ประโยคเผ็ดร้อนของ ‘รองนายกฯ อนุทิน vs ส.ส. วิโรจน์ ‘ ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ประจำวันที่ 17 ก.พ. 2564

เข้าสู่วันที่สอง ความเผ็ดร้อนของ ‘ศึกซักฟอกระลอกใหม่ 10 รัฐมนตรี’ ก็ไม่ได้ลดดีกรีลงแต่อย่างใด โดยซีนร้อน ๆ ของวันนี้ ต้องยกให้กับการปะทะกันทางประโยคของ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กับ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

โดยเป็นทางฝั่งของนายวิโรจน์ ที่เปิดประเด็นเรื่องราวการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโควิด -19 ของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่ามีความผิดพลาด ก่อนที่ช่วงท้ายจะซัดแรง ๆ ด้วยประโยคที่ว่า...

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายอนุทินชาญวีรกูล วัน ๆ มีแต่ทำตัวหิวแสง กระหายแฟลช เสี้ยนไมโครโฟน มักใหญ่ใฝ่สูงหมายจะเอาเงินภาษีของประชาชนไปสร้างซีนให้กับตนเอง คุยโม้คุยโต โง่แล้วอยากนอนเตียง เอาชีวิตของราษฎรไปขึ้นเขียง เอาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนไปเสี่ยงกับบริษัทเอกชนที่เพิ่งรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และน่าจะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน ประชาชนเขาหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นเพราะวัคซีน แต่สุดท้ายต้องสิ้นอนาคตได้ฟอร์มาลีนมาแทน

คนคู่นี้ แค่เดินเฉียดเงาผมยังรู้สึกรังเกียจ แค่คิดว่าต้องหายใจเอาอากาศร่วมกันกับคนสองคนนี้ ก็รู้สึกขยะแขยง ผมจึงไม่อาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้อีกต่อไป และไม่อาจไว้วางใจ ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลูกกระจ๊อก สมุนคู่ใจ ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ด้วยเช่นกัน”

งานนี้เมื่อถึงคิวของนายอนุทิน ชาญวีรกุล ได้ขึ้นมากล่าวโต้แย้ง ก็เริ่มต้นด้วยประโยคเชือดเฉือนที่ว่า...”สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ผมได้เจอบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็น ส.ส. ในสภา มากล่าวโกหก ให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ท่ามกลางโรคระบาดที่ร้ายแรง แทนที่จะให้กำลังใจ กลับนำข้อมูลทางโซเชี่ยล ไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ในสภา เมื่อสักครู่ คุณบอกว่าผมน่ารังเกียจ แต่เดินเจอหน้ากันหน้าห้องน้ำ เข้ามากราบแทบอก และถ้าผมเอาแอลกอฮอล์ฉีดตรงที่เนคไท คุณจะรู้สึกอย่างไร”

ต่อมา ในช่วงท้าย นายอนุทิน ยังได้ตั้งคำถามกับคำว่า ‘น่ารังเกียจ’ ที่นายวิโรจน์ได้กล่าวหา โดยขยายความให้เห็นภาพว่า...

“คนสองคนที่ท่านบอกว่าน่ารังเกียจ ไม่ควรเข้าใกล้ ไอ้สองคนนี้ล่ะครับ ทำให้ อสม.เข้มแข็งขึ้น ไอ้สองคนนี้ล่ะครับ ทำให้มีโครงการสามหมอ ทำให้ระบบสาธารณสุขมีการพัฒนา เพิ่มประสิทธิภาพ มีความสะดวกในการให้บริการพี่น้องประชาชน สองคนนี้แหละครับ เปิดคลีนิคบริการผู้สูงอายุ เพราะว่าประเทศไทยเราเข้าสู่ยุคผุ้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ เราเตรียมไว้พร้อม

สองคนนี้และครับ จัดหาเครื่องฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ถึง 7 เครื่อง บริษัทผู้ผลิตยังงงไปหมดว่า สั่งทีเดียวได้ยังไงตั้ง 7 เครื่อง เพื่อให้บริการผู้ป่วยมะเร็งทั่วประทศไทย ที่จะไม่ต้องลำบากเดินทาง เข้าคิว เขาจะได้รักษาตรงเวลา ทันเวลา และไม่ต้องทนทุกข์ทรมานให้มากขึ้น ยุคนี้กระทรวงสาธารณสุข ทำให้คนไทยเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทุกแห่ง ทุกโรงพยาบาล ในโรคทั่วไป ที่ไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่

สิ่งที่เราเคยกังวล เคยประสบ เราเคยลำบากในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิดระลอกแรก ยาก็ไม่มี หน้ากากก็ไม่พอ ชุดพีพีอีก็หาไม่ได้ วันนี้ หน้ากากผลิตเอง ไม่มีใครฉวยโอกาสขึ้นราคาได้อีกต่อไป ยา มีมากเกินพอ ที่จะให้การรักษาดูแลผู้ที่ติดเชื้อโควิด 

สุดท้าย การที่มีโรงงานผลิตวัคซีน อยู่ในประเทศไทย จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนนี้ ที่จะเป็นศูนย์การผลิตวัคซีนต่อต้านโควิด แล้วฟีดไปในภูมิภาคนี้ อยู่ในสัญญาที่ทางบริษัทวัคซีนให้ไว้กับรัฐบาลไทย และให้ไว้กับเจ้าของผลิตภัณฑ์ มันเป็นความน่าภาคภูมิใจครับ ไม่ใช่สิ่งที่จะมาก่นด่า หรือพูดอะไรที่เป็นการลดขวัญกำลังใจคนทำงาน

ผมเรียนว่า สิ่งที่ผมได้แจ้งมานี้ ถ้าท่านยังบอกว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และตัวกระผมเอง มีความน่ารังเกียจ ไม่ควรเดินเข้ากระทรวงสาธารณสุข ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็ต้องยอมล่ะครับ แต่ประเด็นคือ ท่านโกหกจนนาทีสุดท้ายมากกว่า

ท่านบอกว่า กระผมไปที่ไหน ท่านนายกฯ ไปที่ไหน มีแต่คนยี๊ มีแต่คนไม่เอาด้วย มีแต่คนรังเกียจ ผมว่ามันตรงข้ามจริง ๆ ครับ ผมก็คนหนึ่งล่ะ ที่รังเกียจกิริยาเช่นนี้ อายุยังน้อย เราทำงานสร้างสรรค์ ทำงานเพื่อบ้านเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็ขอให้เป็นผู้แทนของราษฎร ดูแลทุกข์สุขของราษฎร เรื่องส่วนตัวค่อยว่ากัน”

ร่ายยาวแบบจัดหนัก จัดเต็ม ถ้ายังไม่เคลียร์ สงสัยต้องนัดเจอกัน ‘หน้าห้องน้ำ’ อีกสักที!