อังกฤษประกาศยุติการล็อกดาวน์ ถือเป็นการประมาท-ถอดใจ หรือเป็นการวางแผนในการอยู่ร่วมกับเชื้อโควิด-19?

ชาวโลกคงได้ทราบแล้วว่า​ ชาวอังกฤษเริ่มต้นใช้ชีวิตปกติแล้วในวันจันทร์ที่​ 19​ ก.ค.​ ซึ่งถูกเรียกขานเป็น 'วันเสรีภาพ'​ (Freedom day)

โดยรัฐบาลยกเลิกข้อจำกัดเว้นระยะห่างเพื่อควบคุมไวรัสเกือบทั้งหมด รวมถึงกฎบังคับสวมหน้ากากอนามัย ขณะนักวิทยาศาสตร์เตือนยอดติดเชื้ออาจพุ่งถึงวันละแสนคน จากยอดปัจจุบันเฉลี่ยวันละ 50,000 ราย

การยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของอังกฤษ​ ทำให้ไนท์คลับและสถานที่ในร่มอื่น ๆ ได้รับอนุญาตให้เปิดบริการเต็มความจุ และข้อกำหนดทางกฎหมายเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยและการทำงานจากบ้านถูกยกเลิก

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ​ 'บอริส จอห์นสัน'​ ซึ่งถูกกดดันจนต้องยอมกักตัวเองหลังจากรัฐมนตรีสาธารณสุข​ 'ซาจิด จาวิด'​ ติดเชื้อโควิด-19 กล่าวปกป้องการตัดสินใจของรัฐบาลที่ยุติมาตรการล็อกดาวน์ที่ใช้มาปีกว่าและยกเลิกข้อกำหนดเกือบทั้งหมด ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของอังกฤษยังสูงถึงวันละ 50,000 ราย น้อยกว่าแค่อินโดนีเซียและบราซิลเพียง 2 ประเทศ โดยระบุว่าสัปดาห์นี้เริ่มต้นวันหยุดปิดภาคเรียนฤดูร้อนของอังกฤษ ซึ่งถือเป็น 'แนวกันไฟอันล้ำค่า'​

เขากล่าวในวิดีโอถ้อยแถลงว่า หากไม่เปิดประเทศในตอนนี้ ก็จะต้องไปเปิดในฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูหนาว ที่สภาพอากาศเอื้อต่อการแพร่เชื้อไวรัส

"ถ้าเราไม่ทำเสียตอนนี้ เราก็ต้องถามตนเองว่า แล้วเราจะทำเมื่อไหร่ ฉะนั้นนี่คือเวลาที่เหมาะสม แต่เราต้องทำด้วยความระมัดระวัง เราต้องจดจำว่าไวรัสยังคงอยู่" จอห์นสัน​ กล่าว

อย่างไรก็ตาม​ ในทางการสาธารณสุขนั้น​ ก็คงไม่เห็นดีเห็นงามด้วยกับเรื่องนี้​ โดย ศาสตราจารย์นีล เฟอร์กูสัน จากอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน เตือนว่า ทิศทางนี้จะทำให้อังกฤษก้าวไปบนเส้นทางที่จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละ 100,000 คน เนื่องจากยังคุมการระบาดสายพันธุ์เดลตาไม่ได้

ปัจจุบัน​ อังกฤษมีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 7 ของโลก ที่ 128,789 ราย และคาดการณ์ว่าอีกไม่ช้าอังกฤษจะมีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเพิ่มขึ้นกว่าช่วงสูงสุดระหว่างการระบาดระลอกที่ 2 เมื่อต้นปีนี้

ถึงกระนั้น​ อังกฤษ​ ก็มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงกว่าเพื่อนบ้านในทวีปยุโรปมาก โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ 87% ฉีดวัคซีนแล้ว 1 โดส และมากกว่า 68% มีภูมิคุ้มกันเต็มที่หลังฉีดแล้ว 2 โดส อัตราการเสียชีวิตปัจจุบันอยู่ที่วันละประมาณ 40 คนเท่านั้น เป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงพีคในเดือนมกราคม ที่ตายมากกว่าวันละ 1,800 คน

ความสำเร็จของโครงการวัคซีน ซึ่งรัฐบาลเสนอฉีดให้ผู้ใหญ่ทุกคนในประเทศอย่างน้อยคนละ 1 โดส ทำให้รัฐบาลอังกฤษมั่นใจว่าสามารถบริหารความเสี่ยงของการรักษาในโรงพยาบาลได้ แม้นักวิทยาศาสตร์และอีกหลายคนจะยังคงไม่เห็นด้วยก็ตาม

แม้จะมีผู้คัดค้าน แต่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่ยินดีกับการได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ รวมถึงนักเที่ยวราตรีที่ต่อแถวด้านนอกไนท์คลับไฟเบอร์ในเมืองลีดส์ ซึ่งนักเที่ยวเข้าไปแดนซ์กันแน่นฟลอร์โดยไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัย นักเที่ยวคนหนึ่งบอกว่า ในเมื่อไม่ได้ฉลองปีใหม่ ก็ควรออกมาฉลองเสียหน่อย มันเหมือนกับการเริ่มต้นบทใหม่

เรื่องนี้สะท้อนอะไร? ทำไม​ 'อังกฤษ'​ ถึงกล้าให้ ประชาชน กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ​ ทั้ง ๆ​ ที่มีการติดเชื้อโควิดร่วม ๆ​ วันละ 50,000 ราย

ภาพของการไล่ฉีดวัคซีน​ เพื่อยับยั้งเชื้อแบบวิ่งไล่ตาม​ อาจจะไม่ใช่ทางออกในการทำให้วิถีชีวิตและเศรษฐกิจกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่? เรื่องนี้น่าคิด!!

บทบาทของวัคซีนจะกลายเป็นเพียงตัวยับยั้งความอันตรายถึงชีวิตของผู้ติดเชื้อ​ แต่ไม่ใช่คำตอบในการกอบกู้​ 'ความปกติ'​ ของประเทศกลับมา

แน่นอนว่า​ หลาย ๆ​ คนคงไม่ชื่นชมกับการปลดล็อกมาตรการเช่นนี้​ และต้องการให้ช่วยกันทุบกราฟผู้ติดเชื้อและตายให้ลงมาก่อน แล้วค่อยว่ากัน​ต่อไป ซึ่งอาจจะใช่​ แต่เอาเข้าจริง​ ก็ทำได้เฉพาะแค่ช่วงล็อกดาวน์เท่านั้น

แต่เราเริ่มเห็นวัฏจักรของการติดเชื้อที่วนกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า​ ไม่ว่าจะ​ 'ป้องกัน'​ หรือ 'ประมาท'​

ฉะนั้น​ หากมองกรณีศึกษาของอังกฤษว่าทำไมจึงยกเลิกมาตรการโควิด​ จึงเป็นสิ่งที่น่าคิด​ เพราะเชื่อเถิดว่าประเทศระดับแนวหน้าอย่าง​ อังกฤษ​ หรือ​ สิงคโปร์​ ไม่น่าคิดหรือตัดสินใจทำอะไรแบบง่าย ๆ​ แน่นอน เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องกับสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญ​ ที่รัฐต้องปกป้องดูแล ประชาชน

แนวคิดในการ Treat โควิดให้เหมือนไข้ตามฤดูกาลปกติแบบ ไข้หวัดใหญ่​ ซึ่งก็มีเสียชีวิตกันทุกปี​ อาจจะชัดขึ้นในหลายประเทศใช่ไหม?

การอยู่ร่วมกันกับโรค​ และ​เลิกวิ่งหนีด้วยการปิด ๆ​ เปิด ๆ​ มาตรการ​ หรือไล่ตามด้วยวัคซีนที่ไม่รู้จะตามทันเมื่อไร​ อาจไม่ทันใจต่อสถานการณ์ความเก็บกดของคนในประเทศ ใช่หรือเปล่า?

ถ้าเป็นแบบนั้น​ หากวันนี้รัฐบาลแต่ประเทศจะวางแผนให้คนอยู่ร่วมกับโควิด​ เท่ากับยอมรับในวิถี​ New​ Normal​ หรือความปกติแบบใหม่​ค่อนข้างชัด​ โดยต่อจากนี้ บางอาชีพ บางกิจกรรม​ บางธุรกิจจะหายไปกับการมาของโควิด​ และทดแทนด้วยสิ่งใหม่

วิถีชีวิต วัฒนธรรม สังคม ความคิด ความเชื่อ จะเปลี่ยนไป

เอาเข้าจริง ๆ ตอนนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญภัยพิบัติธรรมชาติ ที่ผิดปกติ​ บวกกับโรคระบาดใหม่ ๆ​ แต่ประเทศไทยยังไม่เจอถึงขั้นนั้น

แต่เราจะเตรียมการอย่างไร? จะมีการริเริ่มผุดแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน​ ด้วยยุทธศาสตร์แบบไหนกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเผชิญมาก่อนไว้ได้แค่ไหน เพราะการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบทุกคนไม่ว่าจะฐานะการเงิน ฐานะทางสังคม ระดับการศึกษา อาชีพ​ ชัดมากแล้ว

ฉะนั้น​ เราจะมองเหตุการณ์ของอังกฤษในครั้งนี้​ เป็น​ 'ความประมาท'​ เป็น​การ​ 'ถอดใจ'​ หรือ​ 'วางแผน'​ อนาคตไว้แบบไหน​ อยู่ที่สติล้วน ๆ


อ้างอิง : https://www.thaipost.net/main/detail/110337


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9