รพ.ศูนย์บุรีรัมย์ ยันไร้วีไอพีลัดคิวผ่าตัด แม้พ่อแม่เด็ก 12 ไส้ติ่งแตกตาย ยังคาใจ
จากกรณีน้องต้นน้ำ อายุ 12 ขวบ ซึ่งปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.1 เสียชีวิตจากอาการไส้ติ่งแตก และติดเชื้อในกระแสเลือด ขณะถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ เพื่อรอการผ่าตัด ทำให้พ่อและแม่ ยังคงคาใจและออกมาร้องขอความเป็นธรรมนั้น
โดยพ่อของน้องต้นน้ำ ได้เล่าว่า ช่วงบ่ายของวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา ลูกชายมีอาการปวดท้อง จึงพาไปที่โรงพยาบาลพุทไธสง แพทย์วินิจฉัยว่า เป็นไส้ติ่งอักเสบ และทำเรื่องส่งตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ประมาณเที่ยงคืน เจ้าหน้าที่เวรเปลได้เข็นลูกชายเข้าไปในห้องผ่าตัด โดยที่ตัวเองนั่งรออยู่ด้านนอก แต่ไม่นาน เจ้าหน้าที่เวรเปลคนเดิมได้เข็นลูกชายออกมา จึงรู้สึกแปลกใจและเข้าไปสอบถาม ก็ได้รับคำตอบว่า แพทย์มีคนไข้พิเศษ 2 คน ซึ่งประโยคนี้เองที่ทำให้พ่อติดใจ กระทั่งน้องต้นน้ำ เข้ารับการผ่าตัดในวันที่ 30 พฤษภาคม และในคืนวันที่ 31 น้องต้นน้ำ ก็เสียชีวิตจากอาการไส้ติ่งแตก และติดเชื้อในกระแสเลือด
อย่างไรก็ตาม ด้าน นายแพทย์รักเกียรติ ประสงค์ดี รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ก็ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวนี้ว่า จากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า น้องต้นน้ำ มีอาการปวดท้องน้อยข้างขวามาประมาณ 1 วัน ก่อนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพุทไธสง และส่งต่อมารักษาที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ แพทย์จึงผ่าตัดในช่วงเย็นวันที่ 29 พฤษภาคม แต่อาการของน้องเปลี่ยนแปลง หัวใจเต้นแรงมากขึ้น จึงต้องให้น้ำเกลือ ประกอบกับผู้ป่วยมีน้ำหนัก 83 กิโลกรัม อยู่ในสภาวะน้ำหนักมาก
ขณะนั้น ห้องผ่าตัดซึ่งมี 3 ห้อง และมีคนไข้รอผ่าตัดอยู่ทั้ง 3 ห้อง ห้องแรกมี 2 คน ผ่าตัดไส้เลื่อน และมีลำไส้เน่า อีกคนที่รอคิว เป็นผู้ป่วยช่องท้องอักเสบอย่างรุนแรง ส่วนห้องผ่าตัดอีกห้อง เป็นคนไข้อุบัติเหตุกระดูกโผล่มีแผลเปิด แพทย์ต้องเร่งผ่าตัด กว่าจะเสร็จก็ใกล้เที่ยงคืน และห้องสุดท้าย ต้องผ่าตัดเด็กในครรภ์ มีสภาวะหัวใจเต้นเร็ว ทั้ง 3 ห้อง เป็นเคสผู้ป่วยหนักที่มารอคิวอยู่ก่อนแล้ว กรณีของน้องต้นน้ำ น่าจะเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างเจ้าหน้าที่เวรเปลกับทีมแพทย์ ทำให้เข็นเปลเข้าไป ทั้ง ๆ ที่ยังมีเคสผ่าตัดอยู่ และจากการประเมินของแพทย์ ไม่ทราบได้ว่า การผ่าตัดเคสก่อนหน้านี้จะเสร็จสิ้นตอนไหน หรือจะใช้เวลานานแค่ไหน ไม่สามารถกำหนดเวลาได้ ถ้าจะให้ น้องต้นน้ำ รออยู่ในห้องผ่าตัดอาจจะไม่ปลอดภัย จึงแจ้งไปยังหอผู้ป่วยขอส่งตัวคนไข้กลับไปที่ห้องก่อน
ประเด็นที่ผู้ปกครองติดใจว่ามีเคสวีไอพี แทรกคิวหรือไม่ จากการสอบสวนแล้ว ยืนยันว่าไม่มีแน่นอน ทุกเคสมีหลักฐานประกอบและเป็นเคสที่มีความเร่งด่วนและมารับบริการก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ โรงพยาบาลฯ ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องก่อนเป็นอันดับแรก ยอมรับว่า เป็นการรักษาที่ล่าช้า และทางผู้บริหาร จะเข้าไปขอขมาและดูเรื่องของมาตรการเยียวยาตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการทางสาธารณสุข ว่า จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน