‘นพดล’ ชี้!! BCG ไม่ใช่ของใหม่ หลายประเทศไปไกล ส่วนไทยเหมือนช่างบั้งไฟที่แนะวิศวกรนาซ่าทำจรวด 

(21 พ.ย.65) นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าภายหลังการประชุมเอเปค 2022 ได้เสร็จสิ้นลง รัฐบาลก็อย่าลิงโลดไปกับการจัดการประชุมมากนัก เพราะในการประชุมระดับพหุภาคีนานาชาติ ก็เป็นเช่นนี้ เพราะในปฏิญญาก็มักเต็มไปด้วยความหวัง ความปรารถนา ความตั้งใจกันทั้งนั้น แต่จะแปรเปลี่ยนให้เป็นการกระทำให้สัมฤทธิ์ผลได้มากหรือน้อย ก็อยู่ที่แต่ละประเทศว่าจะเข้าทำนอง คิดระดับโลก แต่กระทำในท้องถิ่น Think globally, act locally หรือไม่ 

โดยเฉพาะแนวคิด เศรษฐกิจชีวภาพ หรือ BCG ที่ประเทศไทยผลักดันนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่หลายประเทศเดินหน้าไปไกลมาก ทั้งอุตสาหกรรมอาหารของออสเตรเลีย อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ของเวียดนามหรืออินโดนีเซีย เขาถึงขั้นผลิตส่งขายกันแล้วแต่เราเพิ่งมาพูด

สิ่งที่รัฐบาลประยุทธ์นำเสนอนั้นไม่ผิด แต่ไม่ทันเขา เพราะเขาพูดล้ำกว่านั้น ไปไกลกว่านั้น เหมือนช่างบั้งไฟแนะนำวิศวกรนาซ่าในการทำจรวด 

ส่วนเรื่องที่รัฐบาลเพิ่งจะมาพูดว่า จะสานต่อการทำข้อตกลงการค้าพหุภาคีกับอียู หรือ FTA ไทย-อียู ก็ประหลาดใจว่าเราเคยเริ่มต้นเจรจากันตั้งแต่สมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องหยุดชะงักไปเพราะรัฐประหาร นี่ผ่านไป 8 ปี เพิ่งคิดจะนำกลับมาทำ คนไทยต้องถามว่า 8 ปีที่ผ่านมาทำอะไรอยู่ ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะต้องเป้าหมายเจรจาให้เสร็จภายใน 12 เดือน เพราะผู้ส่งออกไทยรอมานานแล้วเพราะเขาเห็นกำลังซื้อมหาศาลรออยู่ แต่รัฐบาลประยุทธ์ไม่ทำ

“แม้การประชุมเอเปค 2022 เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ความท้าทายสำคัญของไทยยังคงอยู่ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความสามารถในการแข่งขันที่ตกต่ำ และการยกระดับคุณภาพชีวิตและการศึกษา ก็ยังต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน” นพดล ปัทมะ กล่าว

นอกจกนี้ นพดล ปัทมะ ยังกล่าวต่ออีก “เวลาของรัฐบาลนี้ เหลือไม่กี่เดือนแล้ว ประชาชนจะตัดสินใจเองว่าผลงานที่ผ่านมาเป็นอย่างไร รัฐบาลหน้าหลังเลือกตั้ง มีภาระที่จะต้องทำงานอีกมาก พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะเสนอแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีที่ตอบโจทย์ประเทศ และผู้สมัครคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้อง เพราะภารกิจแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชนให้จงได้” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว