อัยการย้ำเมาแล้วขับริบรถหวังลดความสูญเสีย เผยชลบุรีแชมป์ประเทศไทย

เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.68) ที่ห้องเยอร์บีร่า 2 ชั้น 3 อาคารล็อบบี้ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ มูลนิธิเมาไม่ขับร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด จัดแถลงข่าวแนวทางใหม่ฟ้องคดีเมาแล้วขับ เสนอศาลริบรถ โดยมีนายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด, นายโกเมท ทองภิญโญชัย อธิบดีอัยการ สำนักงานวิชาการ, นายวรวุฒิ วัฒนอุตภานนท์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานวิชาการ, ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุดและนายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมในการแถลงข่าวชี้แจงแนวทางการปฏิบัติของอัยการทั่วประเทศ 

นายจุมพล พันธุ์สัมฤทธิ์ รองอัยการสูงสุด เปิดเผยว่าอัยการถือเป็นทนายของแผ่นดิน มีหน้าที่ในการฟ้องผู้กระทำความผิดเพื่อขอให้ศาลลงโทษเพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข บทบาทหน้าที่ของอัยการจึงเป็นที่พึ่งของประชาชนในการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม

คดีเมาแล้วขับที่ผ่านมาอัยการได้ทำหน้าที่ฟ้องร้องผู้กระทำความผิดต่อศาลทั่วประเทศมีสถิติสูงมาก ปีพ.ศ.2567 มีคดีที่ฟ้องต่อศาล 101,864 คดี 10 อันดับคดีเมาแล้วขับสูงสุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรี 12,346 2.กรุงเทพฯ 11,673 3.จังหวัดนครราชสีมา 7,066 4.จังหวัดอุบลราชธานี 6,038 5.จังหวัดสมุทปราการ 5,557 6.จังหวัดเชียงใหม่ 5,153 7.จังหวัดสุรินทร์ 3,225 8.จังหวัดอุดรธานี 2,696 9.จังหวัดขอนแก่น 2,639 10.จังหวัดระยอง 2,218

ทั้งนี้พฤติกรรมเมาแล้วขับปัจจุบันสังคมมองว่าเป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายกับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ตนในฐานะรองอัยการสูงสุดปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ได้มีหนังสือที่ อส 0007(ปผ)/ว 197 เรื่องแนวทางปฏิบัติในการดำเนินคดีผู้ขับรถขณะเมาสุราแล้วทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่น ไปถึงรองอัยการสูงสุด ผู้ตรวจการอัยการ อธิบดีอัยการ อธิบดีอัยการภาค อัยการพิเศษฝ้าย เลขานุการอัยการสูงสุด เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ อัยการจังหวัด ผู้อำนวยการสถาบัน เลขาธิการสำนักงาน อัยการสูงสุด และผู้อำนวยการสำนักงาน โดยให้พนักงานอัยการพิจารณาว่าพฤติการณ์ในการขับรถขณะเมาสุราของผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีมีลักษณะเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงถึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (8) ด้วยหรือไม่ หากพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาได้ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดดังกล่าวด้วย และยังมิได้มีการแจ้งข้อหาดังกล่าวแก่ผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหา และในการฟ้องคดีให้พนักงานอัยการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ อส (สฝปผ.) 0018/ว 380 ลงวันที่ 29 กันยายน 2549 ตามที่อ้างถึงด้วย

รองอัยการสูงสุด ยังเปิดเผยต่อไปอีกว่าแนวทางปฏิบัติในเรื่องนี้ตนเชื่อว่าจะช่วยลดพฤติกรรมเมาแล้วขับได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ปัจจุบันประชาชนมีทางเลือกในการที่จะไม่เสี่ยงกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเมาไม่ขับได้หลายทางเลือก โดยเลือกใช้บริการรถสาธารณะก็จะปลอดภัยทั้งกับตนเองและไม่ก่อผลกระทบกับผู้อื่นบนท้องถนน เนื่องจากพฤติกรรมการเมาแล้วขับก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก 

ทางด้านนายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่าขอขอบคุณท่านอัยการสูงสุดที่เห็นความสำคัญของปัญหาเมาแล้วขับ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละ 5 แสนล้านบาท ทุกๆปีจะมีคนไทยเสียชีวิต 17,000 – 20,000 คน เป็นอย่างต่ำ ย้อนหลังไป 10 ปี พ.ศ.2556 – 2566 คนไทยเสียชีวิตรวม 2 แสนคนทั่วประเทศ เท่ากับประชากรจังหวัดเล็กๆจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยสูญหายไปหมดทั้งจังหวัดเลย แนวทางที่ทางสำนักงานอัยการสูงสุดออกมาเรื่องการเสนอขอให้ศาลริบรถคนเมาแล้วขับที่ก่อให้เกิดความเสียหายในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์บนท้องถนนตนเชื่อว่าจะทำให้คนที่คิดจะเมาแล้วขับต้องคิดหนัก เพราะการถูกริบรถที่ก่อเหตุจะส่งผลกระทบกับวิถีขีวิตของบุคคลนั้น ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ในฐานะที่ตนทำงานรณรงค์สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายเมาไม่ขับมากว่า 30 ปี ขอสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชนทั่วประเทศถ้าไม่อยากถูกริบรถก็อย่าเมาแล้วขับ