นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าวประจำสัปดาห์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า...

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการให้กรมชลประทานและกรมประมงเตรียมความพร้อมเต็มพิกัดเพื่อรับมือพายุไซโคลน ‘ยาอาส’ ซึ่งเป็นมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้นพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง 

ทั้งนี้ได้สั่งระดมเครื่องจักร/เครื่องมือและเจ้าหน้าที่ ให้สามารถช่วยเหลือประชาชนและชาวประมงได้ทันที ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนมา

รายงานล่าสุดว่า เผยว่า พายุไซโคลน ‘ยาอาส’ จะเคลื่อนขึ้นฝั่งรัฐโอริสสา-รัฐกัลกัตตาของอินเดียในวันนี้ (26 พ.ค.64) ส่งผลให้ 4 จังหวัดภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งจนถึงวันที่ 27 พ.ค. โดยคลื่นลมในทะเลอันดามันมีกำลังแรง มีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

“ท่านรัฐมนตรียังกำชับให้หน่วยงานกรมชลประทานและกรมประมงในพื้นที่ประชาสัมพันธ์ถึงสถานการณ์น้ำรวมทั้งการแจ้งเตือนต่าง ๆ ไปยังประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด” อลงกรณ์ กล่าว

ทางด้านนายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทานได้เตรียมความพร้อมรับมือพายุไซโคลน ‘ยาอาส’ ตามข้อสั่งการของเจ้ากระทรวงเกษตรฯ ด้วยการกำหนดพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยซ้ำซาก กำหนดเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแจ้งเตือนประชาชน การจัดสรรทรัพยากรเครื่องจักร เครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ เข้าไปประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทันที

นอกจากนี้ ยังติดตามวิเคราะห์แนวโน้มสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด บริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์เก็บกัก (RULE CURVE) โดยพิจารณาปรับลดการระบายให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้อาคารชลประทานในการบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

นายอลงกรณ์ กล่าวต่ออีกว่า ไม่เพียงแค่การรับมือพายุไซโคลน ‘ยาอาส’ เท่านั้น แต่ทาง ดร.เฉลิมชัย ยังได้ติดตามสถานการณ์ฝนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีปริมาณฝนลดลงในพื้นที่ตอนบนของประเทศ จึงสั่งการให้กรมชลประทานเร่งดูแลบริหารจัดการน้ำและประสานการทำงานกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ทางตอนบนของประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในช่วงนี้ทางตอนบนยังคงมีฝนตกน้อย ประกอบกับปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนต่าง ๆ ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้เกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกข้าวต่อเนื่องหรือข้าวนาปีได้อย่างเต็มศักยภาพ

สำหรับสถานการณ์น้ำและการจัดสรรน้ำล่าสุดวันนี้ กรมชลประทานรายงานว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 35,564 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 47 ของความจุอ่างรวมกัน ยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันประมาณ 40,504 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 8,540 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 34 ของความจุอ่างรวมกัน ยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกประมาณ 16,331 ล้าน ลบ.ม. สำหรับการเตรียมพร้อมใช้พื้นที่ลุ่มต่ำรองรับน้ำนอง กรมชลประทานได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยการใช้พื้นที่อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งพื้นที่ลุ่มต่ำทุ่งบางระกำและพื้นที่ลุ่มต่ำเจ้าพระยา 13 ทุ่ง ได้แก่…

1.) ทุ่งฝั่งซ้ายชัยนาท-ป่าสัก 
2.) ทุ่งป่าโมก 
3.) ทุ่งเจ้าเจ็ด 
4.) ทุ่งบางกุ้ง 
5.) ทุ่งผักไห่ 
6.) ทุ่งโพธิ์พระยา 
7.) ทุ่งเชียงราก 
8.) ทุ่งท่าวุ้ง 
9.) ทุ่งบางกุ่ม 
10.) ทุ่งบางบาล-บ้านแพน 
11.) ทุ่งพระยาบรรลือ 
12.) ทุ่งรังสิตใต้ 
13.) ทุ่งบางระกำ 

รวมพื้นที่รับน้ำประมาณ 1,410,267 ไร่


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32