Saturday, 5 July 2025
WEEKEND NEWS

เรื่องนี้พี่ไม่พลาด! ‘ศรีสุวรรณ’ ร้อง มส.-พศ. สอบ ‘พระอุเทน’ ปม เลี่ยงบาลีบวช ‘โยคีปอ-เบิร์ต’ เป็นกิจของวงฆ์หรือไม่

(19 มี.ค. 65) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 มี.ค.นี้สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังมหาเถรสมาคม(มส.) ผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กรณีพระอุเทน สิริสาโร เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ ได้ทำการบวชพราหมณ์ให้กับ 2 ผู้ต้องหาในคดีอาญาที่เป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้ มีเจตนาที่จะเลี่ยงบาลี ที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎมหาเถรสมาคม (มส.) ฉบับที่ 17 พ.ศ.2536 หรือไม่

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ข้ออ้างที่ว่ามิใช่เป็นการบวชพระแต่เป็นแค่การบวชพราหมณ์นั้น ไม่อาจรับฟังได้ เนื่องจากการบวชพราหมณ์เป็นกิจของศาสนาพราหมณ์ ที่กำหนดไว้ว่าการบวชสามารถกระทำได้ในวันเดียวในรอบปี คือวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 เท่านั้น และห้ามโกนผม โกนคิ้ว ที่สำคัญผู้บวชจะต้องมีเชื้อสายพราหมณ์ โดยบรรพบุรุษจะต้องบวชพราหมณ์สืบเนื่องอย่างไม่ขาดสายคือพ่อจะต้องบวชพราหมณ์ ลูกจึงจะบวชพราหมณ์ได้ โดยจะต้องเรียนท่องบทสวดคัมภีร์ของพราหมณ์ให้ได้ก่อนถึงวันบวช เมื่อบวชพราหมณ์แล้วจะต้องถือเพศเป็นพราหมณ์ ครองผ้าขาวตลอดชีวิต ลาสิกขาจากเพศพราหมณ์ไม่ได้จนสิ้นอายุขัย หรือเสียชีวิตก่อนวัยด้วยเหตุต่างๆ เท่านั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การที่เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ แสร้งบวชพราหมณ์ให้กับ 2 ผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา แต่กลับมีวัตรปฏิบัติดั่งเช่นนักบวชในพุทธศาสนา เช่น การปลงผม โกนคิ้ว นั่งกรรมฐาน เดินธุดงค์ ถือกรดสะพายบาตร แถมยังมีการนำไปทำพิธีแก้กรรมปลดปล่อยวิญญาณกลางสุสานอีกด้วยนั้น ไม่ใช่ลักษณะของนักบวชในศาสนาพราหมณ์ 100% หากแต่น่าจะเป็นเล่ห์ฉลหรือการเลี่ยงบาลี เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา นำไปประกอบในการใช้ต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อขอลดหย่อนโทษทางอาญาหากศาลพิพากษาว่ามีความผิดเท่านั้น

ส่งซิกเจรจาสงบศึก! ‘ปูติน’ เปิดทางนัด ‘เซเลนสกี’ เจรจาสงบศึก ยื่นคำขาด ‘ห้ามร่วมนาโต-ลดกำลังทหาร-คุ้มครองภาษา-สลายเผด็จการ’!

“ปูติน” ส่งซิกนัด “เซเลนสกี” ตั้งโต๊ะถกเงื่อนไขยุติสงคราม ยื่นคำขาดห้ามร่วมนาโต จี้ลดกำลังทหาร-คุ้มครองภาษารัสเซีย-สลายคราบเผด็จการ แย้มอธิปไตย 3 ดินแดนเจ้าปัญหาต้องจับเข่าคุยกันอีกที กองทัพรัสเซียยังถล่มไม่ยั้งกดปุ่มยิงขีปนาวุธไม่ต่ำกว่า 3 ลูกใส่สนามบินลวิฟ ตอกย้ำโจมตีเป้าหมายกระบวนการป้อนอาวุธหนุนยูเครน 

กลาโหมอังกฤษฉายซ้ำทหารยูเครนตอบโต้ได้ชะงัด บลัฟทัพหมีขาวย่ำอยู่กับที่ ขณะที่อุปทูตยูเครนแถลงขอบคุณรัฐบาลไทยชูสันติภาพ ร่วมยูเอ็นโหวตประณามฝ่ายรุกราน ส่งเงินบริจาค 7 ล้านบาทจากคนไทยช่วยชาวยูเครน โต้ไม่มีทหารปะปนหลบหลังพลเรือน

ผ่านไป 23 วันกับสงครามยูเครน-รัสเซีย ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ที่ยังดูไร้ทางออก หลังขั้วการเมืองทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนแตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ส่งสัญญาณเป็นครั้งแรก พร้อมที่จะคุยกับนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ขณะที่อุปทูตยูเครนประจำประเทศไทยขอบคุณรัฐบาลไทยที่ลงมติสนับสนุนยุติสงคราม รวมถึงชาวไทยที่บริจาคเงินช่วยเหลือยูเครน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ว่าสถานการณ์การสู้รบในยูเครนยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด กองทัพรัสเซียปฏิบัติการใช้ขีปนาวุธอย่างน้อย 3 ลูก ยิงโจมตีสนามบินนานาชาติเมืองลวิฟ ทางภาคตะวันตกของยูเครน สนามบินอยู่ห่างจากใจกลางเมืองไปเพียง 6 กิโลเมตร เบื้องต้นพบว่า ขีปนาวุธยิงทำลายโรงซ่อมบำรุงเครื่องบิน แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ 

โดยก่อนหน้านี้ กองทัพรัสเซียเคยใช้ขีปนาวุธยิงถล่มศูนย์ฝึกทหาร ในพื้นที่เมืองลวิฟเช่นกัน พร้อมให้เหตุผลว่าเป็นการโจมตีใส่ทหารอาสาต่างชาติ อีกทั้งรัฐบาลรัสเซียยังเคยประกาศเตือนว่ากระบวนการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ช่วยเหลือยูเครนอาจตกเป็นเป้าหมายทางทหาร

ขณะที่กระทรวงกลาโหมอังกฤษ รายงานข้อมูลข่าวกรองว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมากองทัพรัสเซียปฏิบัติการรุกคืบได้เพียงเล็กน้อยหน่วยรบยูเครนในพื้นที่กรุงเคียฟ และเมืองมิโคลาเยฟ ทางภาคใต้ ยังคงสร้างความหงุดหงิดแก่กองทัพรัสเซีย ส่วนเมืองหลักๆของยูเครนอย่างคาร์คีฟ เชอร์นิกอฟ ซูมี และเมืองท่ามาริอูโปล ตกอยู่ในวงล้อมและถูกยิงถล่ม-ทิ้งระเบิดอย่างหนัก

ด้านบรรยากาศการเจรจาหาทางออกนั้น นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย หารือทางโทรศัพท์กับนายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวหาว่ารัฐบาลยูเครนพยายามทุกวิถีทางที่จะถ่วงเวลาการเจรจา ทั้งยื่นข้อเสนอที่ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง แต่รัสเซียก็พร้อมที่จะหาทางออก

ก่อนหน้านี้ นายปูตินยังโทรศัพท์หารือกับนายเรเซป ทายยิบ เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกีด้วยเช่นกัน โดยนายอิบราฮิม คาลิน ที่ปรึกษาประธานาธิบดีตุรกี ที่นั่งฟังการสนทนาครั้งนี้ได้เปิดเผยกับสำนักข่าวบีบีซีอังกฤษว่า ประธานาธิบดีรัสเซียย้ำกับประธานาธิบดีตุรกีถึงเงื่อนไขการยุติสงคราม คือยูเครนต้องให้หลักประกันว่าจะไม่เข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) หรือนาโต ทั้งนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ต้องยอมรับว่าจะไม่พาประเทศเข้านาโต พร้อมต้องการให้กองทัพยูเครนลดกำลังทหาร คุ้มครองการใช้ภาษารัสเซียภายในยูเครน และสลายความเป็นเผด็จการ

ส่วนในประเด็นอธิปไตยที่รัสเซียต้องการให้ยูเครนยอมรับสถานะคาบสมุทรไครเมีย และ 2 จังหวัดตะวันออกของยูเครนนั้น นายปูตินกล่าวว่า เรื่องนี้จำเป็นต้องพบปะเป็นการส่วนตัวกับนายเซเลนสกี ผู้นำยูเครน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นายปูตินกล่าวถึงการหารือกับนายเซเลนสกี ขณะที่นายดมิโตร คูเลบา รมว.ต่างประเทศยูเครน หารือกับนายเมฟลุต คาวูโซกลู รมว.ต่างประเทศตุรกีที่เมืองลวิฟ ทางตะวันตกของยูเครนว่า ตุรกีควรเป็นหนึ่งในประเทศที่มอบหลักประกันทางความมั่นคงให้ยูเครน พร้อมเผยว่าตุรกีอยู่ระหว่างประสานงาน จัดการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีปูตินและประธานาธิบดีเซเลนสกี แต่มิได้ระบุว่าจะเจรจากันที่ใด ในรูปแบบใด

“จุรินทร์” โชว์วิชั่น กทม. เปิด 3 นวัตกรรม บริหาร ทั้ง ครม.กรุงเทพฯ-กรอ.กรุงเทพฯ​ และเกรทเตอร์ แบงค็อก

13​ มี.ค.65​ ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงทิศทางแนวคิดของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อนำพากรุงเทพมหานครไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น ในงาน The 2 Leaders’ Visions “เศรษฐกิจประเทศ - เศรษฐกิจเมือง” ที่จัดขึ้นที่พรรคฯ โดยได้กล่าวว่า 

ภายหลังการเลือกตั้งปี 2562 ก่อนที่ตนมาเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งประชาธิปัตย์ในกรุงเทพฯ ไม่ได้รับเลือกตั้งเลย แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น แต่ประชาธิปัตย์ได้ผ่านจุดนี้มาแล้วหลายครั้ง ทั้งที่รุ่งเรืองจนได้รับเลือกตั้งเกือบยกทีมก็มี หรือได้รับเลือกคนเดียวก็มี หลายคนปรามาสประชาธิปัตย์คงจะสูญพันธุ์ แต่ตนยังมั่นใจว่ามาถึงวันนี้เรากำลังเดินขึ้นและมั่นใจว่าพี่น้องชาวกรุงเทพฯ จะต้อนรับประชาธิปัตย์อีกครั้งหนึ่ง เพราะประชาธิปัตย์กับชาวกรุงเทพฯ ผูกพันกันมายาวนานนับตั้งแต่ก่อตั้งพรรค คนกรุงเทพฯ มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งประชาธิปัตย์ มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ตั้งแต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ ท่านพิชัย รัตตกุล ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลายคนล้วนเป็นคนกรุงเทพฯ ดังนั้น คนกรุงเทพฯ กับประชาธิปัตย์จึงผูกพันกันมาเนิ่นนาน 

เมื่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กำลังจะมาถึง ก็มีคนตั้งคำถามใหม่ว่า ประชาธิปัตย์จะส่งผู้ว่าฯ กทม. หรือไม่ ในฐานะที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค ตนเป็นคนหนึ่งที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าประชาธิปัตย์ต้องส่ง ประชาธิปัตย์ไม่ส่งไม่ได้ เพราะเราผูกพันกับชาวกรุงเทพฯ และคนกรุงเทพฯ เลือกเรามาต่อเนื่องยาวนาน เพราะฉะนั้นเราต้องรับผิดชอบต่อคนกรุงเทพฯ การไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งผู้สมัคร ส.ก. คือการตัดทางเลือกของคนกรุงเทพฯ ดังนั้นจึงเป็นที่มาที่ประชาธิปัตย์มีมติส่ง ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในนามพรรคประชาธิปัตย์ รวมกับเพื่อนผู้สมัคร ส.ก. 50 คน 50 เขต ซึ่งเป็นการนับ 1 ที่ถือว่าประชาธิปัตย์ได้ส่งทางเลือกที่ดีที่สุดทางเลือกหนึ่งให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ได้พิจารณา 

ทั้งนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวอีกว่า... 

ประการที่ 1 ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นั้น ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามผู้สมัครอิสระ แต่ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงหมายความว่า ในการเลือกตั้งรณรงค์หาเสียง รวมทั้งไปถึงภายหลังหากได้รับเลือกตั้ง “ดร.เอ้” ก็ไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีหลังพิงสำคัญที่จะคอยทำงานร่วมกันและขับเคลื่อนกรุงเทพฯไปสู่ความสำเร็จ นั่นการมีหลังพิงที่เป็นสถาบันการเมืองที่ยั่งยืนที่สุดของประเทศ ที่ชื่อว่าประชาธิปัตย์ 

“ก่อนตัดสินใจเลือก ดร.เอ้ ผมกับ ดร.เอ้ ได้นั่งคุยกัน และท่านองอาจด้วยในฐานะรองหัวหน้าพรรค ได้คุยกันบอกว่าถ้าจะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องทำงานร่วมกัน และต้องไม่บริหารราชการกรุงเทพมหานครโดยความรับผิดชอบเฉพาะกับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ แต่ต้องรับผิดชอบต่อพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเพราะประชาธิปัตย์จะต้องรับผิดชอบต่อการบริหารงานราชการกรุงเทพฯ ของ ดร.เอ้ ต่อไปในอนาคต นี่คือความแตกต่างของผู้สมัครอิสระกับผู้สมัครที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมือง โดยเฉพาะสถาบันการเมืองที่ยั่งยืนที่ชื่อว่าประชาธิปัตย์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว 

ประการที่ 2 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของประชาธิปัตย์นับตั้งแต่นี้ต่อไป ต้องไม่คิดแค่บริหารเมืองหลวงของประเทศและต้องไม่คิดแค่บริหารหน่วยการปกครองท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และต้องไม่คิดแค่การบริหารอภิมหานครกรุงเทพ หรือ กทม. เท่านั้น แต่จะต้องไปไกลไปกว่านั้น 

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ภารกิจของคนเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ที่ต้องบริหารกรุงเทพฯ แบบ “Mini Thailand” จึงมี 3 ประการ 

ประการที่ 1 ประชากรคนไทยทั้งประเทศมี 65 ล้านคน เป็นคนกรุงเทพฯ ตัวจริงที่มีทะเบียนบ้าน 5.5 ล้านคน ทำให้กรุงเทพฯ มีขนาดประชากร คิดเป็น 1 ใน 12 ส่วนของประชากรทั้งประเทศที่มีรวมกัน 77 จังหวัด 

ประการที่ 2 ด้วยขนาดประชากรดังกล่าว ทำให้มีปัญหาหลายเรื่องที่ ผู้ว่าฯ กทม. ต้องแก้ปัญหา และต้องบริหารจัดการในฐานะผู้ว่าฯ Mini Thailand ซึ่งเมื่อดูขนาดเศรษฐกิจของ กทม. จังหวัดเดียว คิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ประเทศ  หมายความว่าขนาด GDP ประเทศ อยู่ที่กรุงเทพฯ ถึง 1 ใน 4 และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ GDP ของกรุงเทพฯ ก็เติบโตมากกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศอีกด้วย  

เมื่อไปดูสัดส่วน GDP ของกรุงเทพฯ ก็พบว่าการที่เศรษฐกิจกรุงเทพขับเคลื่อนอยู่ได้ทุกวันนี้ ขึ้นอยู๋กับ...

อันดับ 1 การค้า คิดเป็น 87 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ดังนั้นการค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งตั้งแต่คนตัวใหญ่จนถึงคนตัวเล็ก 

อันดับ 2 อุตสาหกรรม 13% มีเรื่องเกษตรไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ 

ดังนั้นจากข้อมูลพื้นฐานดังกล่าว จึงถือว่าลมหายใจของเศรษฐกิจกรุงเทพฯ จึงเรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับการค้า 87% อุตสาหกรรม 13% ขณะที่เมื่อไปดู ตัวเลข Per Capita income หรืออัตรารายได้เฉลี่ยต่อหัว จะเห็นได้ชัดขึ้นว่ารายได้ของคนกรุงเทพฯ เฉลี่ย มากกว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของประเทศ 3 เท่า แม้จะฟังแล้วเหมือนดีว่าคนกรุงเทพฯ รวย แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเป็นตัวเลขถัวเฉลี่ย แต่เมื่อดูตัวเลขลึกลงไปพบว่า คนกรุงเทพฯ ตัวจริงที่เป็นคนจน มีรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี ที่ต้องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีมากกว่า 5 แสนคน ตรงนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญของผู้ว่าฯ กทม. นอกจากรัฐบาลที่ต้องแก้ไข ผู้ว่าฯ กทม. ก็ต้องคิดเป็นภาระของตัวเองด้วยเพื่อเข้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้พี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร ดังนั้นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ประชาธิปัตย์จากนี้ไป จึงต้องคิดเรื่องการบริหารกรุงเทพมหานคร ให้เป็นการบริหารแบบ Mini Thailand 

ประการที่ 3 การบริหารกรุงเทพมหานครของยุคประชาธิปัตย์ ยุค “ดร.เอ้” จากนี้ไป จึงต้องเกิดนวัตกรรมใหม่ทางการบริหารต้องขึ้นอย่างน้อย 3 นวัตกรรม 

นวัตกรรมตัวที่ 1 ครม. กรุงเทพฯ ต้องเกิด ไม่ใช่การบริหารแบบเดิมที่มี ผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ด้านบริหาร ด้านโยธา ด้านสาธารณสุข ด้านศึกษา ยุทธศาสตร์ และที่ปรึกษา แต่กรุงเทพมหานคร ยุคอุดมการณ์ทันสมัย ต้องมี ครม. กรุงเทพ เกิดขึ้น เพื่อบริหาร Mini Thailand ที่ชื่อว่ากรุงเทพมหานคร ที่ประกอบด้วย รัฐมนตรีเศรษฐกิจกรุงเทพมหานครต้องเกิด เพื่อรับผิดชอบเศรษฐกิจของชาวกรุงเทพฯ ตั้งแต่คนตัวใหญ่ที่ทำธุรกิจค้าขาย 87 % ของ GDP คนตัวกลางอุตสาหกรรม 13% ไปจนถึงคนตัวเล็ก 5 แสนกว่าคนที่รายได้ต่ำกว่าแสนต่อปี การที่ ดร.เอ้ ประกาศวิสัยทัศน์ให้ กรุงเทพฯ เป็นเมืองสวัสดิการต้นแบบของอาเซียน ดังนั้น รัฐมนตรีสวัสดิการกรุงเทพฯ ต้องเกิด เพื่อขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ที่มีความชัดเจน กว่าการมีแค่รองผู้ว่าฯ ด้านโยธา ด้านศึกษา ด้านสาธารณสุข 

นวัตกรรมตัวที่ 2 ต้องเกิด กรอ. กรุงเทพฯ เนื่องจากเศรษฐกิจกรุงเทพฯ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่คิดเป็น 1 ใน 4 ของ GDP ประเทศ และขับเคลื่อนด้วยการค้ากับอุตสาหกรรม ดังนั้นเอกชนจึงมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร  ซึ่ง กรอ. กรุงเทพฯ จะเป็นเวทีให้ผู้ว่าฯ กทม. ครม.กรุงเทพฯ ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกรุงเทพฯ ร่วมกับเอกชน ตั้งแต่คนตัวใหญ่ถึงคนตัวเล็กไม่เว้นแม้แต่คนจนเมือง 

นวัตกรรมตัวที่ 3 คนเป็นผู้ว่ากทมในยุคอุดมการณ์ทันสมัยของประชาธิปัตย์ที่มีตนเป็นหัวหน้าพรรคต้องไม่มองแค่ในกรุงเทพมหานคร เพราะกรุงเทพฯ วันนี้ได้เชื่อมต่อเหมือนเป็นเนื้อเดียวกับปริมณฑล มีประชากรที่เคลื่อนเช้าเย็นกลับมาจากนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ มีโครงสร้างพื้นฐานทั้งสาธารณูปโภค สาธารณูปการ มีรถไฟฟ้าเชื่อมต่อไปถึงปริมณฑล เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกัน ทั้งไฟฟ้า-ประปาต่อข้ามเขตได้โดยไม่รู้ตัว 

เพราะฉะนั้นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องทำงานร่วมกัน ทั้งรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และต้องทำงานร่วมกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด และกลไกภาครัฐ ไฟฟ้า ประปาในปริมณฑลด้วย ทั้งหมดต้องสอดประสานกัน ต้องคิดวางแผนขุดทีเดียวไม่ต้องขุด 3 รอบ 4 หน่วยงาน ขุด 4 รอบ เพื่อไม่ให้สุดท้ายแล้วกรรมมาตกกับคนกรุงเทพฯ

'หมอชลน่าน' ลั่นชื่อ 'อุ๊งอิ๊ง' แคนดิเดตนายกฯ พท. อ้าง ถ้าปชช. ตอบรับดีก็มีทางเป็นไปได้

13 มี.ค. 65 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความพร้อมของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า เราเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด เลือกตั้งเมื่อไหร่เราก็พร้อมลงทุกเขต ส่วนแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย จะเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนว่าเห็นอย่างไร ถ้าประชาชนมีเสียงตอบรับที่ดี มีเสียงสนับสนุนก็มีความเป็นไปได้ทั้งหมด อยู่ที่พี่น้องประชาชน


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/641101

'กอบศักดิ์' วิเคราะห์ สหรัฐฯ ใช้ 'นิวเคลียร์เศรษฐกิจ' ต้อนรัสเซียให้จนมุม หวังตัดกำลังพัฒนากองทัพ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

"นิวเคลียร์เศรษฐกิจ" 

อาวุธใหม่ที่พัฒนาขึ้น ระหว่างการทำสงครามกับรัสเซีย
ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในสงครามเศรษฐกิจกับรัสเซีย คือ การนำ "ระบบการค้าและระบบเงินของฝั่งโลกตะวันตก" มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในอดีต เวลาเกิดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ใดๆ ก็จะมีการนำนโยบาย Sanctions มาใช้ เพื่อลงโทษประเทศที่ก่อปัญหา 
แต่สิ่งที่แตกต่างรอบนี้ ก็คือ ระดับความเข้มข้นของนโยบาย ทั้งจาก จำนวน กลุ่มประเทศที่เข้าร่วม และความรุนแรง

ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ รัสเซียได้กลายเป็นประเทศที่ถูก Sanction เยอะที่สุดของโลก ด้วยมาตรการกว่า 3,000 อย่าง!!!! จากประเทศหลักๆ มากกว่า 40 ประเทศ
หลายมาตรการ ต้องบอกว่า เป็นมาตรการไม่ปกติ 

เช่น ยึดเงินสำรองระหว่างประเทศ สั่งไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินด้วย ไม่ให้ระดมทุน ไม่ให้ใช้ระบบการชำระเงิน ยึดสินทรัพย์ ไม่ซื้อสินค้า เร่ง Exit ออกจากธุรกิจและการลงทุนต่างๆ  รวมไปถึง ห้ามใช้เทคโนโลยีทางการทหารและดิจิทัล ที่สหรัฐและโลกตะวันตกพัฒนา

ทั้งหมดนี้ เป็นการนำ "ระบบการค้าและระบบการเงินของโลกตะวันตก" มาเป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ 

ทั้งนี้ เพราะตลาดการค้าของโลกตะวันตกมีขนาดประมาณ 70% ของเศรษฐกิจโลก และเป็นระบบหลักที่ควบคุมการไหลเวียนของการเงินโลกมากกว่า 90% 

(1) ในเชิงการค้า ถ้ารัสเซียถูกตัดออกจากระบบดังกล่าว ก็จะเท่ากับว่า "ถูกปล่อยเกาะ" ให้รัสเซียต้องสู้ด้วยตัวเอง ผลิตสินค้า พัฒนาสินค้าต่างๆ โดยอาศัยรัสเซียและเพื่อนของรัสเซียเท่านั้น ไม่มีคนช่วยผลิต ไม่มีตลาดขนาดใหญ่มารองรับ
กลไกการแบ่งงานกันทำ กลไกการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เคยเป็นหัวใจหลักที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพให้กับระบบการผลิตของรัสเซีย จะถูกทำลายลงไปในพริบตา 

หากจะเปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ ถ้าเราเคยเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว เอารายได้ไปซื้อของอื่นๆ มาใช้ มีความสุขในการใช้ชีวิต แต่วันหนึ่ง ทุกคนไม่ยอมมายุ่งกับเรา ต้องทำก๋วยเตี๋ยวกินเอง และผลิตทุกอย่างใช้เอง ตั้งแต่สบู่ ยาสีฟัน ขนม อาหารต่างๆ ... ประสิทธิภาพของการทำงานจะลดลงแค่ไหน และชีวิตจะลำบากขึ้นแค่ไหน 

(2) ในเชิงการเงิน การถูกขับให้ออกจากระบบการเงินโลก ไม่ให้ใช้ระบบ SWIFT ไม่ให้ชำระเงินผ่านระบบธนาคารของสหรัฐและพันธมิตร การไม่ให้ระดมเงิน รวมไปถึงการ Freeze สินทรัพย์ทุกอย่าง เป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจรัสเซียออกไป 
ทั้งหมดเพื่อให้เกิด Financial System Meltdown ในรัสเซีย

ไม่น่าแปลกใจ ผลที่ตามมา ค่าเงินรัสเซียอ่อนลงไปครึ่ง จาก 70 เป็น 130 รูเบิล/ดอลลาร์ คนรัสเซียที่เคยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของตน เงินหายไปอย่างน้อย 70-80% (จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถเปิดตลาดหลักทรัพย์ได้) ธนาคารพาณิชย์ถูกแห่ถอนเงิน บริษัทหลายแห่งกำลังจะมีปัญหา

นอกจากนี้ สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศ (ETF ต่างๆ) ถูกระงับการซื้อขาย พันธบัตรรัสเซียถูก Downgrade จนเป็น Non-investment grade หรือ Junk Bonds และต่อไปคงไม่ผิดการชำระหนี้ได้

ล่าสุด การไล่ล่าทางการเงิน กำลังจะไปถึงการประกาศห้ามไม่ให้ค้าขายทองคำกับรัสเซีย ที่รัสเซียได้สะสมเอาไว้มากกว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่ผ่านมา 

(3) สุดท้าย สหรัฐและ NATO มุ่งจะตัดรัสเซียออกจาก "ระบบนวัตกรรมโลก" 
เรื่องนี้ แม้ดูว่าไม่น่ามีผลมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเท่ากับว่า กีดกันให้รัสเซียต้องไปคิดค้นทุกอย่างเอง ไม่ให้ใช้เทคโนโลยีที่โลกตะวันตกร่วมกันพัฒนา
โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ การทหาร การบิน การเดินเรือ และดิจิทัล 

ในประเด็นนี้ การพัฒนานวัตกรรมมีต้นทุนสูงมาก การช่วยกันพัฒนาคนละส่วน จะช่วยให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว 
การที่รัสเซียต้องอยู่ในห้อง Lab คนเดียว คิดอยู่คนเดียวจะทำให้ การคิดค้นสิ่งต่างๆ ของรัสเซียช้าลงมาก และจะส่งผลต่อระดับอานุภาพของยุทโธปกรณ์ที่รัสเซียคิดค้น และต่อการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจของรัสเซียด้วย

ทั้งหมดนี้ เรียกได้ว่า จะรุกฆาต เอากันให้จนมุม 
หลายคนถามว่า ทำไปทำไม เป้าหมายจริงๆ คืออะไร
คำตอบ "บั่นทอนเศรษฐกิจของรัสเซีย" 
ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะ "ความเข้มแข็งของประเทศในเชิงเศรษฐกิจ คือพื้นฐานสำคัญของความเข้มแข็งเชิงการทหาร"

ถ้าเศรษฐกิจของรัสเซียอ่อนแอ สุดท้ายรัสเซียก็จะไม่มีเงินมาพัฒนากองทัพ ไม่สามารถแข่งขันทันกับสหรัฐและพันธมิตร NATO ได้
คิดว่า สหรัฐและ NATO คงมีภาพ GDP ของรัสเซียหลังการผนวกไครเมีย อยู่ในใจ
ก่อนเหตุการณ์ดังกล่าว รัสเซียมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น 5 ปีให้หลัง ขนาดเศรษฐกิจรัสเซียลดลงมาเหลือเพียง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงมา 1/4 

อัตราการเจริญเติบโตที่เคยสูงถึง 7-8% ลดลงมาเหลือแค่ 2-3% ผิดจากปกติของประเทศเกิดใหม่
ทั้งหมดทำให้ รัสเซียที่เป็นมหาอำนาจทางการทหาร กลายเป็นประเทศเล็กๆ เชิงเศรษฐกิจ ที่มีขนาดเพียง 1/10 ของสหรัฐ หรือเท่ากับรัฐ Texas เท่านั้น

'นายกตุ้ย'​ ล่ามือบอน!!​ พ่นสเปรย์โซนหาดวอนนภา ย้ำ!! ต้องช่วยกันรักษามากกว่าทำลาย

(13 มี.ค.65) นายณรงค์ชัย คุณปลื้ม หรือ นายกตุ้ย นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข จ.ชลบุรี ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก 'ณรงค์ชัย (ตุ้ย) คุณปลื้ม'​ ระบุว่า...

"อยากหาเรื่องดีๆ มาลงบ้างแต่ก็ไม่ได้เลย บางแสนของพวกเรา ถูกทำร้ายด้วยคนหนักแผ่นดินเสมอมา ไม่เว้นแต่ละวัน กำลังจะตามล่าต่อไป คนชั่วต้องไม่ลอยนวล  ลงทุนทำหาดวอนไว้ให้สวยๆ แล้ว น่าจะช่วยกันรักษามากกว่านะครับ" พร้อมภาพที่มีผู้ใช้สีสเปรย์ พ่นใส่ขอบปูนริมหาดเป็นภาษาอังกฤษ

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่หาดวอนนภา บริเวณจุดนั่งชมวิว ซึ่งวันนี้เป็นวันอาทิตย์ มีนักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยมากันเป็นจำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ เทศกิจเทศบาลเมืองแสนสุข มาดูพื้นที่ พบนายสุภาพ วงษ์สวรรค์ อายุ 63 ปี ผู้ประกอบการร้านค้าหาดบางแสน ได้กล่าวว่า ควรช่วยกันรักษาความสะอาด ยิ่งขยะ เช่น ขวดเหล้า ขวดเบียร์ ถุงพลาสติก ที่ทิ้งเกลื่อนด้วยความมักง่ายยิ่งไม่น่าทำ ถังขยะที่เทศบาลเมืองแสนสุข เอามาตั้งไว้มีทุกระยะ เดินเอาไปทิ้งก็จะเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว

พยาบาล กังขา เหตุให้ออกจากห้องสอบ 'GAT-PAT' ทปอ. ชี้แจง สอบไม่ได้ เพราะใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์ศึกษาต่อ

จากกรณี จนท.ข้าราชการถูกห้ามสอบ GAT/PAT อ้างคุณสมบัติไม่ผ่าน ทั้งนี้ นายชาลี เจริญลาภนพรัตน์ ผู้จัดการระบบสอบ TCAS 65 ออกมาชี้แจงสาเหตุที่สอบไม่ได้เพราะผู้สอบไม่มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่ชัดเจน

เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Phatchayapa Vipulakorn" เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข ได้ออกมาโพสต์ข้อความในประเด็น ข้าราชการถูกห้ามสอบ GAT/PAT ระบุคุณสมบัติไม่ผ่าน โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า

"เป็นข้าราชการห้ามสอบ gat, pat มีเรื่องเล่าปนระบายวันนี้เวลาประมาณ 8.45 น. ในห้องสอบจู่ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่หญิง 1 คน ชาย 1 คนเดินเข้ามาล้อมที่โต๊ะแล้วแจ้งว่าให้หยุดทำข้อสอบแล้วปิดข้อสอบค่ะ ก็คืออึ้งไปเลยแต่ก็ทำตาม หลังจากนั้นมีคำถามที่ถามขึ้นมาว่า
จนท : เป็นครูโรงเรียนไหน (เด็กหันมามองทั้งห้อง)

อมน : ไม่ได้เป็นครูค่ะเป็นข้าราชการเฉยๆ

จนท : รบกวนออกมาด้านนอกค่ะ

พอเดินออกมาหน้าห้องสอบก็คือโดนซักเลยค่ะ

จนท : เป็นครูโรงเรียนไหน คุณมาสอบได้ยังไง ทำงานที่ไหนเดี๋ยวต้องแจ้งไปยังต้นสังกัด (นี่ก็งงๆ)

อมน : ไม่ได้เป็นครูค่ะเป็นพยาบาลมาสอบเพื่อจะเอาไปยื่น ม.นเรศวรในหลักสูตรผลิตบุคลากร มันต้องใช้คะแนนแกต แพต

จนท : ไม่ทราบค่ะ คุณก็ไปใช้คะแนนแกต แพตตอน ม.6 สิ

อมน : เดี๋ยวเอาระเบียบให้ดูค่ะ ขออนุญาตไปหยิบโทรศัพท์ค่ะ (ด้วยความลนหาไม่เจอ)

จนท : น้องตามไปดูให้เขาดูแต่ระเบียบห้ามให้เขาดูอย่างอื่น หาไม่เจอใช่ไหมคะ งั้นกลับเข้าไปนั่งในห้องห้ามทำข้อสอบ น้องตามไปดูอย่าให้เขาทำข้อสอบ

นี่ก็กลับเข้าไปนั่งประมาณ 5 นาที จนท.ชายเดินเข้ามาแล้วถามว่า

จนท : ยังใช้คะแนนไหมครับ ถ้าใช้จะให้ทำข้อสอบโดยจะชดเวลาให้แต่ต้องไปเขียนคำร้อง

อมน : ไม่ค่ะ ไม่สอบ ไม่ใช้ จะนั่งรอจนกว่าจะให้ออกจากห้องสอบค่ะ แล้วก็รบกวนแจ้งมาด้วยค่ะว่าทำอะไรผิด

ผ่านไปอีก 5-10 นาที กรรมการคุมสอบเดินเข้ามาพร้อมหนังสือที่ติ๊กในข้อ 6 ซึ่งหมายถึงทำผิดระเบียบและทุจริตการสอบ ให้เราเซ็นค่ะ เลยถามกลับไปว่าผิดตรงไหน เขาแจ้งเราว่าผิดเพราะเป็นข้าราชการมาสอบ นี่เลยให้เปิดคุณสมบัติผู้เข้าสอบแล้วให้กรรมการอ่านให้ฟัง สรุปคือ กรรมการบอกไม่ผิดนี่เลยไม่เซ็น (ใบแรก)

หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีมีผู้ชายชุดดำเหมือน security เดินเข้ามาเชิญไปที่กองกลางค่ะ พอไปถึงก็ถามเลยว่าทำอะไรผิดคะ คุณสมบัติบอกว่า ต้องเป็นผู้ที่เรียนอยู่ ม.6 จบ ม.6 แล้วจบพยาบาลมาต้องจบ ม.6 ก่อนไหมคะ นางเลยโทร.ไป ทปอ.โดยอ้างว่า เจ้าของที่จัดสอบเขาบอกคุณสมบัติไม่ผ่านจะขอเปิด speaker phone แต่ปลายสายไม่ให้เปิดอีกค่ะ งงมาก ก็ยังยืนยันว่าปีนี้เขาอนุญาตให้เด็ก ม.6 สอบ ข้าราชการสอบไม่ได้แต่ถ้าน้องจะสอบก็สอบได้นะคะจะชดเวลาให้แล้วต้องเขียนคำร้อง นี่ก็เลยวนไปที่คุณสมบัติผู้เข้าสอบแล้วถามว่าผิดไหมนางก็บอกไม่ผิดจะให้กลับไปสอบคือ ฮัลโหลเธอโดนเชิญออกจากห้องสอบไม่รู้ถูกผิดก็คือคนมองเขามองแล้วไหมว่าอินี่ทุจริต ถามว่ามีกะใจจะกลับไปสอบรึ สรุปคือความผิดฉันอยู่ตรงที่ยังไม่สมัครสอบของ ม.นเรศวรค่ะแล้ว จนท.ก็อ้างว่าคะแนนแกต แพตเก็บได้ปีต่อปี จบ สรุปไม่สอบค่ะปีนี้

เรื่องนี้ไม่ได้จะเอาเรื่องใครแค่ต้องการปกป้องตัวเองเพราะการที่นั่งสอบอยู่แล้วถูกเชิญออกคนที่เห็นก็ต้องตั้งธงในใจแล้วว่านี่อาจทุจริตการสอบค่ะ กับเรื่องคำขอโทษแค่นั้น"

ผลวิจัยชี้ 'สูบบุหรี่ไฟฟ้า' เสี่ยงเบาหวานเพิ่ม 22% อันตรายเท่าสูบ 'บุหรี่' ธรรมดา 

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยงานวิจัยใหม่จาก มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา ที่พบว่า “การสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความสัมพันธ์กับภาวะก่อนเบาหวาน หรือ Prediabetes” โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการใช้ข้อมูลสำรวจสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงของประชาชนอเมริกา (Behavioral Risk Factor Surveillance System Survey : BRFSS) ซึ่งถือว่าเป็นการสำรวจที่ใหญ่ที่สุดมีกลุ่มตัวอย่างกว่า 600,000 คนทั่วประเทศ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการ สูบบุหรี่ไฟฟ้า กับภาวะก่อนเบาหวาน (การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติแต่ยังไม่เข้าเกณฑ์ของโรคเบาหวาน)

ซึ่งผลการศึกษาพบว่า คนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า มีความเสี่ยงต่อการมีระดับ น้ำตาลในเลือด สูงกว่าปกติหรือภาวะก่อนเบาหวานเพิ่มขึ้น 22% ส่วนในคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าโดยที่ไม่เคยมีประวัติสูบบุหรี่ธรรมดามาก่อนเลย ยิ่งพบความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 54% โดยคนที่ถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะก่อนเบาหวาน มีแนวโน้มสูงที่จะเป็น เบาหวาน ในอนาคต

ซาอุดีอาระเบีย ประหารชีวิตนักโทษ 81 รายในวันเดียว นับเป็นการประหารชีวิตหมู่ครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษ

ซาอุดีอาระเบียลงทัณฑ์นักโทษชาย 81 คน ในนั้นมีชาวเยเมน 7 คน และซีเรีย 1 คน ในวันเสาร์ (12 มี.ค.) จากการเปิดเผยของกระทรวงมหาดไทย ในการประหารชีวิตหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศในรอบหลายทศวรรษ

จำนวนนักโทษที่ถูกประหารชีวิตในครั้งนี้ มากกว่าการประหารนักโทษตลอดทั้งปี 2021 ซึ่งมีการลงทัณฑ์ 67 ราย และตลอดทั้งปี 2020 ที่มีการประหารชีวิตนักโทษเพียง 27 ราย

ถ้อยแถลงของกระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบียระบุว่า นักโทษประหารเหล่านี้มีความผิดต่างๆ ไล่ตั้งแต่เข้าร่วมกับกลุ่มนักรบ ไปจนถึงมีความเชื่อเบี่ยงเบน

"คนเหล่านี้ รวมแล้ว 81 คน ถูกพิพากษาในคดีอาชญากรรมต่างๆ ในนั้นรวมถึงฆาตกรรมผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก ผู้บริสุทธิ์" ถ้อยแถลงระบุ "อาชญากรรมที่บุคคลเหล่านี้ก่อยังรวมไปถึงเข้าสวามิภักดิ์องค์กรก่อการร้ายต่างชาติ เช่น ไอเอส (รัฐอิสลาม) อัลกออิดะห์ และฮูตี"

กระทรวงมหาดไทยไม่ได้ระบุว่านักโทษเหล่านี้ถูกประหารชีวิตด้วยวิธีการใด

เวเนซุเอลา ยินดีขายน้ำมันให้สหรัฐฯ แต่ก็ยืนหยัดเป็นพันธมิตรที่ภักดีของรัฐบาลรัสเซีย

เฟลิกซ์ ปลาสเซนเซีย (Felix Plasencia) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเวเนซุเอลา กล่าวว่า รัฐบาลเวเนซุเอลาจะพร้อมที่จะขายน้ำมันให้กับสหรัฐฯ อีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคง “ภักดี” ต่อรัฐบาลรัสซีย

ปลาสเซนเซียบอกกับสำนักข่าว Anadolu ของตุรกีเมื่อวันเสาร์ว่าในงาน Antalya Diplomacy Forum 2022 (ADF) ว่ามันไม่ใช่ “ความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด” ที่รัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลเวเนซุเอลาจะทำงานร่วมกันในด้านน้ำมัน เนื่องจากเวเนซุเอลา "ทำธุรกิจน้ำมันกับชาวอเมริกันมาเป็นเวลานานแล้ว"

ปลาสเซนเซีย แย้งว่า มันจะ “ดีสำหรับทุกคน” หากการส่งออกพลังงานของเวเนซุเอลาไปยังสหรัฐฯ “กลับมาเป็นเหมือนเดิม” และเสริมว่าชาวอเมริกันยินดีต้อนรับในประเทศนี้ ตราบใดที่พวกเขา “เคารพอธิปไตย” ของเวเนซุเอลาและยอมรับประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ในฐานะ “หัวหน้ารัฐบาลเพียงคนเดียวและถูกกฎหมายของเวเนซุเอลา” โดยย้ำว่าเวเนซุเอลามีเพียงรัฐบาลดียว (เนื่องจากที่ผ่านมาสหรัฐฯ และชาติตะวันตกรับรองฝ่ายค้านว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมด้วย) 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top