เสียง (เพรียก) แห่งสายน้ำปัตตานี... ตอนที่ 3

เช้าแสนอ้อยอิ่งผ่านไปพร้อมกับมื้อเช้าง่าย ๆ คือขนมและกาแฟ รอบนี้เอากาแฟคั่วจากสวนตัวเองลงมาด้วย ตั้งเตาต้มน้ำ พลางบดกาแฟ เทลงในหม้อ เติมน้ำเดือดลงไป รอราวสามนาทีก็นำช้อนเขี่ยผงกาแฟที่ลอยอยู่ให้จมลง ตักเอาฟองและเศษที่เหลือออก แค่นี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว นี่ถือว่าเป็นการชงกาแฟที่เรียบง่ายที่สุดและเป็นการเลียนแบบวิธีการทำคัปปิ้ง (อธิบายง่ายสั้นก็คือการดมชิมกาแฟ) นั่นเอง

“เอาเชือกรัดสัมภาระต่าง ๆ ในเรือ “แล้วก็อย่าลืมใส่ชูชีพด้วยนะพี่” บังบิ๊บบอกเช่นนั้น เสียงค้านในใจบอกไม่เห็นจะจำเป็นสักหน่อย น้ำไหลเอื่อยแบบนี้ไม่ต้องแน่นหนาขนาดนั้นก็ได้ แต่เอาน่ะ คนเขาอยู่ในพื้นที่ น่าจะมีเหตุผลมากพอหากเขาแนะนำเช่นนั้น ผมจึงหยิบเชือกออกมามัดกระเป๋าสองสามใบไว้

การพายคายักในวันนี้เริ่มต้นแบบไม่ต้องออกแรงจ้วงไม้พายมากนัก เพราะน้ำไหลเรื่อย สองฝั่งร่มรื่นไปด้วยแมกไม้เขียวขจี อากาศยามเช้าแสนจะเป็นใจ บางครั้งผ่านบ้านเรือนผู้คน เด็กน้อยโบกมือและวิ่งลงมาทักทายคนแปลกถิ่น เป็นภาพที่สวยงาม แต่มีสิ่งที่เห็นแล้วรกสายตามาก คือขยะทั้งหลายโดยเฉพาะพลาสติกที่ลอยไปติดอยู่ตามกิ่งก้านไม้ในช่วงน้ำหลาก เมื่อน้ำลดจึงค้างอยู่เป็นจำนวนมาก เห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วขยะย่อยสลายยากอาจแค่ทำให้รู้สึกไม่สบายตา ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว ขยะเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในระบบนิเวศค่อนข้างมาก และถ้าเพียงแค่เราต่างตระหนักว่าการกระทำของเราสามารถทำลายอีกหลายชีวิตโดยไม่ตั้งใจ เราอาจจะระมัดระวังการใช้ชีวิตในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้ก็เป็นได้ เราอาจจะลดการสร้างขยะหรืออย่างน้อยก็พยายามรับผิดชอบด้วยการจัดการขยะที่เราสร้างขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม

เอาเถอะถือว่าเป็นการสะท้อนมุมมองและความรู้สึกบางด้านจากการพายเรือผ่านแม่น้ำปัตตานีละกัน 

กลับมาที่ไฮไลต์ประจำวันกันอีกครั้ง ซึ่งก็คือดีกรีความตื่นเต้นที่สายน้ำนี้มอบให้ มันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามช่วงเวลาของวัน ยิ่งพายยิ่งเจอสิ่งที่ทำให้อะดรีนาลีนหลั่งมากขึ้น ก็แก่งทั้งหลายไงล่ะครับ ค่าที่ยังนับว่าเป็นมือใหม่หัดพาย จึงยังคงต้องสะสมชั่วโมงพายเรือ เพื่อสั่งสมความชำนาญและความมั่นใจในการอ่านสายน้ำไปทีละเล็กละน้อย การได้มาเจอโจทย์ประเภทแก่งน้ำเชี่ยวจึงเป็นทั้งเรื่องสนุกและในขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลด้วย ยิ่งไปก็ยิ่งเจอแก่งถี่ขึ้น ต้องคอยคัดซ้ายคัดขวาเพื่อให้เรือไหลไปตามร่องน้ำตามที่วางแผนไว้ในใจ พวกเราร้องตะโกนด้วยความดีใจเวลาที่สามารถผ่านแต่ละความท้าทายเล็ก ๆ เหล่านั้นได้ รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กชายซน ๆ กันอีกครั้ง เชื่อว่าผู้ใหญ่จำนวนมากคงไม่ต่างจากผม ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งเคร่งขรึมเกินเหตุ หลงลืมการหัวเราะร่าเริงและการไม่ต้องจริงจังไปเสียทุกเรื่อง เป็นเหตุให้กลายเป็นพวกแบกโลกอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งเด็กน้อยถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้งเมื่อได้กลับมาทำกิจกรรมกลางแจ้งหัวหกก้นขวิดแบบนี้

อย่างที่บอกว่าดีกรีความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้นเพราะลำธารสาขาไหลมาสมทบมากขึ้น ผมไม่แน่ใจนักว่าเขาจัดระดับความแรงหรือความเสี่ยงของแก่งกันอย่างไร จึงขอแบ่งแบบระดับตามความเผ็ดของพริกที่ใส่ลงไปในอาหารละกัน จากแก่งประเภทพริกเม็ดสองเม็ด พอคล้อยบ่ายจำนวนพริกขี้หนูหลายเม็ดเริ่มมากจนเผ็ดจัดจ้านแสบร้อนมากขึ้น น้ำลึกมากขึ้น สายน้ำแคบลง เพราะถูกบีบให้ไหลเข้าไปในโตรกหินผา รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลของมวลน้ำที่ทวีการไหลดุดันมากขึ้นตามลำดับ ผมไม่แน่ใจนัก ว่าการยอมปล่อยตัวเองและคายักผ่านลงไปในแก่งเชี่ยวกรากน้ำกระจายแตกฟองสีขาวโดยไม่ได้ตรวจสอบเสียก่อนนั้นเป็นเรื่องดีและสมควรหรือไม่ รู้แค่ว่าการไม่รู้อะไรล่วงหน้าส่งผลให้ยอมเสี่ยงกระโจนลงไปหาความท้าทายเหล่านั้น กระเด้งกระดอนคลอนแคลนเพราะเรือถูกน้ำซัดต่างระดับจนน้ำกระฉอกเข้าเรือแทบครึ่งค่อนลำ ต่อเมื่อพ้นแก่งพวกนั้นมาได้จึงยิ้มกริ่มด้วยความสะใจ ไม่ใช่เพราะชะล่าใจว่าสามารถเอาชนะหรือต่อกรกับธรรมชาติได้ ทว่าเป็นความภูมิใจลึก ๆ ที่สามารถสะสมทักษะการพายเรือได้มากขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง แต่สิ่งที่ตรงกันข้าม คือมีอย่างน้อยหนึ่งแก่งในวันนี้ที่ผมยอมเสียเวลากับการไปสำรวจโดยเทียบเรือแล้วเดินเลียบตลิ่งชันด้านข้าง เมื่อมองดูแก่งนั่นแล้วเกิดภาพน่ากลัวขึ้นในหัว กลายเป็นใจฝ่อไปเสียนั่น รำพึงในใจว่าถ้าไม่รู้เห็นก็สิ้นเรื่อง สู้ให้เรือพลิกคว่ำยังจะดีเสียกว่าไหม สรุปก็คือเมื่อภาพในหัวน่ากลัวกว่าความเป็นจริงผมก็เลยต้องยกสัมภาระทุกอย่างเลาะตลิ่งสูงดังกล่าว ลงไปยังท้ายแก่ง ในขณะที่บังบิ๊บอาจอาญกว่าผมหลายเท่า เขาอ่านทางน้ำแล้วตัดสินใจลุยและเขาก็ทำได้!

แล้วก็มาถึงจุดที่ผมได้รับประสบการณ์เรือคว่ำจนได้ ซึ่งก็ไม่ใช่แก่งใหญ่น่ากลัวแต่ประการใด ความท้าทายคือมันเป็นโค้งน้ำแคบหักศอก ต้องประคองตัวและวางตำแหน่งตัวเองให้ถูกต้องเพื่อให้สมดุล แต่ผมไม่รู้เทคนิค แค่แม่น้ำตบเบา ๆ ทำเอาเรือพลิก ทุกอย่างรวมทั้งตัวผมลอยตุ๊บป่อง ดีที่ใส่ชูชีพไว้ตามคำแนะนำของเพื่อน จึงลอยตัวได้สบาย พยายามคว้าเรือไว้ ส่วนรองเท้าแตะจำปล่อยให้ลอยหายไป บังบิ๊บตามมาช่วยด้วยอีกแรง เพราะถ้าเลยไปอีกหน่อยก็จะเจออีกแก่งหนึ่งแล้วนั่นเอง

โหดสุดของวันนี้คือมหาแก่ง แค่ระยะสั้น ๆ ราวยี่สิบเมตร แต่ต่างระดับราวห้าเมตรในแนวดิ่ง มันคือน้ำตกดี ๆ นี่เอง ที่สำคัญแก่งนี้ยังอยู่ในโตรกแคบ หมายถึงระดับความเผ็ดน่าจะถึงขั้นอุจจาระราดกันได้เลยทีเดียวหากริจะเล่นกับมัน ผมน่ะยอมศิโรราบแต่โดยดีอยู่แล้ว ในขณะที่บังบิ๊บเห็นว่าหากอุปกรณ์และทีมพร้อมเขาอยากวัดใจกับแก่งนี้ดูสักครั้ง ที่แน่ ๆ ไม่ใช่รอบนี้แน่นอน พวกเราจึงแบกเรือและสัมภาระลงไปยังท้ายแก่งกัน จากนั้นจึงประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วออกพายต่อ ผ่านจุดนี้มาแล้วแม่น้ำปัตตานีก็เปิดกว้าง โตรกผาค่อย ๆ หายไป กลายเป็นตลิ่งที่เห็นไกลออกไป แม่น้ำก็เปิดกว้างขึ้น ทว่าก็ยังคงมีแก่งให้ผ่านกันอีกหลายแก่ง อากาศเริ่มเย็น อาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มปกคลุมทั่วบริเวณ พวกเรายังคงไม่