เสียง (เพรียก) แห่งสายน้ำปัตตานี... ตอนที่ 2

แม่น้ำปัตตานีจัดว่าเป็นสายน้ำสั้นเมื่อเทียบกับแม่น้ำอื่น ๆ เพราะระยะทางยาวไม่เกิน 130 กิโลเมตร หากจ้ำพายคงใช้เวลาไม่เกิน 4 วัน พวกเรามีเวลา 7 วัน จึงมากพอที่จะอ้อยอิ่งและแวะทักทายพูดคุยกับผู้คน ขณะเดียวกันก็ไม่ถึงกับต้องรีบเก็บข้อมูลสายน้ำที่ได้รับการไหว้วานจากเพื่อนด้วย

ต้นน้ำปัตตานี ประกอบด้วยลำคลองสาขามากมายซึ่งไหลมาบรรจบกันจนสายน้ำลึกและใหญ่มากขึ้น จากที่กว้างเพียงไม่กี่เมตร กลายเป็นสิบเมตร ยี่สิบเมตร และกว้างกว่านั้นในช่วงปลายน้ำก่อนที่จะไหลออกสู่ทะเล

ยอมรับว่าไม่ได้ศึกษารายละเอียดของการเดินทางรอบนี้มากนัก เพราะรู้ว่าจะพายกับเพื่อนซึ่งเป็นคนในพื้นที่ เมื่อไม่ได้ทำการบ้านมาล่วงหน้า จึงไม่รู้ว่าจะคาดหวังอะไรกับสายน้ำนี้ มีแค่แอบหวั่นใจเล็ก ๆ ลึก ๆ ว่าอาจจะเจอกลุ่มคนน่ากลัวหรือเหตุการณ์อันน่าประหวั่น ส่วนแม่น้ำปัตตานีคิดว่าก็คงไหลเรียบ ๆ ไม่น่าจะมีเกาะแก่งสร้างความตื่นเต้นหวือหวา แต่ปรากฎว่าทุกวันพบเจอเรื่องราวและกิจกรรมสนุกตื่นเต้น ไฮไลต์ของแต่ละวันแตกต่างกันแทบจะโดยสิ้นเชิง อย่างวันแรกนั้นกว่าจะได้เริ่มพายก็บ่ายคล้อยมากแล้ว ล่องกันไปเพียงชั่วโมงครึ่งก็ต้องเริ่มมองหาสถานที่พักแรมแล้ว แต่ก็ดี เพราะถือเป็นการทำความคุ้นเคยกันระหว่างสองเกลอที่เพิ่งเจอกัน

และได้เริ่มสังเกตภูมิประเทศโดยรอบไปในตัวด้วย รู้สึกดีที่ได้ร่อนเร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แปลกและสงบเช่นนี้ น้ำไหลเอื่อย บางช่วงตื้นเขิน ทำให้ท้องเรือครูดดินหิน ตามโค้งน้ำบางจุดมีกิ่งก้านไม้ขวาง ต้องพายฉวัดตวัดหลบบ้าง สนุกดี เสียงนกดังมาจากสุมทุมพุ่มไม้ ประกอบกับช่วงแดดร่มลมตกด้วยแล้วยิ่งทำให้จิตใจสงบได้อย่างน่าประหลาด พวกเราได้จุดพักแรมริมน้ำ เป็นหาดทรายกว้างพอให้สยายเต็นท์สองหลังกับเหลือพื้นที่สำหรับนั่งเล่นและทำสำรับกับข้าวอีกนิดหน่อย



ตลิ่งสูงสองฝั่งน้ำเป็นพื้นที่สวนยาง เขาต้องปลูกกันเป็นขั้น เพราะเป็นพื้นที่ค่อนข้างชัน มีกล้วยและทุเรียนปลูกสลับในบางพื้นที่ด้วย จุดสังเกตประการหนึ่งที่ค่อนข้างสร้างความประหลาดใจ คือแม้จะเข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว แต่ต้นไม้ใบหญ้ายังคงเขียวขจี ไม่เห็นไม้สลัดใบชัดเจนเหมือนป่าทางภาคเหนือ ที่ดีกว่ามากหลายเท่าก็คืออากาศสะอาด ไม่มีหมอกควันที่ส่งผลต่อทัศนวิสัยและต่อระบบทางเดินหายใจของคน ต้องบอกว่าคนแถวนี้โชคดีกว่าประชากรชาวเหนือโดยแท้

แต่สิ่งที่ไม่ค่อยต่าง คือมลพิษปนเปื้อนในน้ำ แม้จะลงไปอาบน้ำท่าในน้ำซึ่งคล้ายจะใส แต่ก็รู้สึกแขยงบ้าง ทั้งนี้เพราะรู้เห็นมาว่าต้นน้ำแถวเมืองเบตงนั้นมีสภาพเป็นน้ำครำ ถึงแม้จะเจือจางมาบ้างแล้วจากลำห้วยสาขาอื่น ๆ ก็ตามที แต่ระดับสิ่งเจือปนอันไม่พึงประสงค์น่าจะยังคงมากพอสมควร เช่นนี้แล้ว หากสามารถสะท้อนเสียงกลับไปยังเมืองต้นทางน้ำเสียได้บ้าง ก็อยากให้มีการจัดการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ หากคุณภาพน้ำในแม่น้ำดี ก็จะเอื้อประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศด้วยเช่นกัน


 

มื้อเย็นทำทานกันง่าย ๆ ข้าวหม้อแกงหม้อ กินอิ่มหมีพีมันแล้วนั่งคุยสัพเพเหระกับเขียนอะไรต่อมิอะไรลงสมุดบันทึกสักพักก็แยกย้ายกันมุดเต็นท์ตัวเอง ตกกลางคืนอากาศเย็นเกือบหนาว ต้องนอนห่มผ้า ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะเข้าใจผิด คิดว่าภาคใต้มีแต่ฝนกับร้อนเท่านั้น เสียงน้ำไหลเป็นบทเพลงกล่อมนอนขนานเอก ถือเป็นเสียงดนตรีธรรมชาติบำบัดที่ดีมาก สำหรับตัวเองแล้ว ผมพบว่าการพาตัวเองไปให้ขุนเขาและสายน้ำโอบกอดนั้นเป็นการรีชาร์จแบตเตอรี่ชีวิต หรือเปรียบเทียบคล้ายกับเด็กทารกในอ้อมกอดมารดา หลับปุ๋ยอย่างอบอุ่นปลอดภัย