เปิดหลักฐานความพยายามให้สยามเกิด Thailand Spring เรื่องจริง!! อันตรายพุ่งเป้าต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
หลักฐานความพยายามในการทำให้เกิด Thailand Spring จากบทความ ‘ประชาชนคือป้อมปราการ’ โดย ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
มีนักการเมือง นักเคลื่อนไหว หลายคนที่พยายามถามหาหลักฐานการที่มีกล่าวหาว่า มีต่างชาติให้การสนับสนุนความพยายามในการจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันฯ ครั้งนี้จึงขอนำหลักฐาน ซึ่งเป็นบทความชื่อ ‘ประชาชนคือป้อมปราการ' ของคุณภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งได้ลงใน Post Today เมื่อหลายปีแล้วมาเล่าเพื่อให้ผู้อ่านได้พอเห็นภาพและเกิดความเข้าใจในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและเป็นไปดังนี้
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ เปิดเผย ไม่เกรงกลัว กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริงแต่เป็นความเท็จ ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงและบริษัทประชาสัมพันธ์ ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาทในขณะนั้น) เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกันเพื่อผลทางการเมืองของตน อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่งคือ เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว อีกคนหนึ่งคือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้ และเป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ ‘อากง’ มาเขียนโจมตี ม.112 เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในความเป็นจริง คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี
ในกลางปี พ.ศ. 2556 นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies) ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่ การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่งโดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผิน ๆ แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน (ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ในขณะนั้น)
ก่อนหน้านี้เมื่อปี พ.ศ. 2554 ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยงไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน สะท้อนให้เห็นว่า นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิดและต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน (พ.ศ.2556)
ไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐคิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และอีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมาโดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิปไตย แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด
นักล็อบบี้เหล่านี้ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุด และไปเคลื่อนไหวชักจูง ชี้นำ โน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรมที่ว่า สถาบันสูงสุดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย สถาบันทำลายสิทธิมนุษยชน อ้างว่า ปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น ‘ทางออก’ ของชาติ
พวกนี้พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า ‘สถาบันฯไม่สู้แล้ว’ เพราะถ้าสถาบันฯไม่สู้ สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่นนอกจากจะยืนข้างฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสถาบัน และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีนที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้สรุปว่า ฝ่ายสถาบันฯแพ้แน่ สหรัฐและประเทศเหล่านี้ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ
อย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันฯส่งสัญญานมาหลายครั้งแล้วว่า ‘ยังสู้’ และ ‘ไม่ยอมแพ้’ โดยเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทยไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดินเพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แต่ปรากฏ ‘แรงเฉื่อย’ ในสถาบันทหาร ศาล และรัฐบาล จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้
รัฐบาลไทยในอดีตเคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง ‘ศูนย์ไทยศึกษา’ และ ‘เพื่อนประเทศไทย’ เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ปรากฏว่า ศูนย์เหล่านี้กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น ไปยัง ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป
ไทยถูกคุกคามด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ สงครามทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global Trans park ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า ‘แบล็ควอเตอร์’ ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เบี้ยเลี้ยงต่างหาก เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ อเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว
อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเรื่องจริงและหนักหนา ชาติและสถาบันกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ
บทความนี้ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐฯ เพียงแต่ขอให้เพื่อนอย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น ปัญหาของประเทศไทยต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า สถาบันสูงสุดยังสู้ และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ