ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เจ้าพ่อแฉแห่งปี

ชื่อของนาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเสี่ยอ่างจอมแฉ กระหึ่มปังขึ้นมาอีกครั้ง หลังหวิดวางมวย สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการสันติบาล หน้า สน.ทองหล่อ เมื่อวันที่ 9 พ.ย.65 เหตุตัวตึงวงการแฉรายนี้ ได้เปิดโปงข้อมูลกลุ่มทุนจีนสีเทาในประเทศไทย ที่ขยายวงไปแตะทั่วแทบวงสังคมในบ้านเราจนประชาชนต่างให้ความสนใจ 

อันที่จริง ตัวตึงแห่งวงการแฉคนนี้ ทำหน้าที่โดดเด่นมาทั้งปี แต่ซีรีส์ภาคต่อก็คงไม่พ้นกรณีการแฉทุนจีนธุรกิจสีเทา ที่พาคนไทยลากผ่านไปพบปกเงื่อนงำแบบยกโขลง ตั้งแต่การแฉ ปาร์ตี้ผับหรู จินหลิง ยานนาวา ที่เปิดเกินเวลา มียาเสพติดเกลื่อน โดยมีทุนจีนธุรกิจสีเทาหัวโจกหลัก 

การเปิดข้อมูลสำคัญ มี 5 กลุ่มมาเฟียจีน ภายใต้หัวหน้าแก๊งที่ชื่อ ‘เจ้าเหว่ย’ แห่งอาณาจักร ‘คิงส์โรมัน’ ซ่องสุมกระทำความผิดในไทย 

การตั้ง ‘กลุ่มบริษัทศูนย์เหรียญ’ ที่เหมือน ‘ทัวร์ศูนย์เหรียญ’ ไปจนถึง ‘ผับศูนย์เหรียญ’ ขยายผลไปยังพิกัดและแหล่งซ่องสุมใหม่ของนายทุนจีนเทา รวมไปถึงเบื้องหลังของ ‘ตู้ห่าว’ และเปิดยุทธการชำแหละทรัพย์สิน ข้อมูลนอมินี กระบวนการฟอกเงิน และผู้เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่ทุนจีนสีเทาเหล่านี้ 

สำหรับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ปัจจุบันอายุ 61 ปี เป็นบุตรคนสุดท้อง มีพี่น้อง 8 คน ชาย 5 คน หญิง 3 คน ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ฮ่องกง ก่อนจะย้ายมาประเทศไทยอาศัยอยู่และเติบโต ในย่านเยาวราช โดยครอบครัวทำธุรกิจนำเข้าและผลิตแบรนด์กางเกงยีนส์ฮาร่า ที่ตอนนี้ผู้พี่ชายดูแลกิจการอยู่

ดีกรีด้านการศึกษาของ ชูวิทย์ ก็ไม่เบา เขาได้เข้าเรียนประถมศึกษา ในโรงเรียนสหพาณิชย์เข้าศึกษาต่อมัธยมต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และ มัธยมปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จากนั้นศึกษาต่อปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และเคยเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยซานดิเอโกแต่ไม่สำเร็จการศึกษา และหลังจากนั้นได้ศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์

ชูวิทย์ เริ่มก้าวเข้าสู่แวดวงธุรกิจ ด้วยการเริ่มทำบ้านจัดสรร และเปิดร้านอาบอบนวดชื่อ ‘วิคตอเรีย ซีเคร็ท’ ขยายกิจการจนเป็นเจ้าของทั้งหมด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป ก่อนไปก่อตั้ง ‘มูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์’ จนกระทั่งออกมาแฉเรื่อง การรีดไถ รับส่วย ของตำรวจ จนได้รับฉายา เสี่ยอ่างและจอมแฉ

นอกจากนี้แล้ว ชูวิทย์ยังเป็นเจ้าของโรงแรม The Davis Bangkok Hotel ที่ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 24  ขนาด 7 ไร่โดยเฉพาะที่ดินคาดว่าจะมีมูลค่าหลายพันล้านบาท เพราะสุขุมวิท ซอย 24 เป็นซอยที่ติดอันดับราคาที่ดินที่แพงที่สุดในเมืองไทย ก่อนหน้านี้ อาชู เคยเป็นเจ้าของ สวนชูวิทย์ ปากซอยสุขุมวิท 10 จุดที่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจ บาร์เบียร์ ซึ่งหลังจากมีปัญหา ชูวิทย์ก็เปลี่ยนจุดมุ่งหมายการสร้าง ไปเป็นสวนสาธารณะ และยกให้เป็นสวนสำหรับประชาชนคนกรุงเทพ และเป็นที่ทำการพรรครักประเทศไทย ของตัวเอง ก่อนที่ในปัจจุบัน จะเปลี่ยนเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ เพื่อใช้สอยหลายรูปแบบ

ในด้านการเมือง ชูวิทย์ ได้ก้าวเข้ามาสู่วงการเมืองในปี 2547 ด้วยการลงสมัคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีผลคะแนนออกมาเป็นลำดับที่ 3 ก่อนจะนำพรรค ของตัวเอง ไปรวมกับพรรค ‘ชาติไทย’ แล้วขึ้นเป็นรองหัวหน้าพรรค จากนั้นอีกหนึ่งปีต่อมาชูวิทย์ได้ลง สมัคร ส.ส. พรรคชาติไทย ก่อนจะถูกให้พ้นสภาพเนื่องจากยังทำงานไม่ครบจำนวน 90 วันหลังเป็นสมาชิกพรรคชาติไทย จึงได้หันไปลงสมัคร ส.ว. แต่ก็ถูกเพิกถอนอีกครั้ง เนื่องจากยังลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ไม่ครบ 1 ปี

อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของชูวิทย์ ก็ทำให้เขาได้ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์หลายสำนักอย่างต่อเนื่อง ทั้งลงข่าวสมัครผู้ว่า กทม. และข่าวชกนักข่าวหลังสัมภาษณ์เสร็จเพราะว่าถูกจี้ถามแต่ไม่เปิดโอกาสให้ตอบเลยไม่พอใจ ก่อนที่จะกลับมาลุยงานด้านการเมืองอย่างจริงจังในปี 2551 โดยการตั้งพรรค สู้เพื่อไทย และลงสมัครนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้ตำแหน่ง จึงรับบทฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ภายหลังเมื่อมีการยุบสภาและในปี 60 ทางชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมืองและในปัจจุบันชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หันหลังให้แวดวงการเมืองแต่ยังเคลื่อนไหวผ่านสื่อโซเชียลส่วนตัวอยู่บ่อย ๆ จนมาถึงทุกวันนี้ เขาก็ยังออกมาเปิดโปงเรื่องราวด้านมืดของสังคมอย่างต่อเนื่อง จนได้ใจทั้งชาวเน็ตและชาวบ้าน ซึ่งยกย่องให้เป็น ‘เจ้าพ่อแฉ’ แห่งยุคกันเลยทีเดียว


THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ” (จริงๆ นะ)