‘รองประธานฯ หอการค้าไทย’ มองภาพรวมผลงาน 2 เดือน ‘ครม.นิด 1’ ชี้!! ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ฟอร์มดี ตอบสนองเร็ว ผลงานเด่นชัด-จับต้องได้

เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 66 นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการประเมินผลงานการทำงานตลอดระยะเวลา 60 วัน ของรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การบริหารของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 9 พ.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ

ทั้งนี้ นายวิศิษฐ์ ได้ให้มุมมองของภาคเอกชนต่อการบริหารงานของรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ว่ามีแนวโน้มหรือทิศทางในการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ ในแง่ของเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง ดังนี้…

เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ ได้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจไทยพยายามจะฟื้นตัว หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลให้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ไม่ง่ายเลย

ดังนั้น หากมองแบบกว้างๆ 2-3 แง่มุม เรื่องแรกคือ การลดภาระค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพต่างๆ ในภาคประชาชน ที่เห็นได้เด่นชัดเลยก็คือ ‘การลดค่าไฟ’ ที่ตลอด 3 เดือนนี้ อัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย และ ‘การลดราคาน้ำมัน’ ที่ปรับลดราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล สูงสุดที่ 2.50 บาทต่อลิตร 

และที่เห็นชัดๆ อีกเรื่อง คือ ความพยายามในการลดราคาค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีม่วง ให้เหลือแค่ 20 บาทตลอดสาย

อีกเรื่องที่น่าจับตามอง คือ ‘หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ’ ซึ่งมีแนวทางนโยบายที่ต้องการจะช่วยยกระดับสุขภาพของประชาชนทั้งประเทศ… ก็คงต้องรอติดตามหลังจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

ในส่วนของเรื่องภาระหนี้สิน ที่จะเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ ‘ภาคเกษตรกรรม’ ที่ได้รับการดูแลในเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว คือ การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี SME 1 ปี ในวงเงินที่ตั้งไว้ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นภาพรวมในการพยายามช่วยลดภาระต้นทุน ค่าครองชีพ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและภาคกิจการ ที่รัฐบาลสามารถทำให้ได้

เรื่องที่ 2 การเพิ่มรายได้ อย่างที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบัน GDP ของประเทศไทยยังขึ้นอยู่กับ 2 เรื่องหลักๆ คือ ‘การส่งออก’ และ ‘การท่องเที่ยว’ ดังนั้น เรื่องที่เห็นได้ชัดเจน ในการเพิ่มรายได้ หรือการพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจในแง่มุมต่างๆ คือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้เข้าประเทศได้รวดเร็ว และง่ายที่สุด อีกทั้งยังเป็นช่วงจังหวะที่นักท่องเที่ยวในหลายๆ ประเทศสามารถ ‘เที่ยวล้างแค้น’ ได้ หลังจากที่ต้องหยุดท่องเที่ยวไป 3 ปี เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงทำให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ยังอยากจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยอยู่ หรือแม้แต่การที่คนไทยเดินทางไปเที่ยวที่ต่างประเทศเองก็เช่นกัน

โดยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่เห็นเด่นชัดที่สุด คือ ‘นโบายฟรีวีซ่า’ ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการกระตุ้นความอยากเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากสามารถเดินทางมาได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้ยอดนักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถานเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงยอดนักท่องเที่ยวชาวอินเดียและรัสเซียก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

แม้จะเกิดปัญหาที่ไม่คาดไม่ถึง เช่น สงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ที่ส่งผลทำให้ภาคธุรกิจเกิดการขาดความเชื่อมั่นพอสมควร เนื่องจากการที่ช่วงก่อนหน้านั้น ผู้บริโภคในประเทศต่างๆ ประสบปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ทำให้รัฐบาลในแต่ละประเทศประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อกดเงินเฟ้อ ทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ซึ่งถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ต้องติดตามและแก้ไขต่อไป

การเพิ่มรายได้ อีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย แต่มีความน่าสนใจและจำเป็นต้องทำอย่างมากในยุคสมัยนี้ คือ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ซึ่งอาจจะเห็นตัวอย่างของหลายๆ ประเทศที่ผลักดันเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ได้ดี และประสบผลสำเร็จมาแล้ว เช่น ประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถสอดแทรกเรื่องราวต่างๆ ไว้ในภาพยนตร์ หรือซีรีส์ ยกตัวอย่างเช่น อาหาร ซึ่งส่งผลต่อวัฒนธรรมการกินไปทั่วโลก ทำให้เห็นว่าเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ไทย ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สมควรต้องผลักดันอย่างมากในหลากหลายแง่มุม

ซึ่งซอฟต์พาวเวอร์นี้ถือเป็นเข็มมุ่งสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้ มีความพยายามที่จะเอาจริงจังในการผลักดันอย่างมาก โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติขึ้นมาดูแลในส่วนนี้โดยเฉพาะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องรอติดตามผลงานกันต่อไป

เมื่อถามถึงอีกหนึ่งนโยบายสำคัญที่ประชาชนทั้งประเทศจับตามองและพูดถึงมากที่สุด คือ ‘นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท’ ว่าจะมีผลอย่างไรบ้าง ในมุมมองของเศรษฐกิจ นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า…

ในส่วนของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เชื่อว่าอาจจะสามารถเริ่มต้นดำเนินนโยบายได้ในปีหน้า คือ 2567 ปกติการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเติมเงินในกระเป๋าในประชาชน ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมี เราก็เคยมีมาแล้วในหลายรูปแบบและหลายจังหวะ แม้แต่ในช่วงเวลาที่ประชาชนแทบจะไม่สามารถทำมาหากินได้ หรือทำขึ้นมาเพื่อช่วยในยามที่ภาคการค้าขายมีความยากลำบาก การเติมเงินเข้ากระเป๋าของประชาชนจึงช่วยกระตุ้นทำให้ผู้คนกล้าออกมาจับจ่ายซื้อใช้สอยมากขึ้น ภาคกิจการก็สามารถผลิตสินค้าออกมาขายได้เรื่อยๆ

สำหรับมุมมองของภาคเอกชนที่มีความคิดเห็นต่อ ‘นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต’ ของทางภาครัฐนั้น คือ ต้องการให้มีการมุ่งเป้าเฉพาะเจาะจงให้ชัดเจน ว่ากลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิ์ ควรจะเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย เพราะเมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ได้รับสิทธิ์แล้ว เขาก็จะสามารถมีกำลังในการดูแลตัวเองและครอบครัว รวมถึงช่วยเติมเต็มด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการหมุนเวียนการซื้อขาย

อีกหนึ่งมุมมองของภาคเอกชนที่อยากจะฝากทางภาครัฐ คือ ในส่วนของแอปพลิเคชันของดิจิทัลวอลเล็ตนั้น เนื่องจากต้องดำเนินนโยบายด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างเร่งด่วน จึงอยากแนะนำว่า ในส่วนของแอปพลิเคชันนั้น หากสามารถใช้แอปฯ ตัวเดิมที่เคยมีอยู่ก่อนแล้วได้ ก็จะเป็นการดีที่สุด เพราะได้มีการทดสอบการใช้งานและการแก้ไขข้อบกพร่องมาแล้วพอสมควร หากต้องมาเริ่มต้นลองผิดลองถูกกันใหม่ อาจเกิดความเสี่ยงค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ นายวิศิษฐ์ ยังได้กล่าวถึงความตั้งใจอีกหนึ่งเรื่องของตัวนายกฯ เศรษฐา คือ เรื่องของการเป็น ‘เซลล์แมนของประเทศไทย’ ที่ได้มีภารกิจเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ รวมถึงเข้าร่วมงานประชุมระดับโลกมาพอสมควร เหมือนเป็นการขายความพร้อมและแสดงศักยภาพของประเทศไทย ทั้งในแง่ของการเชิญชวนต่างชาติเข้ามาลงทุนทำกิจการในประเทศไทย หรือเชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ลองมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย ซึ่งการเดินทางไปพรีเซนต์ประเทศต่อนานาชาติด้วยตัวเอง นับว่าเป็นการแสดงความตั้งใจ และความจริงใจ ซึ่งถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการสื่อสารกับประชาคมโลก

เมื่อถามถึงการให้การให้คะแนนในช่วง 2 เดือนของการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ นายวิศิษฐ์ ได้ให้ความคิดเห็นว่า แม้ว่าระยะเวลาเพียง 2 เดือนแรกในการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้นั้นจะยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ แต่หากพิจารณาจากผลงานที่เป็นรูปธรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ควบคู่กับสถานการณ์โดยรวมที่อาจพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว ตลอดจนบริบทต่างๆ ของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลชุดนี้สามารถตอบสนองและตั้งรับต่อเรื่องต่างๆ ได้ดีพอสมควร