ความร่มเย็นของชาติบ้านเมืองจะกลายเป็น 'ความฝัน' ความล้าหลังของประเทศชาติจะกลายเป็น 'ความจริง'

(19 มี.ค.67) ในการเลือกตั้ง 2566 ของไทย มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,238,594 คน มีผู้ใช้สิทธิ 39,514,973 คน (75.71%) โดยพรรคก้าวไกลได้คะแนนเลือกตั้ง สส. แบบบัญชีรายชื่อ 14,438,851 คะแนน และได้คะแนนเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขต 9,665,433 คะแนน คิดเป็นเพียง 36.54% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งคะแนนเลือกตั้งทั้ง 2 แบบ ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง (19,757,487 คะแนน) แต่อย่างใด และยังคงห่างไกลจากคะแนนเลือกตั้งอดีตพรรคไทยรักไทย (พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน) ในการเลือกตั้ง 2548 ที่ได้คะแนนเลือกตั้ง 18,993,073 คะแนน หรือ 61.17% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนั้นจำนวน 32,341,330 คน ได้สส.จำนวน 377 คน ในขณะที่การเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลได้สส. 151 คน

ข้อมูลตัวเลขที่ได้นำมาเสนอนี้ แค่อยากแสดงให้เห็นว่า ผลการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลนำมาอวดอ้างบ่อยๆ นั้น หากเทียบกับการเลือกตั้งปี 2548 ฟากพรรคไทยรักไทยยังเคยทำไว้ดีกว่า ซ้ำยังเป็นชัยชนะที่ได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง กลับกันหากนำจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,238,594 คนในการเลือกตั้ง 2566 มาคำนวณแล้ว เท่ากับว่าทั้งประเทศจะมีผู้ที่เลือกพรรคก้าวไกลเพียง 27.64% หรือไม่ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 

ตัวเลขข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนในสังคมไทยไม่ได้นำมาศึกษา พินิจ วิเคราะห์ พิจารณากันแต่อย่างใด หากแต่ถกโหมด้วยสื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ที่ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคการเมืองดังกล่าวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ส่งผลให้พรรคก้าวไกล มักนำผลการเลือกตั้ง 2566 มาทำการอวดอ้างในเชิงเกินจริง ซึ่งทำให้คนที่ไม่เข้าใจข้อเท็จจริงในระบอบประชาธิปไตยหลงทางจนเข้าใจผิดคิดไปว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเสมอไป 

ทั้งๆ ที่การจัดตั้งรัฐบาลในหลายประเทศที่เป็นรัฐบาลผสมจากหลายๆ พรรคนั้น แกนนำรัฐบาลหลายครั้งหลายหนก็ไม่ได้มาการพรรคการเมืองที่มี สส.จำนวนมากที่สุด และเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในบ้านเราแล้ว เช่น การเลือกตั้ง 2518 ยุคหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งมี สส. เพียง 18 คน แต่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (14 มีนาคม พ.ศ. 2518 - 20 เมษายน พ.ศ. 2519) ได้ ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคกิจสังคมได้เลือกตั้งมาเป็นอันดับ 5 ก็ตาม 

พูดถึงเรื่องพรรคก้าวไกลที่เคลมประชาธิปไตยมาสร้างความเป็นธรรมแบบคาดเคลื่อนแล้ว ก็อดเลื่อนกลับไปมองผลลัพธ์ในการเลือกตั้ง 66 ของอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้

เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้พรรคต่างๆ ได้คะแนนเท่านั้น มาจาก...

1) คนไทยเป็นคนที่รู้สึกเบื่อง่าย โดยปราศจากการพิจารณา ใคร่ครวญ และไตร่ตรอง ความเบื่อหน่ายจึงถูกนำมาเป็นอาวุธทางจิตวิทยาที่ใช้โดยทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยในการจัดการกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อย่างได้ผลที่สุด (แต่ผลงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ปรากฏภายหลังการเลือกตั้งทำให้ผู้คนในสังคมไทยต่างก็รู้สึกผิดพลาดและเสียดาย) 

2) ความอ่อนด้อยในการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ โดยเฉพาะเรื่องของ Social Media ซึ่งพรรคก้าวไกลทำได้ดีกว่ามาก กอปรกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์นำงบประมาณไปเป็นงบลงทุนในการพัฒนาประเทศ สื่อหลักต่างๆ จึงไม่ได้รับงบประมาณในการประชาสัมพันธ์จากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เช่นที่เคยได้รับจากรัฐบาลก่อนๆ ปีละนับพันล้านบาท 

3) ปัญหาระหว่างประเทศอันเนื่องมาจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นมากมายหลายรายการ ซ้ำมีการใช้เรื่องของค่าไฟฟ้าแพงมาโจมตีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในระหว่างการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ผู้กำหนดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าคือ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไม่ใช่รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานแต่อย่างใด 

4) มีหน่วยงานของรัฐบาลชาติมหาอำนาจตะวันตกเข้ามาแทรกแซง ด้วยหวังประโยชน์จากรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งที่จะได้พรรคการเมืองที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกสามารถใช้อิทธิพลในการครอบงำ ก้าวก่ายนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายความมั่นคงและนโยบายต่างประเทศได้ 

5) การต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง 2566 ของ 5 อดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งต่างก็ไม่มียุทธศาสตร์ ขาดเอกภาพ ด้วยมุ่งหวังแต่คะแนนเลือกตั้งเฉพาะของพรรคตนเท่านั้น จึงยากที่จะช่วงชิงคะแนนเสียงจากพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้

หากพิจารณาคะแนนเลือกตั้งที่บรรดาอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้แก่ ภูมิใจไทย, พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ได้รับแล้ว ในส่วนของคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้ 7,560,081 คะแนน และคะแนนเลือกตั้งแบบแบ่งเขตทั้ง 5 พรรคได้รวม 15,791,519 คะแนน ซึ่งคะแนนเหล่านี้หากนำมารวมกัน ก็จะกลายเป็นคะแนนเสียงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของผู้ที่ใช้สิทธิในการเลือกตั้ง 2566 ทั้งหมดเลยทีเดียว 

แต่แน่นอนว่า การเลือกตั้งจบแล้ว ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามระเบียบกติกาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นการที่ 5 อดีตพรรคร่วมฯ จะได้จำนวน สส.เพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในอนาคตข้างหน้า จึงจำเป็นต้องมีการร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง 5 อดีตพรรคร่วมฯ เสียใหม่ ด้วยควรที่จะมุ่งแข่งขันกันเฉพาะการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเท่านั้น 

ขณะที่การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 5 อดีตพรรคร่วมฯจะต้องตกลงกันเพื่อคัดเลือกผู้สมัครของ 5 อดีตพรรคร่วมฯ คนใดคนหนึ่งที่รับคะแนนเลือกตั้งสูงสุดในเขตเลือกตั้งนั้นเพียงคนเดียวจากพรรคเดียว เป็นต้น

หากมีความร่วมมือเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว 5 อดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จึงจะกลับมามีโอกาสในการกลับมาจัดตั้งรัฐบาลได้ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง

...และเพื่อให้เห็นภาพ จึงขอนำเอาผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตที่ 5 อดีตพรรคร่วมฯ แย่งคะแนนกันเองจนสูญเสียที่นั่ง สส.ทั้งจังหวัด มาฉายซ้ำ โดยยกจังหวัดภูเก็ตทั้ง 3 เขต ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง สส.ไปทั้ง 3 เขต ดังนี้...

>> เขตเลือกตั้งที่ 1 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 21,252 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯ ได้รวม 43,709 คะแนน 
>> เขตเลือกตั้งที่ 2 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 21,913 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯได้รวม 33,861 คะแนน 
>> และเขตเลือกตั้งที่ 3 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 20,421 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯได้รวม 35,817 คะแนน 

หาก 5 อดีตพรรคร่วมฯ สามารถตกลงพูดคุยกันแล้ว สส. ทั้ง 3 เขตก็จะเป็นตัวแทนจาก 5 พรรคร่วมฯอย่างแน่นอน 

แต่ก็อย่างว่า...แนวคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างยากยิ่งในบ้านเมืองนี้ ด้วยนักการเมืองและพรรคการเมืองส่วนใหญ่ มักจะนึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวกเพื่อนพ้องมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของชาติบ้านเมือง และในไม่ช้า...ที่สุดแล้วเราคงจะต้องยอมยกชาติบ้านเมืองให้พรรคการเมืองที่เก่งแต่บน Social Media ถนัดแต่สร้างวาทกรรมที่เพ้อเจ้อโดยไม่มีตรรกะแม้แต่น้อย จนคนที่น่าจะฉลาดและเป็นกำลังสำคัญของสังคมกลับกลายเป็นเหยื่อและสาวกไป 

...และที่เลวร้ายที่สุดคือ รับงานมหาอำนาจตะวันตกมาเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและสร้างความสัมพันธ์อันเลวร้าย เกิดเป็นความกินแหนงแคลงใจกับประเทศเพื่อนบ้าน 

ถึงตอนนั้นแล้วความสงบสุขร่มเย็นของชาติบ้านเมืองจะกลายเป็นความฝัน ความเสื่อมถอยล้าหลังของประเทศชาติจะกลายเป็นความจริง 

เช่นนั้นแล้ว เราๆ ท่านๆ คงทำได้เพียงแต่ภาวนาให้สรรพสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย ได้โปรดช่วยปกป้องราชอาณาจักรไทยอันเป็นที่รักของเราตลอดไปด้วยเทอญ...เท่านั้น...


ที่มา : กองบรรณาธิการ THE STATES TIMES