'รัฐบาล' เร่งผลักดัน 'มวยไทย' สู่เวทีโลก ต่อยอดให้เป็นที่นิยม เพิ่มมูลค่าทางศก. ให้ประเทศ

(11 ก.ย. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลสนับสนุนการจัดทำแผนแม่บทส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยยกมวยไทยเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์สำคัญวางแผนประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จัก ส่งเสริมให้เป็นกีฬาเชิงศิลปะป้องกันตัวในระดับนานาชาติ โดยจะบูรณาการการทำงานทุกภาคส่วนเพื่อต่อยอดกีฬาของไทยให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยเผยแพร่ศิลปะวัฒนธรรมไทยและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศด้วยซอฟต์พาวเวอร์ โดยกำหนดส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ 5 หมวด (5F) ได้แก่ อาหาร (Food), ภาพยนตร์ (Film), เทศกาล (Festival), แฟชั่น (Fashion) และการต่อสู้ (Fighting) ซึ่งสามารถขยายประเภทออกเป็นสินค้าและบริการท่องเที่ยวได้จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กีฬามวยไทย ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ได้รับความนิยม มีความงดงามในท่วงท่าการเคลื่อนไหว รวมทั้งยังนำไปประยุกต์ใช้ในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้อีกด้วย

โดยล่าสุดทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ประสานความร่วมมือจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ อาทิ การแข่งขันกีฬามวยไทยและศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA: Mixed Martial Art) รายการ Legend FC 'คนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน' ณ จังหวัดนครราชสีมา, กิจกรรมแฟลชม็อบมวยไทย (Flash Mob Muay Thai) ณ พาร์ค พารากอน, การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ 'มวยไทยในสถานศึกษา พัฒนาเยาวชนไทย' รวมไปถึงโครงการเผยแพร่กีฬามวยไทยในต่างประเทศ ผ่านการสาธิตการแข่งขันมวยไทย และสอนศิลปะมวยไทยเบื้องต้น และต่อยอดไปยังการขายสินค้าเกี่ยวกับมวยไทยให้แก่ชาวต่างชาติที่สนใจ

“รัฐบาลเห็นเสน่ห์ และศักยภาพของกีฬามวยไทย ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมไทยที่สำคัญ ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยพร้อมใช้มวยไทยเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยควบคู่กับการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด ต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในระดับท้องถิ่น ประเทศ และขยายสู่ระดับนานาชาติ เป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนไทยได้อีกทางหนึ่ง” นายอนุชา กล่าว


ที่มา : https://www.thaipost.net/economy-news/219203/