ผบ.ตร. เร่งรัดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะภัยออนไลน์ ที่เกิดขึ้น และสร้างความตระหนักรู้เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้แก่ประชาชน

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งรัดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะภัยออนไลน์ ที่เกิดขึ้น  และสร้างความตระหนักรู้เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้แก่ประชาชนนั้น 


วันนี้ (14 มี.ค.66) เวลา 10.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง  ผู้ช่วย ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน ได้ร่วมกันแถลงข่าว   เกี่ยวกับสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ในรอบปีที่ผ่านมา   และภัยออนไลน์ที่เกิดขึ้นใหม่ในรอบสัปดาห์ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีภูมิป้องกันภัยออนไลน์   ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ  โดยมีรายละเอียด ดังนี้  


ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา(1 มี.ค.2565-11 มี.ค.2566) พบว่ามีการรับแจ้งความคดีออนไลน์ 10 อันดับแรก ได้แก่ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 73,252 เคส/955,427,866 บาท 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม  29,945 เคส/3,323,194,517 บาท 3) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน   24,821 เคส/1,034,104,918 บาท 4) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ (call center) 20,013 เคส/3,505,338,808 บาท 5) คดีหลอกให้ลงทุน(ที่ไม่เข้าลักษณะฉ้อโกงประชาชน)16,460 เคส/7,661,884,637 บาท  6) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า(เป็นขบวนการ)8,036 เคส/57,293,969 บาท 7) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 7,285 เคส/  254,219,605 บาท 8) คดีหลอกให้โอนเงิน(ไม่เป็นขบวนการ) 5,286 เคส/  369,123,851 บาท 9) คดีหลอกให้รักแล้วลงทุน 3,201 เคส/  1,556,536,563 บาท และ 10)หมิ่นประมาท ดูหมิ่น 3,171 เคส/  11,641,372 บาท รวมทั้งปีมีผู้แจ้งความ 218,210 เคส มูลค่าความเสียหายรวม 31,579,305,746 บาท  


ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-11 มี.ค.2566)  พบว่ามีการรับแจ้งความคดีออนไลน์  5 อันดับแรก   ได้แก่ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 2,184 เคส/19,075,526.61 บาท     2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม 758 เคส/87,227,644.38 บาท    3) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ(call center)739 เคส/87,227,644.38  บาท  4) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 576 เคส/  23,697,409.86 บาท  และ 5) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 312 เคส/8,273,770.68  บาท รวมทั้งสัปดาห์มีผู้แจ้งความ  5,787  เคส/มูลค่าความเสียหายรวม 377,284,886  บาท  

 
จากสถิติรับแจ้งความออนไลน์ทั้งรอบปีและรอบสัปดาห์ข้างต้นพบว่า สถิติอันดับ 1-4  ยังคงอยู่ในลำดับต้นๆเหมือนเดิม จึงขอเตือนประชาชนไม่ให้หลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อแก๊งค์มิจฉาชีพดังกล่าว  
ภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์ คือ คดีแก๊งค์ call center แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังและได้โทรศัพท์หาผู้เสียหายให้ตรวจสอบสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐใน Website กระทรวงการคลัง จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนใน line ช่วงนี้คนร้ายส่ง link กระทรวงการคลังปลอมให้ผู้เสียหายกดเข้าไป ต่อมาคนร้ายได้ให้ผู้เสียหายกดที่โลโก้ของกระทรวงการคลังมุมขวามือ  ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลังจริง  จึงยินยอมกด link  เข้า Website ปลอม และกรอกข้อมูลชื่อ นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์  ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวในระบบ  และใส่รหัสยืนยันตัวตน  เลข 6 หลัก  ต่อมาผู้เสียหายกรอกเลข OTP 6 หลักให้คนร้ายเพิ่มเติม เป็นเหตุให้ผู้เสียหายถูกควบคุมโทรศัพท์และถูกดูดเงินออกไป จึงขอประชาสัมพันธ์ว่าจงมีสติไม่หลงเชื่อ ไม่กรอกหรือให้ข้อมูลส่วนตัวผ่านช่องทางออนไลน์และทางโทรศัพท์    

ไม่ควรกระทำการใดๆใน  Website   หรือ  Application ที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่กด link แปลกปลอม และไม่ดาวน์โหลด Application ที่ไม่ผ่านการยืนยันโดยแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ   

สถิติการรับแจ้งความออนไลน์ 

สถิติการรับแจ้งความออนไลน์รอบ 1 ปี 

(1 มี.ค.2565-11 มี.ค.2566) / มูลค่าความเสียหาย สถิติการรับแจ้งความออนไลน์รอบสัปดาห์ 
( 5-11 มี.ค.2566) / มูลค่าความเสียหาย 


สถิติ 10 อันดับแรก 
1. คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 73,252 เคส/955,427,866 บาท  
2. คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม  29,945 เคส/3,323,194,517 บาท 
3. คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน   24,821 เคส/1,034,104,918 บาท  
4. คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ (call center) 20,013 เคส/3,505,338,808 บาท 
5. คดีหลอกให้ลงทุน(ที่ไม่เข้าลักษณะฉ้อโกงประชาชน) 16,460 เคส/7,661,884,637 บาท   
6. คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า(เป็นขบวนการ) 
8,036 เคส/57,293,969 บาท  
7. คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 7,285 เคส/  254,219,605 บาท  
8. คดีหลอกให้โอนเงิน(ไม่เป็นขบวนการ) 5,286 เคส/  369,123,851 บาท  
9. คดีหลอกให้รักแล้วลงทุน 3,201 เคส/  1,556,536,563 บาท  
10. หมิ่นประมาท ดูหมิ่น 3,171 เคส/  11,641,372 บาท  


รวมทั้งปี 218,210 เคส/31,579,305,746 บาท

สถิติ 5 อันดับแรก 
1. คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 2,184 เคส/19,075,526.61  บาท 
2. คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม 758 เคส/87,227,644.38  บาท 
3. คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ(call center)739 เคส/87,227,644.38  บาท 
4. คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 576 เคส/  23,697,409.86 บาท 
5. คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 312 เคส/  8,273,770.68  บาท 
รวมทั้งสัปดาห์ 5,787 เคส/377,284,886 บาท 


ข้อควรปฏิบัติในการป้องกัน Application ดูดเงิน 
1. ก่อนเกิดเหตุ 
1.1  ไม่ผูกบัตรเครดิต หรือ บัตรเดบิต ไว้ในแอปต่าง ๆ หากจำเป็นให้ยกเลิกการผูกบัตรเมื่อใช้งานเสร็จ หรือจำกัด  
 ยอดวงเงินที่รับความเสี่ยงได้เอาไว้ 
1.2  หลีกเลี่ยงการผูกบัญชีเงินฝากที่มียอดสูงๆ กับแอพพลิเคชั่นธนาคาร  ใช้บัญชีที่มียอดเงินเท่าที่จำเป็น หรือหาก 
 มีความจำเป็นต้องรับ-โอนเงินจำนวนมาก/วัน ควรแยกเครื่องที่ใช้โทรศัพท์หรือเล่นโซเชียลมีเดีย  
1.3 อย่าตั้ง “รหัส” เข้าแอพพลิเคชั่นธนาคาร ตามวันเดือนปีเกิด เลขบัตร เบอร์โทร ที่คนร้ายสุ่มได้ง่าย 
2. ขณะเกิดเหตุ 
2.1 “ตั้งสติ” ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจถูกหลอกลวง ตั้งคำถามกับตัวเอง “จริงเหรอ”  
2.2  “ตรวจสอบ” กลับ โดยดำเนินการ ดังนี้  
1)  ดูเบอร์โทรที่โทรมา หากมีเครื่องหมาย + นำหน้า  แสดงว่าที่ตั้งอยู่ต่างประเทศ  
2) เบอร์มือถือโทรมา เราต้องขอเบอร์ “คอลเซ็นเตอร์หน่วยงาน” ที่อ้าง เพื่อติดต่อกลับเองเพื่อถามข้อมูล   
3) อ้างติดธุระขอวางสาย  แล้วโทรกลับเบอร์ที่คนร้ายโทรมา หากโทรไม่ได้  แสดงว่าเป็นการโทรโดยใช้ระบบ 
อินเตอร์เน็ต(VOIP) โทรมาหลอกลวง 
2.3 “ต้องสังเกต” ลิงค์ที่คนร้ายให้มาว่าผิดปกติหรือไม่ เช่น ใช้ขีด แทน จุด เป็นต้น  ให้นำลิงค์ตรวจสอบกับ 
เว็ป https://whois.domaintools.com/ จะเห็นว่าเพิ่งเปิดมาไม่นาน ของหน่วยราชการส่วนใหญ่จะเปิดมา 
หลายปี   

2.4 “ต้องห้าม”  

1) โหลดลิ้งก์จากคนที่เราไม่รู้จักนอก play store/app store  

2) ไม่อนุญาตให้ใครเข้าถึงข้อมูลในเครื่อง สังเกตคำเตือนจากโทรศัพท์ของเรา

3) ไม่บอกรหัสใดๆ ที่แจ้งมาให้ผู้อื่นทราบ 


2.5 “ตัดสัญญาณ”  เมื่อเกิดอาการ “หน้าจอค้าง”  คนร้ายอ้างว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบ แต่ความจริงเครื่องท่านถูก รีโมทแล้ว  ต้องรีบตัดสัญญาณ โดยปิดเครื่อง/ปิดเร้าเตอร์/ถอดซิม(คลิปเสียบกระดาษช่วยได้)