JKN ประกาศขู่เจ้าหนี้ หากคิดล้มแผนฟื้นฟู บริษัทต้องปิดกิจการ หุ้นเน่า เสียหายกันทั่วหน้า

(29 พ.ย.66) จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัทได้พยายามหาเงินมาชำระคืนหุ้นกู้ โดยเข้าเจรจากับนักลงทุน 3 กลุ่มเพื่อเพิ่มทุน ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน รวมถึงขายสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนและหาแนวทางการทำธุรกิจต่างๆ โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการเจรจากับนักลงทุนต่างๆ ตลอดทั้งเดือน แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่จะหาเงินทุนมาชำระหุ้นกู้ได้ บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องยุติการเจรจาในวันที่ 30 ตุลาคม 2566

งบการเงินบริษัทมีทรัพย์สิน 67% เป็นทรัพย์สินไม่มีตัวตน ไม่สามารถแปลงมาเป็นเงินสดเพื่อชำระหนี้ได้ทันเวลา และในการเจรจากับผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้และผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ทาง KPMG ได้ร่วมกับบริษัทจัดประชุมเพื่อหาข้อสรุปในการชำระคืนหนี้

ในการประชุมเห็นตรงกันว่า ผู้ถือหุ้นกู้มีแนวโน้ม ไม่ยอมรับการชำระคืนหนี้ยาวนานถึง 8 ปี ต้องการรับเงินคืนภายใน 3 ปี บริษัทเห็นว่าจะไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้ บริษัทจึงตัดสินใจยื่นขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางตามแผนที่ได้รับจากที่ปรึกษาทางการเงิน โดยไม่ได้แจ้งที่ปรึกษาทางการเงินก่อนที่จะยื่นคำร้องในวันที่ 8 พฤศจิกายน  และบริษัทได้เข้าสู่สภาวะการพักชำระหนี้ทั้งหมด (Automatic Stay) ไปจนกว่าศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

จักรพงษ์ กล่าวว่า การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด และเป็นวิธีการแก้ปัญหาเพียงช่องทางเดียวที่บริษัทมีในเวลานั้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบริษัทและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และบริษัทได้ประเมินปัญหาและอุปสรรคที่อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้มีดังนี้...

ต้องได้ความร่วมมือจากเจ้าหนี้ เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับการชำระหนี้ร่วมกัน เพิ่มความสามารถในการปรับเปลี่ยนสัดส่วนธุรกิจจากธุรกิจ Content ไปเป็นธุรกิจใหม่ที่บริษัทได้เตรียมไว้ และ การหาพันธมิตร นักลงทุน ตลอดจนการจัดหาแหล่งเงินทุน สภาพเศรษฐกิจโดยเฉพาะภายในประเทศ

>> กรณีเลวร้ายที่สุด หากบริษัทไม่ได้รับอนุมัติให้เข้าแผนฟื้นฟูกิจการจะเกิดปัญหาตามมาดังนี้...

- ปริมาณหุ้นกู้ทั้งหมด หากเจ้าหนี้ทุกรายเรียกร้องบริษัทให้ชำระหนี้คืน บริษัทจะไม่มีเงินสดเพียงพอในการดำเนินธุรกิจแน่นอนซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคู่ค้าและบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
- บริษัทอาจจะต้องปิดกิจการหรือถูกฟ้องร้อง จนไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อไป และล้มละลายอันจะทำให้ทุกฝ่ายเสียหายอย่างมาก
- หุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่มีมูลค่า ทำให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นได้รับผลกระทบรวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
- หากบริษัทต้องปิดดำเนินกิจการหรือไม่สามารถดำเนินการต่อได้ จะส่งผลกระทบต่อพนักงานของบริษัททุกคน 

จักรพงษ์ บอกอีกด้วยว่า บริษัทยืนยันว่ามีเจตนาที่ดีในการชําระหนี้สินให้แก่เจ้าหนี้ทุกฝ่าย โดยการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของบริษัทจะช่วยให้บริษัทแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกฎหมายรองรับและให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม อีกทั้ง บริษัทฯ ยังสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ในระหว่างที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อการแก้ไขปัญหาของบริษัทฯ และเพื่อสร้างผลกําไรจากการดําเนินกิจการต่อไปในอนาคตได้อย่างมั่นคง

สำหรับ บริษัท JKN ได้ออกหุ้นกู้จำนวน 7 ชุด มูลค่ารวม 3,360 ล้านบาท แต่สภาพคล่องไม่เป็นไปตามแผน ทำให้หุ้นกู้รุ่น JKN239A ผิดนัดชำระหนี้ และถือเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ ทั้ง 6 รุ่น นอกจากนี้ยังเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้แปลงสภาพและหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินด้วย  บริษัทได้แต่งตั้ง บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย ที่ปรึกษาธุรกิจ จำกัด (KPMG) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน KPMG