'สนธิรัตน์' ชี้ สถานการณ์น้ำมันผันผวน แนะ รัฐบาลแก้เศรษฐกิจต้องแม่นยำและทันสถานการณ์

เมื่อวันที่ 10 ก.ค.นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สัปดาห์นี้ข่าวคราวเรื่องปากท้อง ที่ผมเอามาเล่านี่ก็เป็นเรื่องพลังงาน ว่าราคาน้ำมัน สัปดาห์นี้นี่ขึ้นลงเหมือนขึ้นรถไฟเหาะ ในต้นเดือนปรับเปลี่ยนขึ้นลงไปแล้วมากกว่า 3 ครั้ง ทำเอานักวิเคราะห์คาดเดากันแทบไม่ทัน ที่น่าสนใจราคาตลาดน้ำมันในช่วง 2-3 วันมานี้ ลดลงและต่ำสุดในรอบ 12 สัปดาห์ อยู่ที่ 98.53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ลบ 1% ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปิดที่ 100.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลบ 2% น้ำมันดิบดูไบ ปิดที่ 101.52 ลบ 9% (6 ก.ค. 65) เราจึงเห็นราคาน้ำมันดิบปรับลด 3 บาท และ 1.50 บาท สำหรับแก๊สโซฮอลล์ในสองสามวันที่ผ่านมา

 

นายสนธิรัตน กล่าวว่า ขณะที่วันที่ 7 ก.ค.ราคากลับดีดตัวขึ้นมาอีกหลังจากท่อส่งน้ำมัน Caspian Pipeline Consortium (CPC) ถูกระงับลง 30 วัน ส่งผลให้ตลาดกังวลเรื่องอุปทานที่จะตึงตัวหลังจากนี้ ผลดังกล่าวทำตลาดน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 3-4% ภายในวันเดียว ความกังวลเหล่านี้จะมีอยู่อย่างต่อเนื่องแน่นอนครับ ปัจจัยเสริมที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครน ที่คาดว่าจะยังไม่จบง่ายๆ รวมถึงสถานการณ์ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบ อย่าง รัสเซียและอิหร่าน 

“ความไม่แน่นอนในเรื่องราคาน้ำมันยังคาดเดาได้ยากต้องพร้อมตั้งรับกัน ความกังวลหลักตอนนี้ และคาดว่าจะส่งผลกระทบถึงปลายปีนี้ คือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หลัง ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายกว่า 0.75% เพื่อมุ่งลดภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น และคาดว่าหลายๆ ประเทศ คงใช้วิธีทำนองเดียวกันในการสกัดปัญหานี้ ความถดถอยที่ว่า เป็นสภาวะที่เศรษฐกิจโตช้า กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงเช่น มีการจับใช้จ่ายสอยน้อยลงเพราะของแพง การเดินทางน้อยลงเพราะออกจากบ้าน 1 ครั้ง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ กระทบไปถึงภาคผลิต ของแพงก็ขายได้น้อย ต้องลดต้นทุนลงสินค้าบางอย่าง กำไรที่มีน้อยการจ้างงานก็ลดลง คนว่างงานก็เพิ่มขึ้น เหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่า สภาวะเศรษฐกิจถดถอย” นายสนธิรัตน์ กล่าว

 

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์เพิ่งประกาศออกมาว่า เงินเฟ้อบ้านเรา สูงถึง 7.66% ถ้าเทียบจากปีก่อนหน้า นั่นหมายความว่า ปีที่แล้วกับปีนี้ พี่น้องประชาชนจับจ่ายของที่แพงขึ้นเป็นเท่าตัวจากเลยครับ จาก ร้อยละ 99.93 เป็น 107.58 ในปีนี้ โดยสำหรับหมวดสินค้าที่ดันให้ราคาข้าวของแพงขึ้น แน่นอนครับว่า เป็นสินค้าในกลุ่มพลังงานและอาหาร จากสถานการณ์ทั้งหมดคงเป็นครึ่งปีหลังของความไม่แน่นอนของการค้าขายทำมาหาเลี้ยงชีพ สภาวะข้าวของแพง แรงกดดันจากหนี้สิน แนวทางแก้เศรษฐกิจที่แม่นยำและทันสถานการณ์บนงบประมาณที่จำกัดของรัฐบาลคือความท้าทายบนความทุกข์ของประชาชน