ชี้เป็น ชี้ตาย!! เมื่อการกราดยิงเป็นเรื่องปกติในสังคมอเมริกา ไม่เกี่ยวกับ ‘ผู้ป่วยทางจิต’ และ ‘เด็กติดเกม’

หลายหนที่เจอคำถามว่าทำไมคนอเมริกันถึงบ้าคลั่งสาดกระสุนฆ่าคนบริสุทธิ์ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในที่สาธารณะบ่อยๆ จนคล้ายกับว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้วในสังคมอเมริกัน ทำให้เพื่อนหลายคนในเมืองไทยถามว่า ทำไมจึงมักเกิดเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ขึ้นในประเทศที่ ‘ว่ากันว่า’ เจริญแล้ว

นิยามของการการกราดยิงของหน่วยงานอย่าง ‘เอฟบีไอกัน’ คือต้องมีผู้ถูกยิงในเหตุการณ์เดียวกัน 4 คนขึ้นไป รวมถึงตัวผู้ก่อเหตุได้ด้วย สามารถก่อการได้ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป แต่ส่วนมากมักพบว่ากระทำการเพียงลำพัง

คนส่วนมากมักคิดว่า มือปืน มีอาการป่วยทางจิต แต่จากงานศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลอมเบียพบว่า มือปืนผู้ก่อเหตุนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญหาป่วยทางจิต 

งั้นการเล่นเกมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงล่ะเป็นมูลเหตุนำไปสู่การกราดยิงด้วยหรือเปล่า? 

จากงานสำรวจของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ใดเลยระหว่างเกมและเหตุการณ์กราดยิง 

สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า อเมริกาเป็นประเทศที่เกิดเหตุกราดยิงเพื่อสังหารหมู่เป็นจำนวนมากครั้งที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของเหตุกราดยิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก 

ไม่แปลกหรอก!! เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีจำนวนอาวุธปืนหมุนเวียนในตลาดมากที่สุดในโลก อยู่ที่ประมาณ 270-310 ล้านกระบอก เทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ราว 319 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าชาวอเมริกันแทบทุกคนมีปืนเป็นของตัวเองอย่างน้อยคนละ 1 กระบอก

หลังเหตุการณ์กราดยิงในที่สาธารณะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนอเมริกันเลยหันมาถกเถียงอย่างดุเดือดว่า ควรออกกฎหมายจำกัดสิทธิในการพกปืนหรือไม่ เพราะการมีปืนไว้ครอบครองนั้นง่ายมาก ทุกคนเลยอยากซื้อปืนโดยอ้างว่ามีไว้ป้องกันตัว แต่ไม่มีใครย้อนคิดถึงสาเหตุของการมีปืนไว้ประจำบ้านว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน

ด้านฝ่ายที่ไม่อยากให้ควบคุมอาวุธปืน ก็ชักแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายว่า...อเมริกาเป็นประเทศที่ก่อร่างตั้งตัวด้วยการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก ตั้งแต่ใช้ปืนไล่ยิงอินเดียนแดง เพื่อแย่งแผ่นดิน มาจนถึงการลุกขึ้นไล่ชาวยุโรปชาติอื่นที่มาตั้งอาณานิคมบนแผ่นดินใหม่ออกไป แล้วหันไปรบกับชาวอังกฤษจากแผ่นดินแม่ ดังนั้นปืนคือ สิ่งจำเป็นตั้งแต่ในยุคเริ่มบุกเบิก

การให้ประชาชนมีอาวุธปืนไว้ใช้ป้องกันตนเอง ถูกตราไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของปวงประชามะริกัน ฝ่ายที่สนับสนุนการมีปืนในครอบครองอ้างว่าการครอบครองอาวุธปืนเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา แถมแย้งว่าหากมีการออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนจะยิ่งทำให้ผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่สามารถปกป้องตัวเองจากภัยคุกคามต่าง ๆ ได้ จากนั้นก็ยกสโลแกนเก๋ ๆ ขึ้นมาตบท้ายว่า…

“Gun does not commit crime, people do !” 
“ปืนไม่เคยก่ออาชญากรรม...แต่คนต่างหากที่ทำ !

ส่วนฝ่ายที่อยากให้มีการควบคุมอาวุธปืน ก็ลุกมาโต้แย้งแสดงเหตุผลนานาประการเช่นกัน ว่าจำเป็นต้องมีกฎหมายที่เข้มงวดกว่านี้ในการครอบครองปืน เพื่อลดความเสี่ยงที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นอีก 

ทั้งนี้มีงานศึกษาหลายชิ้น พบความเชื่อมโยงระหว่างจำนวนการครอบครองปืนและการฆาตกรรม คือ รัฐที่มีผู้ครอบครองปืนมากกว่าจะมีการฆาตกรรมมากกว่ารัฐอื่น

ในยุคประธานาธิบดี โอบามา มีการใช้กฎระเบียบใหม่ว่าด้วยการซื้อขายอาวุธปืนในอเมริกา ว่านับจากนี้เป็นต้นไปกำหนดให้มีการตรวจสอบภูมิหลังผู้ขอซื้อปืนเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากมีแถลงการณ์นี้ออกมา สมาชิกสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติก็โวยวายทันทีโดยอ้างว่า “ขัดต่อหลักการเสรีภาพของอเมริกา”

จะว่าไปแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะสมาคมไรเฟิลแห่งชาติ (The National Rifle Association – NRA) มีอิทธิพลสูงมากในสภา เพราะเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่รายหนึ่งของพรรครีพับลิกันอีกต่างหาก ในขณะที่ผลประโยชน์ในด้านการค้าอาวุธของอเมริกานั้นมีมูลค่ามหาศาลทางเศรษฐกิจ 

ไม่รู้ว่าโศกนาฏกรรมเช่นนี้จะจบลงเมื่อไหร่ เหมือนไม่สามารถหาความปลอดภัยใดๆ ได้ ไม่ว่าจะทั้งในเมืองเล็กและเมืองใหญ่ กระสุนจากความเกลียดชังอาจปลิวมาฝังร่างได้ทุกเมื่อ เมื่อเกิดความวิปริตในจิตใจ บางคนก็สามารถลั่นไกคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้า โศกนาฏกรรมจึงยังคงเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตและอาจจะไม่มีวันจบสิ้น


เรื่อง: เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้