รู้จัก ‘ทุ่งลาวามอส’ สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งไอซ์แลนด์ สนามซ้อมของทีมอพอลโล 11 ก่อนได้ประทับรอยเท้าแรกบนดาวต่างดวง

ไม่เพียงแค่ ‘แสงเหนือ’ ที่ลอยล่องสู่สายตานักท่องเที่ยวที่ ‘ไอซ์แลนด์’ ยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าจะเป็นความมหัศจรรย์ที่ดึงดูดผู้คนทั่วโลกเท่านั้น

หากแต่ดินแดนแห่งนี้ ยังมีความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ อย่าง ‘ทุ่งลาวามอส’ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม ‘พืชจิ๋ว’ ที่เติบโตบนซากลาวาอันแข็งแห้งและกระจายไปทั่ว ‘วงแหวนทองคำ’ อีกด้วย

ทั้งนี้ ‘วงแหวนทองคำ’ (Gullni hringurinn หรือ Golden Circle) คือ อีกชื่อหนึ่งของเกาะไอซ์แลนด์ หรือ ‘สาธารณรัฐไอซ์แลนด์’ (Republic of Iceland) ประเทศนอร์ดิกในยุโรปเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และ สหราชอาณาจักร มีเมืองหลวงคือ ‘เรคยาวิก’ (Reykjavík) 

โดย ‘ไอซ์แลนด์’ เป็นประเทศที่ตั้งที่อยู่ตรงกลางระหว่างแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ และ แผ่นเปลือกยูเรเชียน เป็นประเทศเดียวที่สามารถมองเห็นหุบเขาแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัว ‘สันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก’ (Mid-Atlantic Ridge) ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลได้ ซึ่งการแยกตัวออกจากกันอย่างต่อเนื่องของแผ่นเปลือกโลกทั้ง 2 ทำให้ไอซ์แลนด์มีภูเขาไฟจำนวนมากนั่นเอง

ดังนั้น ไอซ์แลนด์ จึงได้รับฉายาว่า ‘ดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง’ โดยส่วนของ ‘ไฟ’ มาจากการปะทุของภูเขาไฟนับครั้งไม่ถ้วนในอดีต

>> แล้วทุ่งลาวามอสเกิดจากอะไร? 
ในช่วงปี 1783 ถึง 1784 ได้เกิดการปะทุขนาดใหญ่ของภูเขาไฟ ‘Skaftáreldar’ ที่เป็นอีกหนึ่งภัยพิบัติที่รุนแรงที่สุดของไอซ์แลนด์ หลังจากภูเขาไฟปะทุ ลาวาร้อนๆ ก็ไหลไปสู่ด้านล่าง ตามแม่น้ำ หลอมละลายต้นไม้ต่างๆ จนเหลือแต่ซากของทุ่งลาวาขนาดใหญ่

แต่ในปัจจุบันนั้น นักท่องเที่ยวมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เห็นลาวาไหลออกมา ทำให้สิ่งที่จะได้พบเห็นในประเทศนี้ คือ ‘ทุ่งลาวาแห้ง’ ที่มีอายุต่างๆ กันไป เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สามารถเจริญเติบโตได้ และแพร่ขยายไปทั่วประเทศ จนกลายเป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ถือกำเนิดขึ้น และเชิญชวนให้ทุกคนต้องมาดูด้วยตาให้ได้สักครั้งในชีวิต ในชื่อ ‘ทุ่งลาวามอส’ (Lava field moss)

สำหรับ ทุ่งลาวามอสที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกด้วยนั้น จะมีชื่อว่า ‘Eldhraun’ (เอลธรอน) ครอบคลุมพื้นที่ 565 ตร.กม. เกิดการปะทุในปี 1783-1784 (200 กว่าปีที่แล้ว) ถือเป็นการปะทุที่อันตรายที่สุด มีก๊าซพิษปริมาณมากที่ยังหลงเหลือจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลกระทบเชิงลบต่อไอซ์แลนด์ ประชากรทั้งหมดถูกบังคับให้อพยพไปยังเดนมาร์ก สัตว์เลี้ยงบนเกาะมากกว่าครึ่งหนึ่งตาย

แม้ปัจจุบัน ‘เอลธรอน’ จะถูกปกคลุมไปด้วยมอสที่ใช้เวลาเกือบร้อยปีกว่าจะโต แต่ดินในทุ่งลาวาเอลธรอน ก็ยังมีความเปราะบางมาก และเป็นสาเหตุที่ทางการไอซ์แลนด์ไม่อนุญาตให้เดินบนทุ่งลาวามอส วิธีที่ดีที่สุดที่จะเก็บความประทับใจคือ จอดรถในบริเวณลานจอดที่จัดเตรียมไว้ และเดินบนเส้นทางที่กำหนด ถ่ายภาพ ซึ่งไม่ว่าจะหันไปมุมไหน ก็สามารถถ่ายภาพความประทับใจได้ทุกมุม ด้วยพื้นที่อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา 

อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกเรื่องที่น่าสนใจของที่นี่ เพราะหลังช่วงลาวาแข็งตัว ประกอบกับในช่วงเวลาที่พื้นแห่งที่ถูกปล่อยรกร้าง ทำให้ในปี 1969 สถานที่แห่งนี้ได้ถูกนำมาใช้เป็นที่ฝึกลูกเรือยานอวกาศอพอลโล 11 ของ NASA เพื่อซ้อมเดินบนดวงจันทร์ เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับพื้นผิวดวงจันทร์ ก่อนที่มนุษย์จะได้ขึ้นไปประทับรอยเท้าแรกบนดาวต่างดวงนั่นเอง