"อยากให้ชาวบ้านได้กินเนื้อสัตว์จนพอใจ" แรงบันดาลใจ ‘สี จิ้นผิง’ สู่หัวหน้าสถาปนิกผู้ออกแบบ ‘แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’

เมื่อวานนี้ 17 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ห้วงยามนี้ทุกสายตาพากันจับจ้อง ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพต้อนรับบรรดาผู้นำประเทศ ผู้บริหารธุรกิจ และนักวิชาการจากทั่วทุกมุมโลก เข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ครั้งที่ 3 ณ นครหลวงปักกิ่ง

แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) วิสัยทัศน์การพัฒนาระดับโลกอันเป็นเอกลักษณ์ของสี จิ้นผิง ได้กลายเป็นหนึ่งในสินค้าสาธารณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มอบโอกาสการพัฒนาแบบก้าวกระโดดแก่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การรวมตัว ณ กรุงปักกิ่ง จะส่งมอบโอกาสครั้งประวัติศาสตร์แก่หุ้นส่วนทั้งหมดของแผนริเริ่มฯ เพื่อต่อยอดผลสำเร็จอันโดดเด่นของแผนริเริ่มฯ และก้าวหน้าสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน โดยสำนักข่าวซินหัวชวนร่วมทำความเข้าใจว่าเหตุใดสี จิ้นผิงจึงเสนอแนะแผนริเริ่มฯ อะไรที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ และสี จิ้นผิงมุ่งหวังบรรลุสิ่งใดด้วยแผนริเริ่มฯ นี้

>>กระตุ้นการพัฒนาเพื่อความเจริญรุ่งเรืองระดับโลก

เมื่อปลายทศวรรษ 1960 สี จิ้นผิงซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘เยาวชนผู้มีการศึกษา’ ถูกส่งไปยังชนบทเพื่อการ ‘เรียนรู้ใหม่’ และต้องประหลาดใจกับความท้าทายของการใช้ชีวิตในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ทั้งการนอนในบ้านถ้ำที่เต็มไปด้วยเห็บหมัด ตรากตรำทำงานหนักหลายชั่วโมง และต่อสู้กับความหิวโหย

"เราไม่มีเนื้อสัตว์กินกันนานหลายเดือน" สี จิ้นผิงเล่าย้อนถึงเรื่องราวเมื่อครั้งอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอ ขณะเดินทางเยือนเมืองซีแอตเทิลของสหรัฐฯ ในฐานะประธานาธิบดีจีนในอีกหลายทศวรรษต่อมา "สิ่งหนึ่งที่ผมปรารถนามากที่สุดตอนนั้นคือการทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อสัตว์จนพอใจ"

รสชาติความยากจนอันขมปร่าตอกย้ำความเชื่อมั่นของสี จิ้นผิงว่า "การพัฒนาเป็นกุญแจสำคัญสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน" แต่จะทำได้อย่างไร?

สี จิ้นผิงมักหยิบยกสุภาษิตจีนอันโด่งดังอย่าง "ถนนมาก่อน ความเจริญรุ่งเรืองจึงจะตามมา" เพื่ออธิบายว่าการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสามารถกระตุ้นการพัฒนาได้อย่างไร และมองว่าการเปลี่ยนสายเคเบิลหรือซ่อมแซมถนน โดยเฉพาะพื้นที่ยากไร้บางแห่ง สามารถเปิดประตูสู่การบรรเทาความยากจนและความเจริญรุ่งเรืองของมวลชน

เมื่อครั้งสี จิ้นผิงเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศ จีนเพิ่งจะผงาดขึ้นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลกและเผชิญสารพัดความท้าทาย การเปิดประเทศถือเป็นกลไกสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างน่าอัศจรรย์ของจีนในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา และสี จิ้นผิงได้ยืนยันอีกครั้งถึงความทุ่มเทของจีนที่มีต่อการเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น

หวังอี้เหวย ผู้อำนวยการสถาบันกิจการระหว่างประเทศประจำมหาวิทยาลัยเหรินหมิน กล่าวว่าแผนริเริ่มฯ กลายเป็นการออกแบบการปฏิรูปและเปิดกว้างของจีนระดับสูงแบบใหม่ รวมถึงสะท้อนการเปิดกว้างระดับสูงยิ่งขึ้น และการแสวงหาการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง แผนริเริ่มฯ สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของสี จิ้นผิงในการเปิดกว้างยิ่งขึ้น และมีบทบาทสำคัญต่อการเชื่อมโยงความต้องการการพัฒนาอันเร่งด่วนที่สุดของโลกกับสิ่งที่จีนเชี่ยวชาญ นั่นคือสร้างถนนและสะพานเพื่อการเชื่อมโยงถึงกันยิ่งขึ้น

รายงานจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 61.94 ล้านล้านบาท) ต่อปีจนถึงปี 2030 เพื่อรักษาทิศทางการเติบโต

นอกเหนือจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน สมุดปกขาวว่าด้วยการพัฒนาแผนริเริ่มฯ ระบุว่าแผนริเริ่มฯ ยังเป็นแนวทางแก้ไขประเด็นปัญหาการพัฒนาระดับโลก ยามมนุษยชาติเผชิญความท้าทายอันน่าหวาดหวั่นจากการขาดดุลทางสันติภาพ การพัฒนา และธรรมาภิบาลในปัจจุบัน

สำหรับผู้นำจีนแล้ว จีนมิอาจพัฒนาโดยโดดเดี่ยวตนเองจากโลกได้ฉันใด โลกก็ต้องการจีนเพื่อการพัฒนาฉันนั้น ดังที่สี จิ้นผิงเคยกล่าวไว้ การดำเนินการตามแผนริเริ่มฯ ที่ตัวเขานำเสนอ "ไม่ได้หมายถึงการสละเวลาสร้างสิ่งที่ผู้อื่นเคยทำมาแล้วขึ้นมาใหม่" ทว่ามุ่งส่งเสริมยุทธศาสตร์การพัฒนาของนานาประเทศที่เกี่ยวข้องโดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของพวกเขา และมุ่งบรรลุการพัฒนาแบบแบ่งปันและได้ผลประโยชน์ร่วมกัน เพิ่มพลังการสื่อสารระหว่างอารยธรรม

สี จิ้นผิงนั้นถือเป็นคนรักการอ่านจนหนังสือกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยนิสัยรักการอ่านทำให้สี จิ้นผิงรอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของทั้งตะวันออกและตะวันตก กลายเป็นแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจในแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาระดับโลก

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2013 ขณะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อมิร์ ติมูร์ ในกรุงทาชเคนต์ของอุซเบกิสถาน ระหว่างการเยือนเอเชียกลางครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีจีน มีแผนที่เส้นทางสายไหมโบราณฉบับหนึ่งได้ดึงดูดความสนใจจากสี จิ้นผิง

เส้นทางสายไหมโบราณนั้นเป็นมากกว่าเส้นทางการค้า เพราะการหมุนเวียนสินค้าผ่านเส้นทางนี้กระตุ้นการสื่อสารทางวัฒนธรรม โดยคลื่นคาราวาน นักเดินทาง นักวิชาการ และช่างฝีมือ ได้เดินทางระหว่างซีกโลกตะวันออกและตะวันตกในฐานะทูตวัฒนธรรม เชื่อมโยงแหล่งกำเนิดอารยธรรมอียิปต์ บาบิโลน อินเดีย และจีน รวมถึงหลายดินแดนศาสนาที่สำคัญ

"ประวัติศาสตร์เป็นครูที่ดีที่สุด" สี จิ้นผิงกล่าว พร้อมเสริมว่าการฟื้นฟูและสืบสานจิตวิญญาณแห่งเส้นทางสายไหม กอปรกับส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนถือเป็นส่วนสำคัญของแผนริเริ่มฯ

"ขณะทำงานตามแผนริเริ่มฯ เราควรรับรองว่าเมื่อพูดถึงอารยธรรมที่แตกต่างกัน การแลกเปลี่ยนจะเข้าแทนที่ความเหินห่าง การร่วมเรียนรู้จะเข้าแทนที่การปะทะ และการอยู่ร่วมกันจะเข้าแทนที่ความรู้สึกเหนือกว่า สิ่งนี้จะเพิ่มพูนความเข้าใจ การเคารพ และความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างนานาประเทศ" สี จิ้นผิงกล่าวในการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ครั้งที่ 1

นั่นคือเหตุผลที่สี จิ้นผิงเสนอให้มีการจัดการประชุมเสวนาอารยธรรมเอเชีย (CDAC) และผลักดันแผนริเริ่มอารยธรรมระดับโลก (GCI) โดยสี จิ้นผิงกล่าวว่าเราควรรักษาพลวัตของอารยธรรม และสร้างเงื่อนไขอันเกื้อหนุนอารยธรรมอื่น ๆ ให้เจริญรุ่งเรืองด้วย

>> จุดประกายแรงบันดาลใจเพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้น

"มนุษยชาติที่อาศัยอยู่บนโลกและในยุคสมัยเดียวกันกับที่ประวัติศาสตร์และความเป็นจริงบรรจบ ได้กลายเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง" สี จิ้นผิงกล่าวต่อหน้าผู้ฟังจำนวนมาก ณ สถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งมอสโกในปี 2013 ซึ่งถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกของสี จิ้นผิงหลังจากดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน

สี จิ้นผิงนำเสนอการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติเป็นครั้งแรกระหว่างการเดินทางดังกล่าว แนวคิดนี้กลายเป็นหลักการพื้นฐานของนโยบายต่างประเทศของจีน และอีกหลายเดือนต่อมา สี จิ้นผิงได้นำเสนอแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ซึ่งถูกมองว่าเป็นก้าวย่างสำคัญของการทำให้วิสัยทัศน์ในการสร้างโลกที่ดีขึ้นของเขากลายเป็นความจริง

ห้วงยามที่บางประเทศตะวันตกอ้างสิ่งที่เรียกว่า ‘การลดความเสี่ยง’ (de-risking) มาบังหน้าการแยกตัว (decoupling) จากจีน โดยประเทศจีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิงยังคงยึดมั่นความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ทุกฝ่ายและลัทธิพหุภาคีที่แท้จริง ซึ่งสี จิ้นผิงชี้ว่าการที่ผู้คนทั่วโลกมีชีวิตดีขึ้นเป็นหนทางเดียวที่จะค้ำจุนความเจริญ คุ้มครองความมั่นคง และปกป้องสิทธิมนุษยชน

สี จิ้นผิง ผู้ตระหนักดีว่ากลุ่มประเทศโลกซีกใต้ (Global South) ต้องการการพัฒนาเพิ่มขึ้น ได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN) เสมอมา นำสู่การนำเสนอแผนริเริ่มการพัฒนาระดับโลก (GDI) ในปี 2021 และเรียกร้องประชาคมนานาชาติรับรองว่าทุกประเทศจะได้ร่วมสร้างความทันสมัย

ทั้งนี้ ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าการค้าที่เพิ่มขึ้นจากความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางจะเพิ่มรายได้ที่แท้จริงทั่วโลกร้อยละ 0.7-2.9 และโครงการตามแผนริเริ่มฯ อาจช่วยนำพาผู้คนหลุดพ้นจากความยากจนขั้นรุนแรง 7.6 ล้านคน

ส่วนรายงานจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (CEBR) คาดการณ์ว่าแผนริเริ่มฯ มีแนวโน้มเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของโลก 7.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 258 ล้านล้านบาท) ต่อปีภายในปี 2040

พินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีไทย กล่าวว่าแผนริเริ่มฯ เป็นแผนริเริ่มระดับโลกที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล นำพาสันติภาพ ความร่วมมือ การพัฒนา และการแบ่งปันมาสู่โลก ลดความแตกต่างและความขัดแย้ง ทำให้ผู้คนหันมาแสวงหาการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางวัฒนธรรม การค้า และการเดินทางท่องเที่ยว

"ผมมีโอกาสพบปะกับผู้นำของหลายประเทศ ซึ่งในสายตาของผมแล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเป็นผู้นำที่มีความคิดกว้างไกล สุขุมลึกซึ้ง และมุ่งมั่นแน่วแน่" พินิจกล่าวทิ้งท้าย


ที่มา: Xinhuathai