‘พิธา’ ชี้ ต้องมองหลาย ๆ มุมปมหนุนใช้บิตคอยน์ในไทย หลัง ‘ทักษิณ’ เล็งใช้ภูเก็ตเป็นแซนด์บ๊อกซ์ - ดันเป็นทุนสำรองฯ
(23 ธ.ค.67) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. คลัง เสนอให้มีการนำบิตคอยน์มาใช้ จ่ายในประเทศไทย โดยจะใช้จังหวัดภูเก็ตเป็นพื้นที่ บิตคอยน์ แซนด์บ็อกซ์ รวมถึงอาจพิจารณาใช้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศด้วย
โดยนายพิธา กล่าวว่า ตนเองเห็นด้วยกับการที่นายพิชัยจะศึกษาเรื่องสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอเรนซี่ และการใช้ภูเก็ตเป็นพื้นที่ทำแซนด์บ็อกซ์ แต่ปัจจุบันมีเพียง เอลซัลวาดอร์ประเทศเดียวเท่านั้น ที่นำบิตคอยน์มาเป็นเงินทุนสำรองประเทศ และเป็นประเทศที่ไม่มีสกุลเงินเป็นของตัวเอง โดยใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ แทน
ในขณะเดียวกัน ในสหรัฐฯ นั้น มองว่าบิตคอยน์มีความเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ยาเสพติด และเรื่องอาวุธสงคราม ที่ยึดมาได้ เขาก็เก็บเอาไว้เลย ดังนั้น จึงขอฝากว่า เรื่องดังกล่าวน่าสนใจที่จะศึกษา และภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ก็น่าสนใจ แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องการฟอกเงิน เพราะว่าภูเก็ตนั้นมีชื่อเสียงในเรื่องนี้อยู่
ส่วนกรณีที่นายทักษิณ กล่าวว่าบิตคอยน์จะทำให้ GDP โตขึ้นนั้น นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่ได้ศึกษามา พบว่าประเทศที่ทำแบบนี้คือ เอลซัลวาดอร์ ประเทศแรก แม้ว่าจะมีอีกหลายประเทศ เช่น สหรัฐ อเมริกา นิวซีแลนด์ เป็นต้น ที่ถือบิตคอยน์ไว้ แต่ ก็ไม่ได้ทำมาเป็นเงินทุนสำรองประเทศ
อีกทั้งเรื่องนี้นั้นอาจจะทำให้ค่าเงินมีปัญหา ถึงแม้ว่าบิตคอยน์นั้นจะมีข้อดี แต่ก็มีข้อเสียหลายเรื่อง ซึ่งตนเองเห็นด้วยที่จะมีการศึกษา แต่ก็ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันมองในหลาย ๆ มุม
ส่วนที่นายทักษิณกล่าวว่าจะทำให้ GDP ของประเทศโตขึ้น 4 – 5 % นั้น นายพิธากล่าวว่าล่าสุดตนเองฟังธนาคารเอกชนมา เขาบอกว่าโตประมาณ 2.4 - 2.7% แต่ถ้าจะปั้นให้โต 4% ก็คือเท่ากับค่าเฉลี่ยของโลก ซึ่งในเวลานี้ประเทศกำลังพัฒนาก็อยู่ที่ 4% กว่า ถ้าได้ 4% ก็เท่ากับค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็น
แต่เรื่องนี้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของประเทศที่โตในลักษณะหัวลีบ ซึ่งตนเองเห็นว่ามีความเกี่ยวข้องกับทุนผูกขาด และการกระจายอำนาจ ซึ่งเรื่องนี้ต้องทำเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและโตไปด้วยกัน