‘ซาอุฯ - ญี่ปุ่น’ เอาชนะอดีตแชมป์บอลโลก ผลสำเร็จจาก ‘ทีมเวิร์กสุดปัง - แรงบันดาลใจสุดเจ๋ง’

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ มีเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงในวงกว้างอย่างมาก ทั้งในโลกออฟไลน์และโลกออนไลน์ นั่นก็คือ ‘ฟุตบอลโลก 2022’ ที่ประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพ โดยประเด็นที่ทำแฟนบอลทั่วโลกตกตะลึงก็คือ การที่ทีมชาติซาอุดีอาระเบียสามารถเอาชนะทีมชาติอาร์เจนตินา ทีมที่เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกหลายสมัย และมีสตาร์ดังอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ไปด้วยด้วยสกอร์ 2-1 อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

แต่ความตะลึกยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะถัดมาอีกวันทีมชาติญี่ปุ่น ก็สามารถเอาชนะทีมแนวหน้าของโลกอย่างเยอรมนีไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 เช่นกัน 

กลายเป็นว่าคอบอลทั่วโลก (อาจจะรวมถึงแฟนบอลในชาตินั้นๆ) ต้องตกตะลึงถึง 2 วันติดกัน เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าทีมชาติทั้ง 2 ประเทศจากทวีปเอเชีย ที่เคยเป็นเพียงทีมไม้ประดับของเทศกาลฟุตบอลโลก จะสามารถพลิกเกมกลับมาชนะทีมระดับชั้นนำและอยู่ในแนวหน้าของโลกลูกหนังไปได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคม และอาจารย์ ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในคลิปวิดีโอ ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ ‘Suriyasai Channel’ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 65 ไว้อย่างน่าสนใจ สรุปได้ว่า…

นัดเปิดสนามระหว่างทีมเอกวาดอร์เจอกับทีมชาติกาตาร์ (เจ้าภาพ) จบที่ความปราชัยของเจ้าภาพที่สกอร์ 2-0 จากนั้นในนัดถัดมา ก็เป็นการดวลระหว่างทีมชาติอังกฤษกับทีมชาติอิหร่าน ซึ่งอิหร่านก็พ่ายแพ้ไป 6-2 

จากผลลัพธ์ของทีมเอเชียทั้งสอง ทำให้หลายคนกังวลใจว่าทีมชาติที่มาจากทวีปเอเชียดูจะไม่มีพัฒนาการที่จะไปสู้ทีมชาติจากทวีปอื่นๆ เทียบกับทวีปแอฟริกาแล้ว ยังผลักดันตนเองสามารถพัฒนาทีมมาเป็นคู่แข่งเทียบชั้นชาติแนวหน้าในละตินและยุโรปได้มากกว่า

จนกระทั่ง เมื่อคืนวันที่ 22 พ.ย. 65 ตามเวลาไทย ทีมชาติซาอุดีอาระเบียต้องฟาดแข้งกับทีมชาติอาร์เจนตินา ขณะที่ทีมชาติญี่ปุ่นฟาดแข้งกับเยอรมนีในวันที่ 23 พ.ย.65 ทั้ง 2 ทีมชาติจากเอเชีย สามารถเอาชนะมาได้ จึงเป็นการลบล้างคำสบประมาทต่างๆ นานาออกไปได้ทันที เพราะว่าทั้งซาอุฯ และญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่เก็บชัยชนะ แต่พวกเขาสามารถโค่นเต็งแชมป์และอดีตแชมป์โลกมาหลายสมัยลงได้

เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น น่าจะทำให้ทีมชาติจากเอเชียถูกจับตามองมากขึ้นอีกแน่ ๆ 

ทั้งนี้หากเทียบความแตกต่างของทั้ง 2 ชาติ คือ ซาอุฯ อาจจะได้เปรียบญี่ปุ่นหน่อย ตรงเรื่องของรูปร่างนักเตะ ซึ่งกายภาพของนักเตะซาอุฯ สามารถเทียบชั้นกับยุโรปได้เลย ในขณะที่ญี่ปุ่นน่าจะพอ ๆ กับไทย 

แต่สิ่งที่ผมอยากจะให้สนใจนอกเหนือจากกายภาพร่างกาย คือ ซาอุฯ และญี่ปุ่น มีความคล้ายกันอยู่ที่เรื่องของทีมเวิร์ก วินัย ความสม่ำเสมอ ไม่โอ้เอ้ นักเตะทุกคนใช้สปิริตตั้งแต่ต้นเกมจนจบเกม แทบไม่เกี่ยวกับดีกรีเลยว่าทีมไหนจะได้สัมผัสเวทีค้าแข้งระดับโลก ซึ่งนักเตะซาอุฯ ส่วนใหญ่ไม่ได้ค้าแข้งในยุโรป ส่วนญี่ปุ่นมีนักเตะที่ค้าแข้งในยุโรปราวๆ 8 คน 

กลายเป็นว่า นัดถัดไป ไม่ว่าจะเจอนักเตะชาติใด ก็มีโอกาสเอาชนะได้โดยไม่เกี่ยวกับรูปร่างว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่หรือไปค้าแข้งที่ใด หากแต่อยู่ที่ทีมเวิร์กและสปิริตล้วนๆ

ทั้งนี้ ดร.สุริยะใส ยังกล่าวถึงเรื่องของแรงบันดาลใจที่กระตุ้นให้ทีมชาติญี่ปุ่นและซาอุฯ สามารถทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอีกว่า...

ที่ญี่ปุ่นมีการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ชื่อ ‘Captain Tsubasa’ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับทีมฟุตบอลญี่ปุ่นที่ลงแข่งและชนะไปทั่วโลก นี่คือแรงบันดาลใจให้แก่คนในชาติญี่ปุ่นหันมานิยมเล่นกีฬาฟุตบอล นอกจากนี้สมาคมต่างๆ ยังให้ความสำคัญและช่วยกันผลักดันต่อยอดให้กีฬานี้เติบโตต่อไป 

ส่วนซาอุฯ แน่นอนว่ามีงบอัดฉีดมากมายอยู่แล้ว อีกทั้งการเล่นของซาอุฯ ก็สามารถเทียบชั้นกับยุโรปและแอฟริกาได้เลย และยิ่งพอสามารถเอาชนะทีมใหญ่อย่างอาร์เจนตินามาได้ ซาอุฯ ก็ประกาศให้วันต่อมาเป็นวันหยุด แถมนักบอลก็ได้ของรางวัลตอบแทนเป็นรถหรู อย่างที่เห็นในโลกโซเชียลที่แชร์ๆ กัน 

จะเห็นได้ว่า ทั้งซาอุฯ และญี่ปุ่น อาจจะมีจุดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่สิ่งที่สำคัญและทั้งสองทีมมีเหมือนกันคือความเป็นทีมเวิร์กและแรงบันดาลใจที่ดี จึงทำให้ทั้ง 2 ทีมชาติจากทวีปเอเชียนี้สามารถพลิกกลับมาเอาชนะทีมชาติแนวหน้าของโลกไปได้ 

นี่คือความสามัคคี ที่มีเป้าหมายเพื่อฝ่าฟันร่วมกัน…


ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=MVuAwdcVTLE