ผิดที่ไว้ใจ!! ‘รัตนพันธ์’ แฉพฤติกรรม 'SC-หญิงอ้อ-ลูกเขย' แค่ผู้ดีลวงโลก พร้อมฝากถึง 'อุ๊งอิ๊ง' อย่าอาสาดูแลชาติ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังดูแลไม่ได้

ครอบครัว ‘รัตนพันธ์’ ร้องสื่อมวลชน เพื่อขอความเป็นธรรม เนื่องจากถูก บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ASSET  โดยคุณหญิงพจมาน ชินวัตร และ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้เป็นลูกเขย หลอกลวง ฉ้อฉล โดยหลอกเอาเปรียบว่าจะช่วยเหลือ มอบเงินให้ 20 ล้าน สุดท้ายเป็นหลุมพราง กลายเป็นสัญญาเงินกู้ ที่หลอกให้เด็กแค่ 23 ปี เซ็น ด้วยคำพูดที่หวาน อ่อนโยน เห็นอกเห็นใจ และท่าทีที่ดูเป็นมิตร น่าเชื่อถือ กับคำพูดที่ว่า “คนไทยด้วยกัน” จึงทำให้ ทางครอบครัว 'รัตนพันธ์' หลงเชื่ออย่างสนิทใจ 

ซึ่งต่อมาก็ต้องประสบเคราะห์กรรม มีทั้งการสูญเสียบ้านและที่ดินมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ตามบันทึกข้อตกลงที่ SC ASSET ทำร่วมกับ ดร.ศรายุทธ ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 โดยหลังจากเสียบ้านและที่ดินไป ครอบครัวรัตนพันธ์ก็บ้านแตกสาแหรกขาด ต่างคนต่างต้องแยกย้ายกันหาที่เช่าอยู่ ขาดรายได้ และไม่มีแม้กระทั่งเงินจะส่งลูกชายเรียนต่อระดับชั้นมหาวิทยาลัย ครอบครัวได้ติดตามให้ SC ASSET รับผิดชอบโดยการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด จากการทำหนังสือลงทะเบียนตอบรับเป็นทางการ ถึงผู้บริหารและผู้ถือหุ้นกว่า 100 ฉบับ แต่ SC ASSET เลือกให้ผู้บริหารฝ่ายกฎหมายมาเจรจา โดยไม่แสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจังต่อครอบครัว น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง

ด้านนางสาวฐานิตา รัตนพันธ์, ดร.ศรายุทธ รัตนพันธ์ และ นายลัดฟ้า รัตนพันธ์ จึงต้องออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมจากสังคม ผ่านสื่อมวลชน โดยหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือ 

ซึ่งประเด็นสำคัญ คือ ซีอีโอ SC ASSET หรือ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ เป็นผู้รับปากในที่ประชุม เองว่าไม่ต้องเป็นห่วง จะดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเองจนจบ ครอบครัวก็โล่งใจเพราะปัญหาได้คลี่คลาย แต่ปรากฏว่าภายหลังออกจากห้องประชุม เนื้อความในสัญญาที่ SC ASSET ทำขึ้นกลับไม่ตรงกับสิ่งที่ตกลงร่วมกันในที่ประชุมหลายข้อ และเมื่อติดต่อให้แก้ไข ทางนายอรรถพล ยืนยันว่าแก้ไขไม่ได้ แต่อ้างกับเราว่านี่คือวิธีการที่ดีที่สุดในแก้ปัญหา เพราะต้องทำตามแบบบริษัทมหาชน แต่จะยึดตามเจตนารมณ์ที่คุยร่วมกันในที่ประชุม และต้องเซ็นในบันทึกที่ SC ASSET ทำขึ้นเท่านั้น และด้วยความรู้ไม่เท่าทัน รวมถึงครอบครัวรัตนพันธ์ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการเซ็นเพื่อให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดตามตกลง เราเลยลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไป

ระยะเวลาทั้งหมดที่พูดถึงในการประชุมในตอนนั้น ปี 61 หลังจากที่พี่พงศ์ เขามาคุยกับเรา เข้ามาบอกพี่จะดูแลทั้งหมด ในภาพเป็นคนดีมากๆ เป็นสุภาพบุรุษ เป็นตามภาพที่เขาก็ยังทำอยู่ทุกวันนี้ให้ทุกคนเห็น แต่เราแค่อยากจะบอกว่า ณ วันนั้นเราก็เชื่อทุกอย่าง ในวันประชุมเขายื่นทิชชู่มาให้ซับน้ำตา เพราะบ้านเราต้องสูญเสียไปเพราะการกระทำของบริษัท เอสซี ถึงวันที่ CEO เข้ามาบอกจะรับผิดชอบ จะทำทุกอย่างให้เรื่องมันยุติ จะชดใช้ค่าเสียหายให้ ณ วันนั้นเราไม่รู้เลยว่าวิธีการที่เขาบอกว่ามันคือ ให้เอาเงินค่าเสียหายเบื้องต้นไป 20 ล้านก่อนนะ แต่พี่อยู่ในสปอตไลท์ต้องให้น้องมาเซ็น น้องที่อายุแค่ 23 ปี ณ ตอนนั้น มาเซ็นกู้ยืมเงินไว้ เพราะมันต้องทำ เพราะบริษัทจ่ายเงินออกมาเลยไม่ได้ ส่วน 200 ล้าน ก็ไปเป็นประโยชน์จากส่วนต่าง สุดท้ายที่เขาบอกว่าแก้ไขได้ หรืออะไรก็ตาม บริษัทก็บอกว่าจะต้องเซ็นแบบนี้เท่านั้น บริษัททำได้แค่อย่างนี้

แต่หลังจากเซ็นบันทึกข้อตกลง มีประเด็นเพิ่มเติมว่า เมื่อทราบรายละเอียด ดร.ศรายุทธ พยายามติดต่อกับ ซีอีโอ SC ASSET แต่ติดต่อไม่ได้ จึงเกิดความเครียดมาก ป่วย หน้าเบี้ยว มือสั่น เส้นเลือดในสมองตีบ ในขณะที่ครอบครัว “รัตนพันธ์” เรียกร้องบริษัท SC ASSET ปรับแก้บันทึกให้เป็นไปตามที่ตกลงในที่ประชุม โดยมีการแก้อีกหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เป็นไปตามในที่ประชุม จน ดร.ศรายุทธ เครียดอาการทรุดหนัก ทั้งทางร่างกายและจิตใจ หลับไม่ได้ สะดุ้งตื่นทั้งคืน จนคุณหมอต้องให้แอดมิด ไปนอนพักรักษาตัวอยู่ในแผนกจิตเวชผู้ใหญ่ โรงพยาบาลรามาธิบดีอยู่ 12 คืน ส่วนลูกสาวต้องดรอปเรียนมาดูแลคุณพ่อป่วยหนัก ที่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายในตอนนั้น เพราะเครียดหนักจากสิ่้งที่ต้องเผชิญ เนื่องจากผู้กระทำผิดไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ แต่เป็น CEO ที่เป็นสามีของผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 และเป็นพี่เขยของผู้ถือหุ้นอันดับ 1 มูลค่ารวมกันกว่า 10,000 ล้านบาท เปรียบดังเจ้าของบริษัท ซึ่งมาลวงไม่ใช่แค่ตนเองแต่ลวงเด็กๆ ลูกตนเองด้วย

กระบวนการต่อจากนั้น เมื่อครอบครัวรัตนพันธ์เดือดร้อนถึงที่สุด ทาง ดร.ศรายุทธ จึงพยายามหาทางประสานไปที่ต้นเรื่อง คือคุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ โดยได้รับการช่วยเหลือติดต่อจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้โทรไปขอความเป็นธรรมจากคุณหญิง กระทั่งมีโอกาสเข้าไปนั่งคุยกับคุณหญิงพจมาน ที่ห้องทำงาน ณ ตึกชินวัตร ทาวเวอร์ 3 โดยคุณหญิงพจมาน บอกว่าให้นำเอกสารมาจะดูแลให้การช่วยเหลือให้ความเป็นธรรม เพราะถือเป็นคนไทยด้วยกัน แต่สุดท้ายเมื่อได้รับเอกสารทั้งหมดไปพิจารณา คุณหญิงพจมานกลับส่งเรื่องให้เลขาฯมาบอกกับผู้ใหญ่ท่านนั้นว่ารอหมดเวลาตามบันทึกข้อตกกลง แล้วจะเดินหน้าฟ้องครอบครัว ‘รัตนพันธ์’ ฐานทำให้เกิดความเสียหาย

ทั้งนี้ นายลัดฟ้า ย้ำด้วยว่า ที่ผ่านมาครอบครัวไว้ใจและเชื่อใจในสิ่งที่ นายณัฐพงศ์ ซีอีโอ SC ASSEET รับปากกับตนในที่ประชุม จึงได้ดำเนินเรื่องต่อโดยการนำที่ดินไปให้บริษัทรับโอนเพื่อรับเงินค่าเสียหาย แต่สุดท้ายบริษัท SC ASSET กลับให้นักกฎหมายปฏิเสธ โดยอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ พร้อมนำสัญญาเงินกู้ที่ใช้อำพรางการจ่ายเงินเยียาวยา มาฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อครอบครัว “รัตนพันธ์” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 จนกลายเป็นการตอกย้ำให้เห็นพฤติการณ์ของบุคคลในครอบครัวชินวัตร และ ผู้บริหาร SC ASSET ตลอดระยะเวลาทีผ่านมาหลายปี

ท้ายสุดสมาชิก "รัตนพันธ์" ยังฝากคำไปถึง "อุ๊งอิ๊ง" นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ด้วยว่า ในฐานะที่บอกตัวเองเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย อยากจะมาอาสารับใช้ประเทศชาติ อยากจะมาแก้ปัญหาของประชาชน อยากให้คุณอุ๊งอิ๊ง ถอยกลับมองถึงที่บ้านของตัวเอง ที่บริษัท ที่องค์กรของคุณ ลองกลับไปมองดู ว่าปัญหาที่บริษัท ที่ครอบครัวตัวเองทำไว้ แก้ได้หรือยัง เราเป็นครอบครัวเล็กๆที่ได้รับการสูญเสีย จากการกระทำของครอบครัวคุณ ของบริษัทคุณโดยตรง คุณรับรู้ทุกอย่างแต่เพิกเฉย อย่าคิดที่จะมาอาสาแก้ปัญหาประเทศชาติ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน รับผิดชอบดูแลคนอีก 70 กว่าล้านคนเลย ถ้าแค่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ ยังกลับมาดูแล และรับผิดชอบให้มันตรงไปตรงมาไม่ได้


ที่มา: Top News