ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ฟอกเงิน รุ่นที่ 1

วันนี้ (22 มิ.ย.66) เวลา 14.00 น. พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปปง.ตร. เป็นประธานปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 ประจำปีพุทธศักราช 2566 รุ่นที่ 1 ณ ห้องประชุม โรงแรมคลาสสิก คามีโอ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง 

ทั้งนี้ ศปปง.ตร. ได้จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 ประจำปีพุทธศักราช 2566 รุ่นที่ 1ในระหว่างวันที่ 19 – 22 มิถุนายน 2566 เพื่อให้ข้าราชการตำรวจที่เข้ารับการอบรมมีความรู้ความสามารถ เข้าใจอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมเสริมสร้างทักษะในการปฏิบัติงานด้านการสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และเพื่อให้เกิดระบบที่เป็นมาตรฐานในการดำเนินคดีด้วยความโปร่งใสและยุติธรรม โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1 , ภาค 2 , ภาค 7 , ภาค 8 , ภาค 9 และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งสิ้นจำนวน 116 นาย โดยผู้เข้ารับการอบรมจากหน่วยต่าง ๆ จะเป็นครูต้นแบบ ที่จะนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับข้าราชการตำรวจ ในหน่วยงานสังกัดของตนต่อไป 

ทั้งนี้ ในพิธีปิดโครงการฝึกอบรม ฯ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ ได้มอบประกาศนียบัตร และมอบโอวาทแก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมทั้ง 116 นาย โดยกล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งมีผลกระทบต่อภาครัฐและประชาชน ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ถ่องแท้ เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมเน้นย้ำให้ข้าราชการตำรวจที่เข้ารับการฝึกอบรมทุกนาย นำความรู้ที่ได้รับการโครงการนี้ไปใช้ในการปฏิบัติงานจริงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับข้าราชการตำรวจในหน่วยของตนต่อไป