‘ทักษิณ’ โชว์ตัวงานซอฟต์พาวเวอร์ เปิดตัว ThaiWORKS ต่อยอดโอทอป โอดการเมืองไร้สาระ ฉุดพัฒนา ลั่นความไม่สามัคคี อิจฉาริษยา เป็นปัญหาใหญ่ประเทศ

(9 ก.ค. 68) เมื่อเวลา 12.45 น. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางร่วมงาน SPLASH soft power forum 2025 เพื่อโชว์วิสัยทัศน์ในหัวข้อ “Crafting the Future: From OTOP to ThaiWORKS and Beyond“ โดยถือเป็นการเจอสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการครั้งแรกภายหลังเงียบหายวงสัมภาษณ์สื่อไปนาน ตั้งแต่เกิดข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ปมคลิปเสียง โดยนายทักษิณมีสีหน้ายิ้มแย้มทักทายแฟนคลับ ขณะที่ภายในงานมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามี และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พร้อมสามี มาร่วมรับฟังการโชว์วิสัยทัศน์ของนายทักษิณด้วย

จากนั้นเวลา 13.30 น. นายทักษิณ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์บนเวทีถึงจุดเริ่มต้นของโอทอป ว่า ตนเติบโตที่ชินวัตรไหมไทย เห็นงานแฮนดิคราฟต์มาตลอด ไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ไปไม่ได้ไกลอย่างที่คิด ดังนั้นถ้าเรามีการออกแบบใหม่ๆ การดีไซน์ใหม่ๆ และการตลาดดีๆ มันน่าจะไปได้ไกลกว่านั้น จึงดูตัวอย่างของญี่ปุ่นและทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อหวังช่วยชาวบ้านให้มีรายได้ และตอนที่ตนอยู่เมืองนอก Peter Arnell ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์มาพบกับตน เป็นคนสร้างแบรนด์และทำงานกับ Samsung มาตลอด เลยชวนมาทำ ThaiWORKS ต่อยอดจากโอทอป ตนรู้ว่าโลกยุคนั้นต้องสร้างแบรนด์ แต่ว่าบริษัทเล็กๆ หมด หากจะสร้างแบรนด์ต้องใช้เงินเยอะเพื่อนำไปสู่สากล ดังนั้นให้มาเกาะปีกแบรนด์ไทยแลนด์จึงจะสร้างแบรนด์ไทยแลนด์บายยี่ห้อใคร เมื่อแบรนด์แข็งแรงแล้วก็สร้างแบรนด์ตัวเอง จึงอยากจะไปทำร้านในเมืองใหญ่ๆ ในศูนย์ช้อปปิ้งทั้งหลายเพื่อเป็นโชว์รูมของประเทศไทย

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ปรากฏว่าช่วงที่คิดเป็นช่วงปลายปี 2548 เป็นช่วงที่การเมืองเริ่มยุ่งแล้ว บ้านเราเสียเวลาเรื่องการเมืองที่ไร้สาระมากกว่าเรื่องที่มีสาระ เลยทำให้เรื่องมีสาระถูกละเลยเป็นประจำ เป็นช่วงๆ เมื่อเจอปีเตอร์เลยอยากสานต่อเพื่อให้แนวคิดเป็นสากล

“และเป็นช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ แต่พอดีมีปฏิวัติเสียก่อนเลยต้องพักไป ตอนนี้กลับมาใหม่ จะเอาของเก่าที่ดีไซน์ไว้มารีเฟรชใหม่ และดูว่าจะขับเคลื่อนอย่างไรต่อ จำไว้ว่าผมเป็นรัฐบาลหรือไม่เป็นรัฐบาล ไม่มีเลิกทำ เพราะที่ทำทั้งหมดออกเงินเองเพราะต้องการให้เป็นโซเชียลเอนเตอร์ไพรซ์ของคนไทย ไม่ใช่ของการเมือง เพื่อให้การพัฒนาประเทศในด้านครีเอทีฟอีโคโนมีต่อเนื่องยาวนาน” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ต้องรีบทำให้สินค้าหรือดีไซน์แบบของไทยทำเงินได้ เด็กรุ่นใหม่โดยเฉพาะเจน Z จะห่วงเรื่องสถานะการเงินของเขามาก ถ้าเขาไม่มีช่องทางหารายได้ เขาก็ทิ้ง แต่ขึ้นกับเศรษฐกิจ เราจะต้องทำเศรษฐกิจฟื้นตัวให้ได้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวทำอะไรก็ขายได้ วันนี้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจยากกว่าสมัยก่อนเพราะหมักหมมมานาน แต่ก็ต้องแก้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัววันนั้นคนรุ่นใหม่จะหันกลับเป็นช่องทางทำมาหากินอีกช่องทางหนึ่ง

“วันนี้มันอยู่ที่การเอาจริงเอาจัง หากรัฐเอาจริงเอาจัง ข้าราชการก็ร่วมมือ เมื่อข้าราชการร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ วันนี้กระทรวงมหาดไทยต้องร่วมมือเต็มที่ เป็นกระทรวงสำคัญที่จะนำนโยบายไปสู่ประชาชน นั่นคือผู้ว่าฯ นายอำเภอกำนันผู้ใหญ่บ้าน เขาอยู่ติดชาวบ้านที่สุด ถ้าเขาร่วมมือปุ๊บทุกอย่างจะขับเคลื่อนได้ คนที่ช่วยขับเคลื่อนคือกระทรวงมหาดไทยต้องมูฟ” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 10 ก.ค.ตนจะเอาแนวคิดที่จะทำไทยเวิร์คมาคุยกับปีเตอร์ โดยจะดูว่าอะไรที่จะนำไปลงหมู่บ้านชุมชน ก็จะฝากให้รมว.มหาดไทย รมว.อุตสาหกรรมไปช่วยกัน วันนี้เอสเอ็มอีเรามีปัญหาเพราะโดนเอาของจีนราคาถูกมาขาย ซึ่งตนจะเชิญเอสเอ็มอีมาฟังเรื่องราวทั้งหมด ดังนั้นการขับเคลื่อนของไทยเวิร์คจะลงไปในสองระดับ ส่วนระดับสู่ตลาดโลกนั้นเราจะใช้ทีมของปีเตอร์ซึ่งมีความกว้างขวางในวงการตลาดโลกพอสมควร รู้จักแบรนด์ต่างๆ ว่าเราจะผลิตป้อนแบรนด์หรือจะดีไซน์ร่วมอย่างไร หรือจะทำแบรนด์ของเราต่างหาก เหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำต่อไป รอให้ท่านนายกฯ ได้กลับไปทำงานก่อน ตนเป็นคนใจร้อนตอนนี้ 76 ปีแล้ว ไม่รู้จะอยู่ได้นานแค่ไหน รีบๆ ทำเถอะ

นายทักษิณ กล่าวถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ว่า ตนทำมาทุกอย่างผ่านมาเยอะ ตอนนี้คนในฮอลิวูดส์เริ่มซื้อสคริปต์หนังไทยไปแปลแล้ว เพราะคนไทยเขียนนิยายเก่ง โดยเฉพาะการเมือง นิยายน้ำเน่าเยอะ ฉะนั้นหากเราทำหนังดีๆมีคุณภาพและเปิดตลาดให้กว้างขึ้นแล้วรัฐช่วยสนับสนุน โดยคุยกับสถาบันการเงินจะทำให้หนังไทยโตได้ ส่วนเรื่องการคืนภาษีทำให้ต่างประเทศได้ก็ทำให้คนไทยได้เช่นกัน สำหรับผู้สร้างภาพยนตร์วันนี้ต้องทำสมองให้พัฒนาในการทำงาน อย่าไปพัฒนาการทำร้ายซึ่งกันและกันประเทศมันอยู่ไม่ได้

นายทักษิณ กล่าวถึง อนาคตซอฟต์พาวเวอร์ของไทย จะขับเคลื่อนอย่างไร และจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้จริงหรือไม่ว่า ก่อนอื่นปัญหาใหญ่ของประเทศนั่นคือความไม่สามัคคี มีความอิจฉาริษยา ถ้าเราอยู่ด้วยความสามัคคี ไม่อิจฉาริษยา เกื้อกูลกันซอฟต์พาวเวอร์จะมีพลังมหาศาล ถ้าคนไทยมีสิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วจะสามารถสร้างพลังซอฟต์พาวเวอร์ได้หลากหลายสาขาหลากหลายช่องทาง นั่นคือช่องทางทำมาหากินทั้งนั้น แม้โลกจะมีเทคโนโลยีใหม่ ทันสมัยแค่ไหนก็หนีคำว่าซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้ ทุกอย่างต้องไม่ทิ้งแกนเดิม เรามีของดีอยู่แล้ว เรามีคนไทยซึ่งมีสายเลือดอยู่ในพวกนี้อยู่แล้ว ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่สำคัญคือพอสร้างขึ้น พอคนนั้นเริ่มโต คนนี้มาอิจฉากัน ตรงนี้ต้องทิ้งๆไว้บ้าง เข้าวัดหน่อย