'เอกนัฏ' เซฟฐานการผลิตรถญี่ปุ่นในไทย หลังบินคุย 6 บริษัทใหญ่สำเร็จ ดึงลงทุนเพิ่ม 1.2 แสนล้าน
(28 พ.ย. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย หลังจากมีข่าวบริษัทผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ปลดคนงาน โดยระบุว่า แรงงาน 4.45 แสนคนยังได้ไปต่อ... 'เอกนัฏ' เซฟฐานการผลิตรถญี่ปุ่นในไทย หลังบินคุย 6 บริษัทใหญ่สำเร็จ ดึงลงทุนเพิ่ม 1.2 แสนล้าน
ทั้งนี้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม ได้เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นเพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 21-23 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้เข้าพบหารือกับ นายมุโต โยจิ รมว.เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากทั้งสองประเทศ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ คือ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ญี่ปุ่นที่ METI มีความร่วมมืออันดีที่มีต่อไทย และย้ำถึงความสำคัญของญี่ปุ่นในฐานะพันธมิตรที่ยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันได้หารือแนวทางและมาตรการช่วยเหลือผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในไทย ซึ่งส่วนใหญ่ยังผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) โดยเฉพาะรถยนต์ที่เป็น Product champion ได้แก่ รถปิคอัพ และ Eco car ที่กำลังถูกดิสรัป (Disrupt) จากการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (xEV)
พร้อมทั้งได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทแม่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่ได้สร้างฐานการผลิตในไทยจำนวน 6 บริษัทแบบตัวต่อตัว (One to One) โดยได้พบหารือกับผู้บริหารระดับ CEO จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ โตโยต้า มาสด้า มิตซูบิชิ และอีซูซุ และผู้บริหารระดับ EVP จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ ฮอนด้า และนิสสัน ซึ่งได้แสดงความห่วงใยต่อผู้ผลิตรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในไทยหดตัวลงอย่างมาก เนื่องจากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของไฟแนนซ์ สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัว รวมทั้งปัญหาค่าครองชีพและสัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ความต้องการและกำลังซื้อของประชาชนลดลง โดยเฉพาะในสินค้าที่เป็น Product Champions ของไทย ได้แก่ รถปิกอัพ และรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO Car)
อย่างไรก็ตาม ผลหารือกับผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายญี่ปุ่นได้รับสัญญาณบวกที่ชัดเจนว่า ทุกบริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นฐานการผลิตและส่งออกของประเทศไทย และจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการผลิตรถปิกอัพ รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO Car) และรถยนต์ไฮบริด เพื่อตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก (ทั้งในรูปแบบของรถยนต์สำเร็จรูป และชิ้นส่วนครบชุด) โดยคาดว่า ในช่วงเวลา 3-5 ปีนี้ มูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 120,000 ล้านบาท