'พิพัฒน์ รัชกิจประการ' รมต. Low Profile แต่ High Profit พลิก 'กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา' เดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจประเทศ

ก่อนปี 2562 ชื่อของ 'พิพัฒน์  รัชกิจประการ' เป็นที่รู้จักในฐานะนักธุรกิจเจ้าของกิจการปั๊มน้ำมัน และกิจการเรือประมงขนาดใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้

แต่ในทางการเมือง หลังเลือกตั้ง 62 เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล ชื่อเดียวกันนี้ กลับแทบไม่มีใครรู้จัก เมื่อเขาเข้ามารับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในโควต้าของพรรคภูมิใจไทย 

'พิพัฒน์' เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ ว่าเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยเปิดเผยตัวเอง จึงไม่ค่อยมีใครรู้จัก ขนาดที่ว่าพอได้รับการประกาศชื่อเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรี สื่อต่างๆ พยายามหาข้อมูลและถึงกับลงรูปของเขาผิด เรียกว่านักข่าวก็ยังงง ว่าเขาเป็นใครในห้วงเวลานั้น 

ถ้าดูในประเด็นการเมือง 'พิพัฒน์' ดูจะมีบทบาท และพื้นที่น้อยกว่ารัฐมนตรีคนอื่นๆ  แต่ในประเด็นของการทำงาน เดินหน้านโยบายการท่องเที่ยวและกีฬา ฟื้นเศรษฐกิจในช่วงที่ไทยเริ่มกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวหลังโควิด 19 ขณะเดียวกันก็เห็นเนื้อเห็นหนังในการยกระดับ มาตรฐานทางด้านการกีฬาอยู่ไม่น้อย ลองย้อนไปดู 'ผลงาน' แบบตึงๆ ของ รมต.คนนี้กัน

#ไอเดียเปิดผับตีสี่ - ทุ่ม 200 ล้านดึง 'ลิซ่า' เคาท์ดาวน์ภูเก็ต  

หลังเข้ารับตำแหน่งเจ้ากระทรวงการท่องเที่ยวไม่นาน เดือนสิงหาคม ปี 2562 เจ้ากระทรวงการท่องเที่ยวฯ คนนี้ ก็ผุดไอเดีย ขยายเวลาเปิดผับถึงตี 4 ออกมาโยนหินถามสังคม โดยแนวคิดเบื้องต้นเกิดจากความต้องการช่วยพยุงรายได้ด้านการท่องเที่ยวในช่วงที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัว

ทันทีที่ไอเดียนี้ถูกสื่อสารออกไป ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก เจ้าตัวใช้คำว่า 'โดนอัดกลับมาเยอะ' โดยเฉพาะจากภาคประชาชนอย่างเครือข่ายต้านน้ำเมา ที่เข้ายื่นหนังสือคัดค้าน  

แม้ว่า 'รัฐมนตรีท่องเที่ยวฯ' จะอธิบายว่าแนวคิดขยายเวลาปิดสถานบันเทิงจาก ตี 2 ไป ตี 4 นั้น แค่ต้องการจัดโซนนิ่งเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ แต่เขายังรับฟัง ทำความเข้าใจ และ 'ยอมถอย' เพื่อกลับมาพิจารณาศึกษาทบทวนให้ถี่ถ้วนขึ้น

หลังจากกลับไปทำการบ้านอยู่เป็นปี ๆ จนเมื่อกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ศึกษาข้อมูลแล้วพบว่า การขยายเวลาปิดสถานบันเทิงไปถึงตี 4 จะช่วยเพื่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 25% ล่าสุด 'พิพัฒน์' นำแนวคิดนี้กลับมาอีกครั้ง ชงเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อขอความเห็นชอบ โดยเสนอนำร่องที่ถนนบางลา อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติแห่งเดียวก่อน เพื่อศึกษาผลกระทบ และประเมินมาตรการอีกครั้ง พร้อมเสนอเก็บค่าเหยียบแผ่นดินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และผลักดันการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นประเทศ เป็นวาระแห่งชาติด้วย

ส่วนอีกกรณี ที่ชิงพื้นที่พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน คือการวางแผนจัดงาน 'เคาท์ดาวน์ 2565' ที่รัฐมนตรีท่องเที่ยวฯ ออกมาประกาศลั่น ว่ากำลังจะทุ่มงบฯ 200 ล้าน ดึง 'ลิซ่า แบล็กพิงค์' มาร่วมฉลองปีใหม่ที่สะพานสารสิน จ.ภูเก็ต และเชิญ 'อันเดรอา โบเซลลี' นักร้องโอเปร่าระดับโลกขาวอิตาลี มาฉลองคืนข้ามปีที่ท้องสนามหลวง ซึ่งมีฉากหลังเป็นวัดพระแก้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการดึง 'บิ๊กอีเว้นท์' กลับมา ในช่วงที่บ้านเรากำลังจะเริ่มเดินหน้าเปิดประเทศหลังวิกฤติโควิด-19 ที่ยาวนานกว่า 2 ปีเริ่มคลี่คลาย 

ทันทีที่ประกาศ นอกจากจะถูกวิจารณ์หนักสุด ๆ เรื่องการทุ่มงบประมาณมหาศาล ไปกับการจัดงานคืนเดียวแล้ว ไม่กี่วันถัดมาหลังมีการประกาศยืนยัน ว่า 'ลิซ่า' ตอบรับมาร่วมงานแล้ว รัฐมนตรี 'พิพัฒน์' ก็ออกมากล่าวขอโทษ แอ่นอกรับแบบตรงๆ ว่า ลิซ่า 'ติดคิว' มาร่วมงานไม่ได้ ซึ่งเกิดความผิดพลาดในด้านการประสานงานของทางกระทรวงเอง อย่างไรก็ตาม มีการปรับแผนในการจัดงานโดยใช้ความเป็นท้องถิ่น ในการจัดงานฉลองปีใหม่กันแบบไทยๆ แทน เป็นอันจบดราม่า ทั้งเรื่องการใช้งบประมาณ และรอลุ้นว่าศิลปินระดับโลกจะมาเคาท์ดาวน์ในบ้านเราหรือไม่

สองตัวอย่างที่ยกมา มองเผินๆ ดูเหมือนเป็นความผิดพลาดล้มเหลว แต่อีกด้านกลับสะท้อนความ 'กล้าคิด' และ 'กล้าปรับ กล้ารับ กล้าถอยและทบทวน' ของรัฐมนตรีวัย  67 ปีคนนี้ เมื่อไอเดียหรือแนวนโยบายของเขา มีปัญหาหรือเกิดคำถามจากสังคม 

#ฟื้นท่องเที่ยว - หนุนกีฬา เพิ่มมูลค่าให้ประเทศ 

รัฐมนตรี 'พิพัฒน์' มุ่งฟื้นฟูผลักดันการท่องเที่ยวในรูปแบบที่เปลี่ยนไปหลังสถานการณ์โควิด-19  โดยปลุกปั้น รูปแบบ 'Sport Tourism' หรือการท่องเที่ยวเชิงกีฬา และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพื่อแทนที่จุดขายเดิมของบ้านเรา ที่เน้นแต่ 'Sea Sand Sun' ขายเพียงจุดเด่นด้านทรัพยากร และสภาพภูมิอากาศดึงดูดนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว พูดให้ง่ายก็คือ ปรับรูปแบบ จุดขายการท่องเที่ยวไทย จากเชิงปริมาณ ให้เป็นการเน้นท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ในส่วนของกีฬา ก็เห็นเนื้อเห็นหนัง ในการยกระดับการกีฬา ไม่ว่าจะเป็นความพยายามผลักดัน 'มวยไทย' ให้เป็น 'ซอฟท์เพาเวอร์' ขยายอิทธิพลไปยังระดับนานาชาติ และการผลักดันมวยไทย ให้เป็นกีฬาสากล ด้วยความหวังให้มีการบรรจุเข้าในการแข่งขันในมหกรรมกีฬาระดับโลก หรือการยกระดับ 'งานวิ่ง' โดยเฉพาะการดึงการจัดงานวิ่งเทรลระดับโลก อย่าง UTMB เข้ามาจัดในไทยได้ถึงสองสนาม คือที่ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่  และที่อำเภอเบตง จ.ยะลา ซึ่งเดินหน้าจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 แล้ว 

ตัวตนของ 'พิพัฒน์ รัชกิจประการ' นอกจากเป็นรัฐมนตรีที่สื่อเข้าถึงได้ง่าย เป็นกันเอง ไม่มีพิธีรีตรอง และพร้อมจะตอบ จะเคลียร์ทุกคำถามแล้ว สิ่งที่เขาทำมาตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี บทบาทมูลค่าทางการเมืองอาจดูน้อย แต่มูลค่าเม็ดเงิน หรือผลประโยชน์ที่กลับเข้าสู่ประเทศในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้น้อยตามโปรไฟล์ของตัวเขาเลย