฒน์วงศ์  นายกเทศมนตรีตำบลเทพารักษ์  รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายโดยมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนจึงได้ร่วมลงพื้นที่ล้างทำความสะอาดและฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในตลาดเทพประธาน โดยมีนาย ธนะสิทธิ์ วงษ์แก้วบุญเรือน รองประธานสภาเทศบาลตำบลเทพารักษ์ พร้อมด้วย  สมาชิกสภาเทศบาลตำบลเทพารักษ์ นายกิตติพงษ์  อยู่วัฒนะ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 และคณะเจ้าหน้าที่กองสาธารณสุข  ร่วมลงพื้นที่ล้างทำความสะอาด รวมทั้งฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในบริเวณตลาดและพื้นที่โดยรอบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้พักอาศัย และประชาชนทั่วไปที่เดินทางมาใช้บริการรวมถึงผู้ประกอบการ

อีกทั้งยังมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าภายในตลาดเทพประธานแห่งนี้ หลังจากที่ทำการปิดตลาดเพื่อล้างทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น คาดว่าตลาดเทพประธาน หรือ ตลาดสดหนามแดง  จะกับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้งภายในวันที่ 12 มิถุนายน 2564


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

โลจิสติกส์...หัวหอกสำคัญ สู่ความสำเร็จของ JD.com

ท่านผู้อ่านน่าจะเคยได้ยินชื่อ JD.com ผู้ให้บริการขายสินค้าออนไลน์จากจีนที่ได้เข้ามาในไทยไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่ JD Group ได้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งทางด้านการค้าออนไลน์ในจีนนั้น ปัจจัยสำคัญมาจากระบบที่โลจิสติกส์ที่เข้มแข็ง

ปี 2003 ประเทศจีนเกิดการแพร่ระบาดของโรคซาร์สส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่กล้าออกมาซื้อของนอกบ้าน ริชาร์ด หลิว (Richard Liu) ที่เคยเปิดร้านขายอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์จึงมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจออนไลน์ และเริ่มก่อตั้ง JD.com ในปี 2004

แต่เดิม JD.com ได้ว่าจ้างผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอก (third party logistics) เป็นผู้กระจายสินค้าให้แก่ตน และทางบริษัทเห็นว่าการที่จะชนะคู่แข่งที่อยู่ในตลาดมาก่อนอย่าง Alibaba ได้ต้องมีระบบโลจิสติส์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ผู้ให้บริการที่มีอยู่ในขณะนั้นยังไม่สามารถตอบสนองได้ตามต้องการ จึงได้ก่อต้อง JD logistics ขึ้นในปี 2007 โดยเป้าหมายคือส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า และคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่าง Amazon ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอีคอมเมิร์ซระดับโลก 

ในปี 2010 เป็นผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายแรกที่ให้บริการการจัดส่งแบบภายในวันและการจัดส่งในวันถัดไป (same-day and next-day delivery)  ในขณะที่ Amazon ยังให้บริการจัดส่งภายใน 2 วัน และเริ่มให้บริการจัดส่งภายในวันเดียวในอีก 9 ปีต่อมา

ในปี 2016 JD.com เป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายแรกที่เริ่มให้บริการส่งสินค้าด้วยโดรน โดยมองเห็นปัญหาว่าชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล เส้นทางทุรกันดาร มีทางเลือกในการซื้อสินค้าน้อย เพราะผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าเข้าไม่ถึงเนื่องจากต้นทุนการขนส่งที่สูงและไม่คุ้มกับค่าเดินทาง  JD Logistics จึงใช้โดรนที่พัฒนาขึ้นโดย JD-X หน่วยธุรกิจใน JD Group ที่ทำหน้าวิจัยและพัฒนาระบบ Smart logistics ในการจัดส่งสินค้า ขั้นตอนการทำงาน คือ โดรนพร้อมสินค้าถูกส่งออกจากสถานีขนส่งในแต่ละเมืองและบินไปส่งสินค้าในแต่ละหมู่บ้านตามจุดกำหนด ต่อจากนั้นผู้ประสานงาน JD Logistics แต่ละชุมชนนำสินค้าไปส่งมอบให้ถึงบ้านลูกค้า โดยวิธีการนี้จากเดิมที่ต้องใช้ระยะเวลาหลายชั่วโมงในการขับรถอ้อมเขา หรือต้องต่อเรือเพื่อไปยังเกาะต่าง ๆ เหลือเพียงไม่กี่นาทีสินค้าก็ถูกส่งถึงมือลูกค้าที่อยู่ห่างไกลด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าวิธีการเดิม 

ปี 2019 JD logistics ได้เปิดตัวรถส่งสินค้าอัตโนมัติมีหน้าที่นำสินค้าไปส่งให้ยังลูกค้าตามสถานที่ต่าง ๆ ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากสถานีขนส่ง โดยรถ 3 คัน สามารถทำงานทดแทนพนักงานขนส่งสินค้าได้ถึง 2 คน จึงสามารถช่วยลดต้นทุนในการจ้างงาน และยิ่งมีประโยชน์ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัจจุบันให้บริการใน 20 เมืองในจีน

และในปี 2020 JD Logistics เปิดให้บริการจัดส่งด่วนภายในหนึ่งชั่วโมง และขยายศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะ ที่ทำการคัดแยกสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติที่เรียกว่า ”Asia No.1 logistics park” ไปยัง 28 แห่งทั่วประเทศจีน เพื่อเพิ่มพื้นที่การให้บริการจัดส่งสินค้าแบบภายในวันและการจัดส่งในวันถัดไป โดยเพิ่มจาก 6 เมืองเมื่อสิบปีที่แล้วเป็น 200 เมือง ในส่วนเมืองขนาดเล็กที่ไม่คุ้มกับการสร้างศูนย์กระจายสินค้าของตนเอง ได้มีความร่วมมือกับผู้ประกอบการขนส่งในท้องถิ่นให้ทำการจัดเก็บและกระจายสินค้าให้ผ่านระบบของ JD Logistics จนในปัจจุบันมีเครือข่ายคลังสินค้าถึง 1,000 แห่ง และมีพื้นที่รวมกันมากถึง 21 ล้านตารางเมตร

จากตัวอย่างที่เล่ามาเห็นได้ว่า JD.com ได้มุ่งเน้นกลยุทธ์สร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านการตอบสนองที่รวดเร็ว เพื่อให้ได้ผลตามกลยุทธ์ที่ตั้งไว้จึงได้มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ทางด้านโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้เป็นที่หนึ่งทางด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซของจีน

 

ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.chinadaily.com.cn/a/202012/25/WS5fe54b99a31024ad0ba9e7f6.html

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/autonomous-delivery-vehicles-deployed-in-chinese-cities-amid-the-covid-19-pandemic

https://www.businessinsider.com/how-chinese-ecommerce-giant-jd-logistics-built-up-to-34-billion-ipo-2021-5

https://corporate.jd.com/ourBusiness#jdLogistics


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“พอเพียงสู่ความยั่งยืน” จากมุมมองของครูบัญชี (ตอนที่2) 'ทางสายกลาง'​ ภูมิคุ้มกัน​ธุรกิจ SME​ ไทย ในมุมมองของครูบัญชี

ตอนที่แล้วผู้เขียนได้พูดถึงแนวทางในการเริ่มต้นการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurs) เพื่อประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-Size Enterprises หรือ MSME) ซึ่งหลาย ๆ ท่านยังมีคำถามในใจว่าควรจะเริ่มต้นประกอบธุรกิจในรูปแบบใดดี ในตอนที่แล้วมีคำตอบให้กับทุกท่านในเบื้องต้น  สำหรับในตอนที่ 2 นี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงประเภทและขนาดของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจในการเลือกประเภทของธุรกิจที่เหมาะสมสำหรับดำเนินงานของแต่ละบุคคล

พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 และกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2562 กำหนดประเภทและลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไว้โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

หมายเหตุ วิสาหกิจรายย่อยเป็นส่วนหนึ่งของวิสาหกิจขนาดย่อม

ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
สำหรับการเป็นผู้ประกอบการกิจการผลิตสินค้า การค้าและบริการ ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นั้น เมธสิทธิ์ พูลดี (2562) ได้อธิบายความหมายของประเภทกิจการแต่ละประเภทดังนี้ 

การเป็นผู้ประกอบการกิจการผลิตสินค้าเป็นลักษณะของการประกอบการเปลี่ยนรูปวัตถุให้เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ด้วยเครื่องจักรกลหรือเคมีภัณฑ์โดยไม่คำนึงว่างานนั้นทำโดยเครื่องจักรหรือด้วยมือ ทั้งนี้ การประกอบกิจการผลิตสินค้ารวมถึงการแปรรูปผลิตผลการเกษตรอย่างง่ายที่มีลักษณะเป็นการอุตสาหกรรม การผลิตที่มีลักษณะเป็นวิสาหกิจชุมชนและการผลิตที่เป็นการประกอบอุตสาหกรรมในครัวเรือน

การเป็นผู้ประกอบการกิจการการค้า ที่ประกอบด้วยกิจการค้าส่งและค้าปลีก หมายถึง การให้บริการเกี่ยวกับการค้าโดยที่การค้าส่ง หมายถึง การขายสินค้าใหม่และสินค้าใช้แล้วให้แก่ผู้ค้าปลีก ผู้ใช้ในงานอุตสาหกรรม ผู้ใช้งานวิชาชีพ งานพาณิชยกรรม สถาบัน และรวมถึงการขายให้แก่ผู้ค้าส่งด้วยกันเอง ส่วนการค้าปลีก หมายถึง การขายโดยไม่มีการเปลี่ยนรูปสินค้าทั้งสินค้าใหม่และสินค้าใช้แล้วให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อการบริโภคหรือการใช้ประโยชน์เฉพาะส่วนบุคคลในครัวเรือน รวมถึงการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนการซื้อขาย สถานีบริการน้ำมัน และสหกรณ์ผู้บริโภค เป็นต้น

การเป็นผู้ประกอบการกิจการการบริการ หมายความครอบคลุมถึง การศึกษา การสุขภาพ การบันเทิง การขนส่ง การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ การโรงแรมและหอพัก การภัตตาคาร การขายอาหาร การขายเครื่องดื่มของภัตตาคารและร้านอาหาร การให้บริการเช่าสิ่งบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ การให้บริการส่วนบุคคล บริการในครัวเรือน บริการที่ให้ธุรกิจ การซ่อมแซมทุกชนิด การท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว

หลายท่านคงมีข้อมูลประเภทของธุรกิจในใจแล้วว่าจะเลือกดำเนินธุรกิจประเภทใดดี แนวโน้มของธุรกิจที่เลือกจะเติบโตในอนาคตหรือไม่ ผู้เขียนมีข้อมูลบางส่วนจากรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2562 รายงานโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งรายงานบทบาทของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.3 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รวมทั้งประเทศ หากมีการพิจารณาตามขนาดวิสาหกิจพบว่าวิสาหกิจรายย่อย (Micro) คิดเป็นร้อยละ 2.9 วิสาหกิจขนาดย่อม (SE) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.3 และวิสาหกิจขนาดกลาง (ME) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.1 

สังเกตรายละเอียดได้จากรูปที่ 1 ที่แสดงโครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามขนาดวิสาหกิจ

รูปที่ 1 โครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามขนาดวิสาหกิจ
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

สำหรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ในปี 2562 ภาคบริการยังคงเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญสูงสุด ลำดับถัดมาคือภาคการค้าปลีกและค้าส่ง และภาคการผลิต คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.8  31.1 และ 20.3 ตามลำดับ 

รายละเอียดตามตารางที่ 1 ภาพรวมของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ตารางที่ 1 ภาพรวมของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

คิดว่า ณ จุดนี้ผู้อ่านคงได้แนวความคิดในการเลือกประเภทของธุรกิจในการเริ่มต้นที่จะเป็นผู้ประกอบการได้แล้ว แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกประเภทธุรกิจใดก็ตามผู้เขียนมีข้อเสนอแนะว่าการสร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจมีการเติบโตแบบยั่งยืนนั้นปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) ซึ่งเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทย ก็ยังมีประโยชน์มากมายสำหรับการประกอบธุรกิจไม่ว่าในระดับใดก็ตาม เนื่องจากเป็นปรัชญาที่ยึดหลักสายกลางที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนทุกระดับให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำต่าง ๆ 

ดังรูปที่ 2 แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

รูปที่ 2 แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่พอประมาณ เป็นต้น

ความมีเหตุผล หมายถึง การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ

การมีภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องอาศัยความรู้และคุณธรรมเป็นเงื่อนไขพื้นฐาน 

ความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน

คุณธรรม หมายถึง การยึดถือคุณธรรมต่าง ๆ เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง 

จะเห็นได้ว่าพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ที่ทรงมอบให้ประชาชนชาวไทยในเรื่องของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) เป็นประโยชน์อันมหาศาลต่อชนชาวไทยทุกกลุ่มในการนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการในยุคใหม่ ๆ ที่ตลาดการค้าในปัจจุบันมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง อย่างน้อยในเริ่มแรกของการเป็นผู้ประกอบการจะช่วยสร้างให้องค์การมีภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

 

ข้อมูลอ้างอิง

- เมธสิทธิ์ พูลดี. (2562).  ตัวแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในประเทศไทย (ปริญญานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต).  กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีปทุม
- สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ.  (2559).  เศรษฐกิจพอเพียง.  กรุงเทพฯ : สำนักงาน
- สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม.  (2563).  รายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ปี 2563.  กรุงเทพฯ : สำนักงาน


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โฆษกคณะก้าวหน้า ‘ช่อ พรรณิการ์’ ด้อยค่าวัคซีนซิโนแวค ชี้มีประสิทธิภาพประมาณ 50% เท่านั้น ต่อให้ฉีดให้คนครบ 100% ทั้งประเทศ ภูมิก็ไม่ขึ้นถึง 70-75% คาใจ เหตุใด ‘อนุทิน’ ยังสั่งเพิ่มต่อเนื่อง

แม้ว่า คุณนวลพรรณ ล่ำซำ ผอ.ฝ่ายสื่อสารองค์กรกิตติมศักดิ์ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ได้ออกมาชี้แจงทุกประเด็นเกี่ยวกับการผลิต และส่งมอบวัคซีนแอสตราเซนเนก้า ของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ 

ที่ได้ส่งมอบวัคซีนโควิด-19 ล็อตแรก จำนวน 1.8 ล้านโดสไปเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2564 ให้กับแอสตราเซนเนก้า โดยทางบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ถือเป็นโรงงานเดียวในไทยและเอเชียที่มีศักยภาพในการผลิตวัคซีน หลังจากได้ลงนามร่วมกันเมื่อเดือนธันวาคม 2563 ไปแล้วก็ตามที

ถึงกระนั้น ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ก็ยังคงคาใจเรื่องการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซนเนก้า โดยได้โพสต์ข้อมูลผ่านทางเฟซบุ๊ก Pannika Chor Wanich โดยมีข้อความระบุว่า...

งงค่ะ เมื่อวานบอกว่าที่ส่งมอบ 1.8 ล้านโดสคือให้ไทย แต่วันนี้บอกส่งให้แอสตร้าเซเนก้า แล้วแต่แอสตร้าจะไปจัดสรรให้ประเทศไหน สรุปว่าเดือนนี้ไทยได้กี่โดสกันแน่จากแอสตร้า?

แต่การที่ สธ.แถลงว่า เดือนนี้มีวัคซีนฉีดให้ประชาชน 6 ล้านโดส (ซึ่งเป็นตัวเลขแผนที่เคยระบุไว้ว่าเดือนมิ.ย. แอสตร้าต้องส่งวัคซีนให้ไทย 6 ล้านโดส) แต่เป็นซิโนแวคบวกแอสตร้า และตอนนี้ไทยยังมีซิโนแวคเหลือในมืออีกประมาณ 2 ล้านโดส 

บวกสั่งมาใหม่อีก 3 ล้านโดสในเดือนนี้ ก็หมายความว่าเดือนนี้เราน่าจะได้ฉีดซิโนแวคเป็นหลัก เพราะมีอยู่ถึง 5 ล้าน จาก 6 ล้านโดสที่เป็นโควตาวัคซีนเดือนนี้

ปล. อนุทินยังสั่งซิโนแวคมาอีก 11 ล้านโดส อาจเป็นการสำรองใช้เผื่อแอสตร้าส่งมอบได้ไม่ตรงตามแผนในเดือนถัดๆ ไปหรือไม่?

ปล.2 ใครที่คิดว่าวัคซีนอะไรก็เหมือนๆ กัน โปรดเข้าใจว่าซิโนแวคซึ่งมีประสิทธิภาพประมาณ 50% ในการป้องกันโรค ย่อมไม่สามารถทำให้เกิดภูมิต้านทานหมู่ได้ หรือเกิดช้ากว่าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง 70-95% เพราะต่อให้ฉีดให้คนครบ 100% ทั้งประเทศ ภูมิก็ไม่ขึ้นถึง 70-75% 

ดังมีตัวอย่างในชิลี ที่ปูพรมฉีดซิโนแวคให้ประชากรเกิน 60% ไปแล้วแต่กลับเจอระบาดซ้ำระลอกใหม่ ในขณะที่อิสราเอล สหรัฐฯ ฉีดวัคซีนให้ประชากรด้วยอัตราใกล้เคียงกัน และไม่เจอระบาดซ้ำ เพราะฉีดไฟเซอร์ โมเดอร์นาเป็นหลัก

 

ที่มา: https://www.facebook.com/chor.wanich

https://www.facebook.com/336295587309275/posts/832268897711939/

https://www.thaipost.net/main/detail/105184


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ส่อง 'เวียดนาม' ตลาดเงินดิจิทัลสุดร้อนแรง แห่งย่านอาเซียน

จากปรากฏการณ์ตื่นเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ โดยเฉพาะ บิทคอยน์ที่มูลค่าสูงขึ้นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา ดึงกระแสนักลงทุนที่ต่างพร้อมใจถลกแขนเสื้อ กระโดดลงมาเล่นในตลาดเงินดิจิตอลกันอย่างคึกคัก ไม่เว้นแม้แต่บ้านเราที่มีการพูดคุยกันถึงทิศทางการลงทุนในตลาดเงินคริปโตกันแบบรายวันไม่แพ้ตลาดหุ้น 

แต่ใครจะคาดคิดว่า ตลาดในประเทศเพื่อนบ้านย่านอาเซียนของเรากลับจริงจังในการลงทุนในคลังคริปโตเคอร์เรนซียิ่งกว่า จนมีสัดส่วนการถือครองเงินดิจิตอลที่มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก 

ประเทศที่กำลังพูดถึงนี้ก็คือ เวียดนาม 

จากการสำรวจของ Statista Global Consumer Survey ในปี 2020 พบว่าประเทศที่มีสัดส่วนประชาชนที่ถือครอง หรือใช้เงินคริปโตเคอร์เรนซี่ในการแลกเปลี่ยน ซื้อขายจริง ๆ ในโลก อันดับ 1 คือ ไนจีเรีย อยู่ที่ 32%  ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของเวียดนาม 21% และที่ 3 ก็ยังเป็นประเทศในย่านอาเซียน คือ ฟิลิปปินส์ 20%  ซึ่งห่างจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างมาก ที่มีสัดส่วนผู้ถือเงินดิจิตอลเพียง 6% 

นับว่าเวียดนาม และฟิลิปปินส์ มีการใช้สกุลเงินดิจิตอล นอกเหนือจากเงินประจำชาติของตนแพร่หลายมากกว่าใคร ๆ ในอาเซียน

แต่หากเทียบกันระหว่าง เวียดนาม กับ ฟิลิปปินส์ กับนโยบายด้านการเงิน การธนาคารของทั้ง 2 ประเทศ ก็พบว่ามีความแตกต่างกันตรงที่ รัฐบาลฟิลิปปินส์เปิดกว้างในการใช้เงินคริปโตในระบบการเงินมากกว่าเวียดนามอย่างมาก 

ธนาคารกลางของฟิลิปปินส์อนุมัติการซื้อ - ขายเงิน

คริปโตเคอร์เรนซีหลากหลายสกุลได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย แถมรัฐบาลยังลงมาร่วมเป็นเจ้ามือเองด้วยการพัฒนาระบบบล็อคเชนของตัวเอง ที่เรียกว่า bonds.ph ร่วมกับธนาคาร Unionbank และนำพันธบัตรรัฐบาลออกขายผ่านระบบบล็อคเชนนี้ด้วย และยังมีการติดตั้ง Bitcoin ATM ในใจกลางกรุงมะนิลาอีกต่างหาก

แต่สำหรับรัฐบาลสังคมนิยมแบบเวียดนาม ไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนทิ้งเงินดอง ไปถือครองเงินดิจิตอลขนาดนั้น แถมในช่วงแรก ๆ ที่มีกระแสเงินบิทคอยน์ในเวียดนาม รัฐบาลยังออกมาเตือนถึงความเสี่ยง และยังไม่อนุญาตให้ใช้คริปโตซื้อขายสินค้าได้ในตลาดจริง แต่ทำไมตลาดเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ในเวียดนาม ยังคงคึกคัก แซงหน้าเป็นเบอร์ 1 ในอาเซียนได้อย่างไร

ถึงแม้ว่ารัฐบาลเวียดนามจะห้ามใช้คริปโตเคอร์เรนซี ในระบบเงินสดดั้งเดิม แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้ "ขุด" ชาวเวียดนามก็สามารถเปิดเหมืองขุดคริปโตกันได้อย่างเต็มที่เท่าที่อยากจะขุด ดังนั้นจุดเริ่มต้นของกระแสคริปโตบูมในเวียดนาม จึงมาจากสายขุด ไม่ใช่สายเทรด ที่ทำให้มียอดการสั่งซื้อเครื่องขุดเงินดิจิตอล หรือในบ้านเราเรียกว่าเครื่อง "เสียบปลั๊กรับตังค์" ในเวียดนามเป็นจำนวนมาก

ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา มียอดนำเข้าเครื่องขุดเหรียญคริปโต ไม่ต่ำกว่า 7,000 เครื่อง และสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่นอกเหนือจากการตั้งหน้า ตั้งตาขุดเพื่อเก็งกำไรแล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวเวียดนามมีทักษะคติในแง่ดีกับการมีอยู่ของเงินคริปโต อาจมาจากระเบียบข้อบังคับด้านการเงินที่เข้มงวดอย่างมากในประเทศ 

เลยทำให้การถือครองเงินดิจิตอลของชาวเวียดนามกลายเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพส่วนบุคคล ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโอนเงิน แลกเปลี่ยนทำธุรกรรมกับต่างประเทศ ที่สามารถทำได้รวดเร็วกว่าผ่านธนาคารที่มีขั้นตอนเยอะ และต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยรัฐบาลเวียดนาม

จนทำให้ทุกวันนี้มีชาวเวียดนามมากกว่า 1 ล้านคนที่ถือบัญชีกระเป๋าเงินคริปโตที่ใช้งานอยู่ประจำ และยังนิยมเทรดเงินคริปโตในแพลตฟอร์มต่างประเทศแม้จะไม่มีภาษาเวียดนามรองรับ เช่น Poloniex และ Bittrex ที่พบชาวเวียดนามล็อคอินเข้าทำการซื้อขายในระบบสูงมากติดอันดับต้นๆของลูกค้าจากหลากหลายประเทศทั่วโลกจนนักวิเคราะห์การเงินมองว่า ตลาดเงินดิจิตอลในเวียดนามจะเติบโตได้อีกมาก และอาจเพิ่มได้อีกถึง 30 เท่าภายในปี 2030  

เหตุที่ทำให้พฤติกรรมของนักลงทุนในเวียดนามเปลี่ยนไปในรูปแบบดิจิตอลอย่างรวดเร็ว มีอยู่หลายปัจจัย 

อย่างแรกคือ เวียดนามมีตลาดของผู้ใช้เงินนอกระบบสูงกว่าทุกชาติในย่านอาเซียน 

จากข้อมูลขององค์การสหประชาติพบว่า มีผู้ใหญ่ชาวเวียดนามทำธุรกรรมผ่านสถาบันผู้ให้บริการด้านการเงินเพียง 30% ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณธุรกรรมในระบบธนาคารของชาวอาเซี่ยนทุกประเทศที่สูงถึง 69% 

ดังนั้นจึงมีชาวเวียดนามที่เข้าไม่ถึงระบบบัญชีธนาคารอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ทำให้ระบบเงินดิจิตอลเข้ามาตอบโจทย์ในการทำธุรกรรมการเงินที่รวดเร็วกว่า เข้าถึงง่าย และมีอิสระกว่า 

แต่ทั้งนี้ แค่การขุด การเทรดเพื่อเก็งกำไร ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดกระแสความนิยมเงินคริปโตได้ถึงระดับนี้ หากขาดการสนับสนุน ผลักดันจากภาครัฐอย่างจริงจัง 

ถึงแม้ว่ารัฐบาลเวียดนามจะยังไม่รับรองการใช้เงิน คริปโตแทนเงินสดจริงในประเทศ แต่สิ่งที่รัฐบาลพยายามผลักดันคือ Fintech หรือ เทคโนโลยีการเงินรูปแบบใหม่

รัฐบาลเวียดนามใช้งบลงทุนในโครงการ Fintech มากเป็นอันดับต้น ๆ ในอาเซียน เป็นรองเพียงสิงคโปรเท่านั้น ทั้งโปรเจคการสร้าง ฮานอย สมาร์ท ซิตี้ ตั้งเป้าหมายในการเป็น Hub ด้าน Fintech ในย่านนี้ หรือการสนับสนุน Start-up รุ่นใหม่ในประเทศที่พัฒนาระบบมาต่อยอดการใช้งานระบบ Fintech สู่คนในสังคม 

มีข้อมูลว่า ในช่วงระหว่างปี 2017 -2020 มีจำนวน Fintech Start-up ในเวียดนามเพิ่มขึ้นถึง 179% ในจำนวน Start-up เกิดใหม่กว่า 30% เป็นผู้ให้บริการด้านการเงิน ระบบจัดการกระเป๋าเงินอิเล็คทรอนิค รวมถึงแอบพลิเคชั่นสำหรับการลงทุนแลกเปลี่ยนเงินคริปโตโดยเฉพาะ 

การขยายตัวของธุรกิจ Fintech ในเวียดนามก็สร้าง Start-up ระดับยูนิคอร์น ที่มีมูลค่าธุรกิจเกิน 1 พันล้านเหรียญได้เป็นตัวที่ 2 ของประเทศได้ในที่สุด นั่นก็คือ VNPay 

แต่รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าไกลกว่านั้น นอกจากการบรรลุเป้าหมายโครงการ ฮานอย สมาร์ทซิตี้ ศูนย์กลางเทคโนโลยีการเงินใหม่ในย่านอาเซียนแล้ว เวียดนามจะต้องมี Fintech Start-up ระดับยูนิคอร์นให้ได้ถึง 10 บริษัทภายในปี 2030 

นั่นจึงเป็นเหตุให้เทคโนโลยีบล็อคเชน และความนิยมเงินดิจิตอลในเวียดนามเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงตลอด 5 ปีที่ผ่านมา บวกกับทัศนคติของชาวเวียดนามรุ่นใหม่ ที่เรียนรู้เทคโนโลยีได้เร็ว มีความมุ่งมั่นในเป็นผู้ประกอบการ และกล้าลงทุน 

ปัจจุบัน เวียดนามมีประชากรราว ๆ 96.5 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกว่า 7% ในแต่ละปี แต่มีเพียง 4 ล้านคนที่มีกระเป๋าเงินดิจิตอลทั่วไปที่ใช้ในประเทศ จึงยังมีกลุ่มตลาดอีกมากมายให้บริษัท Fintech รุ่นใหม่ได้เติบโต และอาจมีการพิจารณาแก้ไขกฏหมายเรื่องการถือครองสินทรัพย์ ดิจิตอลในเร็วๆ นี้ 

แต่ทั้งนี้ ก็ยังคงต้องเตือนประชาชนถึงความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดเงินคริปโต และด้วยโครงสร้างการเมือง การปกครอง รัฐบาลเวียดนามยังไม่อาจปล่อยให้เงินคริปโตไหลเวียนในระบบการเงินในประเทศได้อย่างอิสระ 

ถึงอย่างนั้นก็ดี สิ่งที่น่าสนใจคือ กระแสคริปโตเคอร์เรนซีในเวียดนามจะบูมจนทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาสับสวิทช์ หรือคิดใหม่อีกครั้งหรือไม่ และ โครงการ ฮานอย สมาร์ทซิตี้ จะกลายเป็นโมเดลเมือง Fintech ของหลายประเทศในย่านอาเซียนได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องจับตาดูกัน

 

ข้อมูลอ้างอิง

https://m.sggpnews.org.vn/business/vietnam-has-second-highest-rate-of-cryptocurrency-use-91737.html

https://www.asiablockchainreview.com/outlook-for-vietnams-blockchain-and-crypto-industries-in-2020/

https://www.citypassguide.com/blog/the-rise-of-cryptocurrency-in-vietnam

https://vietnaminsider.vn/why-vietnam-ranked-top-among-countries-use-cryptocurrency-the-most/

https://www.businesstimes.com.sg/asean-business/cryptocurrencies-have-driven-vietnams-fintech-boom-white-paper

https://news.bitcoin.com/vietnam-plans-to-regulate-digital-currencies-after-commissioning-a-crypto-research-group/

https://news.bitcoin.com/cryptocurrency-mining-soars-vietnam-7000-rigs-imported/

https://fintechnews.sg/45354/vietnam/2020-fintech-vietnam-report-and-startup-map/

https://e.vnexpress.net/news/business/companies/digital-payment-firm-vietnam-s-second-startup-unicorn-4199895.html


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top