เสี่ยงต่อไหม? เมื่อการฝากเงินกับธนาคาร การันตีความคุ้มครองเงินฝาก​แค่ '1​ ล้าน'​ หากแบงก์ปิดตัว​

เมื่อเดือนที่แล้วมีข่าวใหญ่ที่ประชาชนหลายคนให้ความสนใจเรื่องหนึ่งก็คือ ข่าวที่ว่าธนาคารจะลดความคุ้มครองเงินฝากของลูกค้าเหลือเพียงรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท

ข่าวนี้ทำให้หลายคนตกใจ แม้ว่าตัวเองจะไม่มีเงินฝากถึง 1 ล้านบาทในธนาคารก็ตาม (ผมเองก็มีไม่ถึงเช่นกัน) เพราะ มีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจของประเทศที่มีปัญหารุนแรงจากการระบาดของโรคโควิดที่ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น หลายคนกลัวถึงขั้นว่าข่าวนี้ออกมาแล้ว ธนาคารเราจะล้มเหมือนตอนวิกฤตต้มยำกุ้งที่มีสถาบันการเงินหลายแห่งต้องปิดตัวไปหรือไม่

ขอตอบตรงบรรทัดนี้ให้สบายใจก่อนว่า “ไม่ใช่ครับ” ตอนนี้ธนาคารในประเทศเรามีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมาก

แต่การลดความคุ้มครองเงินฝากนั้น เป็นผลจากกฎหมายที่มีการกำหนดเอาไว้ล่วงหน้ามาแล้วหลายปี ไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้เพิ่งมากำหนดขึ้นแต่อย่างใด

เราต้องย้อนความเดิมกลับไปถึงวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 ที่ตอนนั้นสถาบันการเงินหลายแห่ง รวมทั้งธนาคารต้องปิดตัวลง ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งต้องเดือดร้อนจากการที่ต้องสูญเสียเงินไปกับสถาบันการเงินที่ต้องปิดกิจการ แม้ว่ารัฐบาลจะเข้ามาช่วยอุ้มก็ตาม แต่ก็มีการตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลถึงต้องเอาเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศมาอุ้มเงินฝากของประชาชนเพียงบางกลุ่ม

ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงได้มีการเสนอให้จัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองเงินฝากให้กับผู้ฝากเงินแทนที่จะต้องเป็นภาระของรัฐบาล และต่อมาในปี พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ก็ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาออกมาเป็นกฎหมาย

โดยกำหนดให้ผู้ฝากเงินได้รับความคุ้มครองเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท ตามจำนวนเงินฝากที่ปรากฏในบัญชีของผู้ฝากทุกบัญชีรวมกัน แต่รัฐบาลในขณะนั้นก็เกรงว่าประชาชนจะตื่นตกใจ เพราะช่วงปี 2551 นั้นก็มีวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ หรือ ที่หลายคนรู้จักกันในชื่อของแฮมเบอร์เกอร์ไครซิส กฎหมายจึงได้กำหนดบทเฉพาะกาลเอาไว้ ดังนี้

ปีที่หนึ่ง คุ้มครองเต็มจำนวนเงินที่ปรากฏในบัญชี 

ปีที่สอง คุ้มครองไม่เกิน 100 ล้านบาท

ปีที่สาม คุ้มครองไม่เกิน 50 ล้านบาท

ปีที่สี่ คุ้มครองไม่เกิน 10 ล้านบาท

และหลังจากนั้นก็จะคุ้มครองไม่เกิน 1 ล้านบาทตามที่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศต่อจากนั้น ก็ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. 2552 และพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 และ พ.ศ. 2559 เพื่อขยายระยะเวลาการลดจำนวนเงินฝากออกมาเรื่อย ๆ 

ในการคุ้มครองเงินฝากของประชาชนตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝากนี้ สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะใช้เงินจากกองทุนคุ้มครองผู้ฝาก ที่กฎหมายกำหนดให้สถาบันการเงินส่งเงินสมทบเป็นประจำ 0.01% ของยอดเงินฝาก หมายความว่า เงินที่เราฝากไว้กับธนาคาร แล้วจะต้องได้ดอกเบี้ยนั้น กฎหมายกำหนดให้ธนาคารหักเงิน 0.01% เข้าไปสมทบไว้ที่กองทุนคุ้มครองเงินฝาก เพื่อเป็นหลักประกันว่าถ้าหากธนาคารต้องปิดตัวลง ผู้ที่ฝากเงินก็จะได้รับเงินคืนสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท

โดยบัญชีเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 5 ประเภท คือ 
1.) เงินฝากกระแสรายวัน 
2.) เงินฝากออมทรัพย์ 
3.) เงินฝากประจำ 
4.) บัตรเงินฝาก
และ 5.) ใบรับฝาก

ส่วนเงินฝากที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง เช่น เงินฝากที่เป็นประเภทเงินตราต่างประเทศ เงินฝากในสหกรณ์ ตั๋วแลกเงิน เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) เป็นต้น

ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุด บัญชีของผู้ฝากเงินที่มีเงิน 1 ล้านบาทต่อธนาคารนั้นมีเพียงร้อยละ 1.97 ของผู้ฝากทั้งระบบเท่านั้น หมายความประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือ เกือบ ๆ ร้อยละ 99 แทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยจากกฎหมายฉบับนี้

นอกจากนี้ กฎหมายฉบับนี้ยังบังคับใช้เฉพาะธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แปลว่า ถ้าเราไปฝากเงินไว้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ  เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เราจะได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวน ไม่ถูกลดความคุ้มครองเหลือเพียง 1 ล้านบาทเหมือนธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ

ดังนั้น ผมคิดว่าเราไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจกับข่าวนี้เท่าไหร่ เพราะ สถานะทางการเงินของธนาคารในบ้านเรายังไม่ได้มีปัญหา และจำนวนผู้ที่ได้อาจจะได้รับผลกระทบมีไม่ถึงร้อยละ 2 ของคนทั้งประเทศ แต่ถ้าใครมีความกังวล คุณก็ยังมีทางเลือกที่จะย้ายเงินฝากไปที่สถาบันการเงินของรัฐที่ได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนได้อยู่ดีครับ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9