Saturday, 18 May 2024
POLITICS

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ‘ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์’ เกี่ยวกับสมุนไพรที่น่าสนใจ และสมควรที่จะต้องมีการวิจัยว่าจะสามารถนำมาใช้เพื่อ “รักษา” โควิด-19 ได้หรือไม่นั้น มี 3 ชนิด

1.) ฟ้าทะลายโจร จากการรวบรวมข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ฟ้าทะลายโจรบดเป็นผงแบบรวมๆบรรจุแคปซูล โดยไม่ต้องใช้วิทยาการขั้นสูง มีสรรพคุณเภสัชที่ใช้ในการรักษา “ดีกว่า” การสกัดแยกเอาเพียงแค่สารสำคัญ “แอนโดรกราโฟไลด์” (Andrographolide) ออกมา ซึ่งการสกัดเช่นนี้ต้องอาศัยโรงงานบริษัทยาเท่านั้น

ประเด็นสำคัญคือสำหรับประเทศไทย พืชฟ้าทะลายโจรนั้น ปลูกง่าย ขึ้นง่าย และคนไทยส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการใช้ยานี้มายาวนานอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีสถานะเป็นยาสมุนไพร ยาแผนโบราณ ยาสามัญประจำบ้าน และอยู่ในบัญชียาหลักของชาติอีกด้วย

แปลว่าบริษัทยาแผนปัจจุบันคงไม่ค่อยอยากส่งเสริมฟ้าทะลายโจรเท่าไหร่ เพราะชาวบ้านและหมอแผนไทยสามารถกลายเป็นคู่แข่งบริษัทยาที่มีราคาแพงได้ อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่อาจทำให้ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพงๆหรือมีสิทธิบัตรเสียผลประโยชน์ไปด้วย

2.) ตำรับยาขาว ตามตำรับยาศิลาจารึกของวัดโพธิ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แม้จะมีประสิทธิภาพในการลดสรรพไข้ได้หลายชนิด แต่ก็ต้องจ่ายยาโดยอาศัยแพทย์แผนไทย ในคลินิกการแพทย์แผนไทย หรือสหคลินิกที่มีการแพทย์แผนไทย ซึ่งสามารถใช่คู่กันกับใบฟ้าทะลายโจรแบบบดผงบรรจุแคปซูลได้ เพราะการแพทย์แผนไทยมักจะปรุงเป็นตำรับยาหรือมีสมุนไพรอื่นๆเพื่อลดผลเสียของสมุนไพรเดี่ยวได้

ตำรับยาขาวนี้ได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาว่าเป็น “ตำรับยาของชาติ” ตามกฎหมาย แพทย์แผนไทยสามารถจ่ายยาชนิดนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องวิจัยใหม่ อย่างไรก็ตามความยุ่งยากของยาขาวที่ใช้รากจากพืชหลายชนิดมาปรุงเป็นยานั้น ทำให้มีสมุนไพรเพื่อมาทำยาอย่างจำกัด ซึ่งแตกต่างจากฟ้าทะลายโจร

3.) สารสกัดกระชายขาว ซึ่งแม้ว่าจะเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องสกัดสารสำคัญออกมาเท่านั้น ไม่สามารถมีสรรพคุณทางยารักษาโควิด-19 ด้วยการรับประทานกระชายขาวแบบบดหยาบได้

ลักษณะเช่นนี้จึงต้องใช้เป็น “สารสกัดกระชายขาว”ในรูปแบบของยาแผนปัจจุบันที่มีการ “จดสิทธิบัตร” เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้สารสกัดยากระชายขาวมีราคาแพงกว่าพืชสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรที่เพียงแค่นำใบมาบดหยาบก็สามารถใช้ได้แล้ว

ด้วยลักษณะเช่นนี้ฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบที่ชาวบ้านและแพทย์แผนไทยพึ่งพาตัวเองได้ จึงกลายเป็น “คู่แข่ง” ของผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนบริษัทยาหลายกลุ่ม ตั้งแต่ ผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ซึ่งนำมาใช้กับการต้านโควิด-19, ผู้ผลิตยาลดไข้, ผู้ผลิตหรือผู้คิดจะจดสารสกัดกระชายขาว, ผู้ผลิตยาวัคซีน ฯลฯ

แม้วันนี้จะเริ่มมีวัคซีนแล้วแต่ก็ยังมีตัวแปรและความไม่แน่นอนอยู่มาก จึงส่งผลทำให้ประชาชนในประเทศที่มีภูมิปัญญาและวัฒนธรรมในการรักษาของตัวเองมาอย่างยาวนานในเอเชียไม่ต้องการจะฉีดวัคซีน และเลือกที่จะรักษาด้วยสมุนไพรมากกว่า (หากมีทางเลือกนี้เปิดช่องให้ชัดเจนได้) ซึ่งแน่นอนว่าการมีสมุนไพรที่รักษาโควิด-19 ได้นั้น ย่อมเป็นอันตรายต่อกลุ่มทุนบริษัทยาและวัคซีนที่มองเรื่องการแสวงหาผลกำไรสูงสุดบนความกลัวและความทุกข์ยากของประชาชน

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ “ฟ้าทะลายโจร” ตลอดปีที่ผ่านมา กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข จะฝ่าด่านมาใช้ทดลองกับผู้ป่วยโควิด-19 ได้เพียง 5 คนเท่านั้น ทั้งๆ ที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยโควิด-19 กว่า 13,000 คนแล้ว (รายงานเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2564) ซึ่งตรงกันข้ามกับยาที่มารักษาโควิด-19 ที่ใช้ในปัจจุบันก็ล้วนแล้วแต่ลัดขั้นตอนการวิจัยและเร่งใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 โดยทันทีทั้งสิ้น

ในชั้นนี้ จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าหากสื่อมวลชนต้องการจะสัมภาษณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ใช้ฟ้าทะลายโจรนั้น เป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ เนื่องด้วยผู้วิจัยต้องมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิ์ของผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยตามมาตรฐาน “จริยธรรมในการวิจัยในมนุษย์” จึงย่อมปกปิดชื่อ เบอร์โทรศัพท์ของผู้ป่วยและผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด

แต่ก็น่าเสียดายว่าในยามวิกฤติเช่นนี้ “คุณค่า” ของการทดลองเป็น “กรณีศึกษา” ของการใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบในผู้ป่วยโควิด-19 ไม่ได้รับการเปิดเผยจากผู้ป่วยกับสื่อมวลชน เพื่อประโยชน์ของชาติ ว่าฟ้าทะลายโจร “เพียงอย่างเดียว” จะทำให้หายป่วยได้เร็วกว่าการป่วยโรคโควิด-19 หรือไม่ โดยเฉพาะการทดสอบเบื้องต้นเพียง 5 วันเท่านั้น

สรุปผลการทดสอบ 5 ราย ที่ไม่ได้รับยาอย่างอื่นเลยนอกจากฟ้าทะลายโจร มีดังนี้

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 1 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจรตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 90 Copies พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 760 Copies (เพิ่มขึ้น 744.44%) แต่พอรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ “0” Copies คือไม่พบเลย

เราจะสามารถเรียกได้ว่าฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 1 หายได้ภายใน 5 วันได้หรือไม่

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 2 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 725 Copies พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 2,072 Copies (เพิ่มขึ้น 185.79%) แต่พอรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ “0” Copies คือไม่พบเลย เราจะสามารถเรียกได้ว่าฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 2 เพียงอย่างเดียวว่าหายได้ภายใน 5 วันได้หรือไม่

ความน่าสนใจต่อไปนี้คือผู้ป่วยรายที่ 3 ซึ่งถือว่า “ป่วยหนัก” กล่าวคือ ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 3 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 9,857,464,593 Copies (ประมาณ 9,857 ล้าน Copies) พอรับประทานถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 344,507,736 Copies (ลดลงเหลือ 344 ล้าน Copies คิดเป็นจำนวนเชื้อลดลงถึง 96.50% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อเหลือ 31,754,737 Copies (ประมาณ 31 ล้าน Copies คิดเป็นจำนวนเชื้อลดลงถึง 99.68% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 4 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ 296,466 Copies พอรับประทานฟ้าทะลายโจร จนถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 308 Copies (เชื้อลดลง 99.8% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วันตรวจเชื้อได้ 13,935 Copies (เชื้อลดลง 95.29% เมื่อเทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ผู้ป่วยโควิด-19 รายที่ 5 ก่อนให้ยาฟ้าทะลายโจร ตรวจเชื้อโควิด-19 ได้ 15,731 Copies เมื่อรับประทานฟ้าทะลายโจร จนถึงวันที่ 3 ตรวจเชื้อได้ 1,924 Copies (เชื้อลดลงไป 87.77% เทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร) และเมื่อรับประทานครบ 5 วัน ตรวจเชื้อได้ 31 Copies (เชื้อลดลง 99.80% เมื่อเทียบกับก่อนได้รับฟ้าทะลายโจร)

ในการทดสอบเบื้องต้นทั้ง 5 รายนี้ ปรากฏว่าอาสาสมัคร 1 รายมีค่าการทำงานของตับ Alanine Aminotransferase (ALT) เพิ่มสูงเป็น 1.7 เท่าของค่าปกติ ในวันที่ 5 ของการรับประทานยา ขณะที่อาสาสมัครอีก 1 ราย ที่มีแนวโน้มของค่าการทำงานของตับ คือ Aspartate aminotransferase และ Alanine Aminotransferase (ALT) สูงขึ้น แต่ไม่เกินค่าปกติ ส่วนที่เหลือไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ในอาสาสมัคร

ผลการทดสอบเบื้องต้นจึงสรุปได้ว่า

“การรับประทานสารสกัดฟ้าทะลายโจรซึ่งมี สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) 180 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าประมาณฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบ 48 เม็ดแคปซูล) อาจมีผลช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการแสดงของโรคโควิด-19 ได้แก่ ความรุนแรงของอาการไอ ความถี่ของการไอ ความรุนแรงของอาการเจ็บคอ ปริมาณเสมหะ และความรุนแรงของความปวดศีรษะ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) ส่วนปริมาณน้ำมูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในวันที่ 5 ทั้งนี้พบว่า ในการรักษามาตรฐาน อาสาสมัครทุกรายไม่ได้รับยาแผนปัจจุบันอื่นร่วมด้วย

ความหมายของอาการที่ลดลงจนเกือบหายหรือหายนั้น คือ กรณีศึกษาที่ ‘หายป่วย’ หรือ ‘เกือบหายป่วย’ ได้ในภายใน 5 วันเท่านั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีหรือไม่?

อย่างไรก็ตามการรับประทาน “สารสกัด”ฟ้าทะลายโจรขนาดสูงอาจมีผลต่อค่าการทำงานของตับ ควรเฝ้าระวังค่าการทำงานในการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง

สำหรับข้อแนะนำเพิ่มเติมของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกคือ

1.) สำหรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ สามารถพิจารณาให้ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรขนาดที่มีปริมาณ สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) 60 มิลลิกรัมต่อวัน (ฟ้าทะลายโจร 16 เม็ดต่อวัน) แบ่งให้สามเวลาก่อนอาหาร เป็นเวลา 5 วัน

2.) สำหรับการใช้เพื่อการป้องกัน ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอในการให้ฟ้าทะลายโจรเพื่อการป้องกัน แนะนำให้ใช้หลักธรรมานามัย ในการดูแลตนเองแบบองค์รวม

มิได้แปลว่าลำพังเพียงแค่วิจัยเบื้องต้น 5 คนนี้จะเพียงพอ เพราะยังต้องวิจัยทางคลินิกแบบเปรียบเทียบกับยาหลอกต่อไปด้วยจำนวนผู้ป่วยมากกว่านี้

อย่างไรก็ตามแม้ผู้วิจัย หรือกรมการแพทย์แผนไทยจะไม่สามารถเปิดเผยชื่อและการติดต่อของผู้ป่วยที่เข้าวิจัยเพื่อให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ได้ แต่อย่างน้อย.…

“กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ก็ควรเป็นเจ้าภาพประสานถามความสมัครใจกับผู้ป่วยเหล่านี้เพื่อแสดงความจริงใจว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ถูกกดดัน หรือครอบงำจากคู่แข่งของฟ้าทะลายโจรจากกลุ่มทุนบริษัทยาอื่นๆ”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ใครรู้ว่าหลังจากนี้ “ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบ”เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากยาแผนปัจจุบันอื่นๆ จะได้มีโอกาสทดลองทางคลินิกได้จริงเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยปราศจากอุปสรรคจากกลุ่มทุนบริษัทยา หรือแพทย์ที่มีผลประโยชน์กับบริษัทยาอีกหรือไม่ เพราะเรื่องดังกล่าวนี้กำลังจะกระทบต่อกลุ่มทุนบริษัทยายักษ์ใหญ่อย่างหนัก

แต่สำหรับผู้เขียนจะไม่รอให้ถึงจุดนั้น เพราะจะขอเชิญชวนให้ผู้ป่วยที่ตรวจพบโควิด-19 ที่ได้เป็นอาสาสมัครมาใช้ฟ้าทะลายโจรสกัดหยาบทั้ง 5 ท่าน หากเห็นแก่ประโยชน์ของชาติในการที่หายป่วยโดยปราศจากการใช้ยาอื่นๆ แล้ว ขอให้ท่านที่สมัครใจในการเปิดตัวเพื่อสัมภาษณ์ส่งข้อความมาใน inbox ของแฟนเพจนี้ แจ้งชื่อ หลักฐาน และเบอร์ติดต่อกลับ จักเป็นพระคุณยิ่ง


ที่มา:

https://www.facebook.com/123613731031938/posts/3795068330553108/

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000007293

‘กรณ์’ รณรงค์หนุน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เสนอรัฐบาลหยิบมาพิจารณา ไม่ต้องรอประชาชนเข้าชื่อ พร้อมเสนอคืนภาษีให้ SME เยียวยาคนตัวเล็ก งดเก็บภาษีคนมีเงินเดือนไม่เกิน 40,000 บาท ชี้รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วยนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค , นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรค ลงพื้นที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แจกหน้ากากอนามัยพร้อมแผ่นพับสนับสนุนการผลักดันร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่เครือข่ายอากาศสะอาดเสนอ โดยนายกรณ์กล่าวว่า พรรคกล้าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คนไทยเดือดร้อนกันทั่วประเทศไม่เว้นคนกรุงเทพมหานคร และมองว่าถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องมีกฎหมาย

เพื่อยืนยันสิทธิ์ประชาชนคนไทยทุกคนที่จะได้รับอากาศบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับหลายประเทศที่มีกฎหมายลักษณะนี้ แต่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายรองรับสิ่งที่เกิดขึ้น การทำงานของหน่วยงานราชการต่างๆ ไม่สอดคล้องกัน ไม่มี Data ไม่มีข้อมูลที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงาน จึงทำให้ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข ที่ผ่านมาหลายปีมีการประกาศเป็นวาระแห่งชาติหลายปีซ้ำซ้อนกัน แต่ก็ไม่มีผล

“พวกเราพรรคกล้า เราได้ลงนามสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ของภาคประชาชน แต่พบว่ายังไม่มีผู้สนับสนุนในจำนวนที่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา รัฐบาลควรหยิบยกร่างกฎหมายของภาคประชาชนที่ร่างไว้เกือบสมบูรณ์แล้ว นำไปเป็นร่างกฎหมายของรัฐบาลและเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ หากทำเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดจะดำเนินการได้โดยเร็ว เพื่อจะยืนยันว่าประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่จะมีกฎหมายยืนยันสิทธิ์ของประชาชนที่จะมีอากาศบริสุทธิ์” นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า ยังกล่าวถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด – 19 และแนวทางการเยียวยาของรัฐบาล ว่า ประชาชนต้องการทราบความชัดเจนเกี่ยวกับการรับสิทธิ์ฉีดวัคซีน ซึ่งเบื้องต้นรัฐบาลก็มีการเตรียมการไว้ดีพอสมควร และวางเป้าหมายฉีดวัคซีนครอบคลุมคนไทยอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของประเทศ แต่สิ่งที่ทุกคนรอคอยและเดือนร้อนมากคือเรื่องปาก ซึ่งมาตรการเยียวยาของรัฐบาลที่ออกมาจ่าย 3,500 บาท 2 เดือน ใช้เงินประมาณ 200,000 ล้านบาท เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแต่ไม่เพียงพอ เพราะวงเงินที่รัฐบาลซึ่งพรรคกล้าพูดตั้งแต่ต้นปี ว่ารัฐบาลมีเงินไว้แก้ปัญหานี้โดยเฉพาะอย่างน้อยถึง 600,000 ล้านบาท

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคกล้าจึงนำเสนอ 2 วิธีการ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่ถูกมองข้ามไปคือ 1.คืนภาษีให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก SME โดยวัดจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายปีนี้ เทียบกับปีก่อนเผชิญโควิด และกำหนดเกณฑ์ให้รัฐชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปโดยตรง 2.ยกเว้นภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ช่วยกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยแต่ยังเสียภาษีอยู่ คือมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 40,000 บาท มีอัตราภาษีเงินได้ส่วนบุคคลอยู่ที่ร้อยละ 10 หรือน้อยกว่า เพื่อให้มีเงินไปดูแลชีวิตครอบครัวได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้ประมาณ 3 ล้านคน เป็นวงเงินประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมีเงินเหลือเฟือเพียงพอที่จะช่วยเยียวยาคนกลุ่มนี้

“รัฐบาลต้องเร่งใช้งบประมาณส่วนที่เหลือนี้ ช่วยเหลือประชาชนในช่วงก่อนจะเข้าถึงการฉีดวัคซีน เขาต้องอยู่รอด ไม่เช่นนั้น เมื่อคนไทยทุกคนได้รับวัคซีน กลับไปสู่วิถีชีวิตที่มีความเป็นปกติมากขึ้น แต่ว่าธุรกิจตายหมดแล้ว ประชาชนทั่วไปหนี้ท่วมหัว ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เศรษฐกิจมันก็ไม่ฟื้น เพราะฉะนั้นช่วงนี้ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการขนาดเล็ก ให้เขาอยู่ได้ จนกระทั่งคนไทยได้รับวัคซีนแล้วกลับไปใช้ชีวิต” นายกรณ์ กล่าว

ชวนคุยทุก ‘บทบาท’ จากหน่วยกล้าตาย - มือตอบโต้ทุก ‘แรงค้าน’ โดย 'แรมโบ้ - สุภรณ์' | Contributor EP.5

เมื่อฝ่ายค้านไทย ‘ไม่พัฒนา’ แรมโบ้ เลยต้องขอมา ‘บอมบ์’ ให้กระจาย!! ชวนคุยทุก ‘บทบาท’ จากหน่วยกล้าตาย - มือตอบโต้ทุก ‘แรงค้าน’ ที่พร้อมสะเทือนบัลลังก์ ‘ตู่’

.

 

‘อรรถวิชช์’ สวน ‘ผู้ว่าฯ กทม.’ ชี้ ค่าตั๋ว BTS สุดสาย 104 บาท ไม่เหมาะ ย้ำต้องสอดคล้องค่าครองชีพเท่านั้น ระบุต้องเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง อย่ารีบขยายสัมปทานถึง พ.ศ. 2602

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครยืนยันค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวสุดสาย 104 บาทว่า พรรคกล้ายืนยันว่าค่าโดยสาร 104 บาท ไม่ใช่ตัวเลขที่เหมาะสม เพราะโจทย์หลักจะต้องทำให้ค่าโดยสารเหมาะสมกับค่าครองชีพเท่านั้น การที่รัฐสนับสนุนเอกชนให้สามารถเดินรถได้และมีส่วนต่อขยาย ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กรณีโครงสร้างสัญญาของบีทีเอสมีความผิดปกติ ขออย่าเพิ่งขยายสัมปทานไปถึงปี 2602

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า เรื่องนี้อย่าเอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน แต่ควรเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง กำหนดราคาที่ไม่แพง ส่วนต่างให้รัฐสนับสนุนได้ เรื่องมีว่ารัฐให้สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายแรกในส่วนที่เป็นไข่แดง เป็นสัมปทานโดยตรงให้เอกชน แต่ส่วนต่อขยายใช้เงินหลวงเงินประชาชนสร้างราง แล้วจ้างเอกชนเดินรถ เท่ากับว่าเอกชนมีแต่กำไร เพราะขนคนเข้าไปใช้บริการในส่วนที่ได้สัมปทาน และยังมีรายได้จากที่รัฐจ้างเดินรถในส่วนต่อขยาย ถือเป็นกำไร 2 เด้ง ซึ่งวิธีคิดนี้ไม่ควรอยู่ไปถึงปี 2602 แต่ควรจบสัมปทานไปก่อนแล้วทบทวนรูปแบบใหม่ รัฐสามารถช่วยได้จนกว่าถึงจุดคุ้มทุนให้เอกชนอยู่รอดได้ แต่ข้อตกลงปัจจุบันเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ซึ่งดีในช่วงต้นเท่านั้น แต่ไม่ดีสำหรับ 30 ปี ข้างหน้า

“กรุงเทพมหานคร ห้ามแกล้งโง่ในประเด็นนี้ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง อย่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน ฝากด้วยครับ ค่าโดยสารบีทีเอสจะต้องเหมาะสมกับค่าครองชีพเท่านั้น 104 บาท ราคาที่ท่านผู้ว่าอัศวินพูด ไม่เหมาะสมครับ” นายอรรถวิชช์ กล่าว

ซูเปอร์โพล ชี้ ประชาชน 97% เห็นด้วย ‘พุทธิพงษ์’ แจ้งความเอาผิด ‘ธนาธร’ ม.112 ระบุเพื่อปกป้องรักษาเสาหลักของชาติ พร้อมยับยั้งขบวนการสร้างข้อมูลเท็จหวังทำลายสถาบัน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง กระทรวงดีอีเอส กับ ม.112 กรณี ศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,807 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 21 – 24 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงความเห็นต่อ กรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แจ้งความดำเนินคดี นายธนาธรฯ และคนอื่นๆ ในขบวนการ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.4 เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 2.6 ไม่เห็นด้วย

นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงการบังคับใช้กฎหมายตาม ม.112 เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องใช้สิทธิตามกฎหมายบ้านเมืองเพื่อความสงบสุขของประเทศและประชาชน ไม่ใช่เรื่องการเมือง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.0 เห็นด้วยว่า เป็นเรื่องสิทธิของแต่ละคนตามกฎหมายบ้านเมืองเพื่อความสงบสุขของประเทศและประชาชนมากกว่า ไม่ใช่เรื่องการเมือง ในขณะที่เพียงร้อยละ 7.0 ไม่เห็นด้วย

ที่น่าสนใจคือ หลังจากที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตาม ม.112 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.7 พอใจ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในขณะที่ร้อยละ 2.3 ไม่พอใจ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.4 สนับสนุนนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดการกวาดให้เรียบ ขบวนการจาบจ้วง ล่วงละเมิดคุกคามในหลวงและทุกพระองค์ในสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่เพียงร้อยละ 1.6 ไม่สนับสนุน

ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.0 ระบุเป็นไปได้ค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุดที่คนในชาติจะแตกแยกมากขึ้น ถ้าปล่อยให้มีการล่วงละเมิด จาบจ้วง คุกคามในหลวงและทุกพระองค์ ในสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่ ร้อยละ 14.3 ระบุเป็นไปได้ปานกลาง และร้อยละ 10.7 ระบุเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยถึงเป็นไปไม่ได้เลย

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า “กระทรวงดีอีเอส กับ ม.112” ในผลโพลครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงฯ กำลังทำตามความคาดหวังและการสนับสนุนของประชาชนในการออกมาปกป้องรักษาเสาหลักของชาติ เพื่อยับยั้งขบวนการที่ใช้ข้อมูลเท็จหวังทำลายสถาบันหลักของชาติหรือทำให้สั่นคลอนและสร้างความแตกแยกของคนในชาติ

‘เพื่อไทย’ อัดกลับ ‘แรมโบ้’ ชี้ ‘บิ๊กตู่’ คนเดียวก่อหนี้มากกว่า 28 นายกฯในอดีต ซัดเลิกโทษรัฐบาลอื่น กลบเกลื่อนผลงานไร้ประสิทธิภาพตลอด 7 ปีที่ผ่านมา  

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาพาดพิง รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สร้างหนี้ให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาตามใช้ว่า ความจริงประเด็นที่ถกแถลงกัน คือ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ 7 ปีไร้ประสิทธิภาพ สู้โจ ไบเดนที่ทำงาน 1 วันไม่ได้นั้นจริงหรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่แต่ละฝ่ายจะให้ความเห็นที่แตกต่างกันกับประชาชนได้ แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่เครือข่ายระบอบประยุทธ์ จ้องแต่จะโยนความไร้ประสิทธิภาพทั้งหมดใน 7 ปีของระบอบประยุทธ์ ว่า เป็นเพราะ 2 อดีตนายกฯ อยู่ร่ำไป พล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะใช้งบประมาณแผ่นดินครบ 20,824,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 นับจากวันที่ยึดอำนาจและเข้าบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2557 และได้จัดทำงบประมาณแผ่นดินมา 7 ปี แต่น่าแปลกใจที่เงินจำนวนมหาศาลนั้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้น้อยมาก เพียง 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวก่อหนี้มากกว่า 28 นายกฯ และอาจต้องใช้เวลายาวนานถึง 70 ปี จึงชำระหนี้ที่รัฐบาลประยุทธ์ก่อไว้ในช่วง 7 ปีคืนได้หมด เวลา 7 ปีนานเกินกว่าที่พล.อ.ประยุทธ์ จะหันหลังกลับไปโทษรัฐบาลใดได้ เครือข่ายระบอบประยุทธ์จะอธิบายว่าไม่ไร้ประสิทธิภาพอย่างไร ก็สื่อสารกับประชาชนไป แต่การโยนความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพทุกเรื่องว่าเป็นเพราะรัฐบาลเก่า ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการบริหารราชการแผ่นดินมา 7 ปี ฟังไม่ได้ ถือเป็นการอธิบายเกินจากกรอบของเรื่องไปมาก

“นายสุภรณ์มักใช้วิธีด่านายเก่า เพื่อเอาใจนายใหม่ ให้ตัวเองได้ดิบได้ดี มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่ขอให้รับรู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่คนไทยรับไม่ได้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ใช้ผ้าขี้ริ้วสกปรกมาถูพื้น จะหวังให้พื้นสะอาดได้อย่างไร อย่าขจัดคราบสกปรก ด้วยสิ่งปฏิกูล มีข้อเท็จจริงอะไรก็สื่อสารกับประชาชนไป แต่การใช้คนต้นทุนติดลบมาอยู่ใกล้ตัว คอยแก้ต่างให้ มีแต่จะทำให้ตัวพล.อ.ประยุทธ์มอมแมมไปด้วย" นายอนุสรณ์ กล่าว

 

‘ธนกร’ มั่นใจ ‘บิ๊กตู่’ รับมืออภิปรายไม่ไว้วางใจได้สบาย ติงฝ่ายค้าน อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะประชาชนกำลังเดือดร้อนจากโควิด-19 เชื่อชาวบ้านสนใจให้รัฐช่วยแก้ปัญหาปากท้องมากกว่า พร้อมดักคออย่าฉายหนังม้วนเก่า

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการยื่นอภิปรายไม่วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น รัฐบาลไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพราะที่ผ่านมามั่นใจว่ารัฐบาลบริหารงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความตั้งใจที่จะทำงานให้กับประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย เป็นรูปธรรมชัดเจนประชาชนจับต้องได้

การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นอภิปรายในครั้งนี้ส่วนตัวมองว่าอาจจะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก เนื่องจากขณะนี้ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤตโควิด ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในหลายๆ ด้าน รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่เพื่อให้ประเทศผ่านวิกฤติในครั้งนี้

นายธนกร กล่าวอีกว่า การใช้เวทีสภาฯ ตรวจสอบรัฐบาลเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่จะเป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ประชาชนก็เฝ้ามองอยู่ เพราะเท่าที่ตนทราบการอภิปรายในครั้งนี้ไม่ได้มีข้อมูลใหม่อะไร เท่าที่โหมโรงมาก็เป็นเรื่องเก่า เกรงว่าประชาชนจะเบื่อหน่าย ยิ่งถ้าเอาเรื่องความล้มเหลวของการบริหารโควิด-19มาอภิปรายก็คงไม่ใช่ เพราะรัฐบาลบริหารจัดการได้ดีจนทั่วโลกชื่นชม

ส่วนการระบาดระลอกใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ก็บริหารจัดการจนสถานการณ์ผ่อนคลายลงเรื่อย ๆ และประชาชนชื่นชมที่ไม่ได้ล็อกดาวน์ อย่างน้อยก็สามารถผ่อนคลายความเดือดร้อนไปได้บ้าง เศรษฐกิจก็ไม่ได้แย่มาก อย่างไรก็ตาม เห็นพรรคร่วมฝ่ายค้านจุดพลุว่าดุเดือดเลือดพล่าน แต่คงเหมือนฉายหนังเก่า ประชาชนเดาได้ว่าตอนจบไม่มีอะไรใหม่ ระวังพระเอกตายตอนจบ

ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่าพล.อ.ประยุทธ์สามารถชี้แจงได้ทุกเรื่องเพราะรัฐบาลไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาล จึงไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ไม่อยากให้ฝ่ายค้านใช้วาทกรรมหรือข้อมูลเท็จโจมตีรัฐบาล เพราะประชาชนไม่ได้ประโยชน์ อยากให้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์

‘บิ๊กตู่’ ขอบคุณและเป็นกำลังให้ บุคลากรการแพทย์-ทุกภาคส่วน ที่เสียสละ ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ร่วมยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณและเป็นกำลังให้คณะแพทย์ เจ้าหน้าที่ บุคลากรสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ตลอดจนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2563 ซึ่งหลายภาคส่วนได้เสียสละทำงานอย่างไม่มีวันหยุด เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขอเป็นกำลังใจทุกภาคส่วนได้ทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะควบสถานการณ์ได้ทั้งหมดและการติดเชื้ออยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งปัจจุบันสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วในหลายจังหวัด ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักของทุกองคาพยพ และความร่วมมือของประชาชน โดยนายกรัฐมนตรี ยังฝากให้ทุกคนทำงานด้วยความระวัดระวัง อย่าประมาท เน้นความปลอดภัยทั้งตนเองและส่วนรวม รัฐบาลพร้อมสนับสนุนปัจจัยด้านต่างๆอย่างเต็มที่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลยังต้องขอความร่วมมือประชาชน ช่วยกันลดความเสี่ยงการติดโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็น การงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น งดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง งดการรวมกลุ่ม สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ฯลฯ และขอบคุณประชาชนที่ให้ความมือเป็นอย่างดีเสมอมา โดยหลังจากนี้ จะมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆตามลำดับ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก

 

 

‘แรมโบ้’ ซัดกลับ ‘โฆษกเพื่อไทย’ กรณีวิจารณ์ ‘บิ๊กตู่’ บริหารประเทศ 7 ปี สู้ ประธานาธิบดีไบเดน ทำวันเดียวไม่ได้ ชี้วิจารณ์ไม่ดูวีรกรรม ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ โคตรโกง สร้างความเสียหายให้ประเทศมูลค่าหลายล้านล้านบาท

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ดร.อรุณี กายานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย วิจารณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรี 7ปี สู้ โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ทำวันเดียวไม่ได้ ว่า อยากให้พรรคเพื่อไทย ย้อนกลับไปว่า นับตั้งแต่ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำอะไรบ้าง

"อย่าว่าแต่แค่คำสั่งที่มิชอบที่ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ เคยทำเอาไว้เลย พล.อ.ประยุทธ์ มาล้างโครงการโคตรโกงที่รัฐบาล 2 พี่น้องเคยทำเอาไว้มากมาย และยังมีผลงานโปรเจคในรัฐบาลนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากมาย  แต่ไม่เคยมีข่าวทุจริตเรื่องการเรียกเก็บสินบนใต้โต๊ะเหมือนในสมัยรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย เหมือนในอดีตยุคของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่ปล่อยให้ เจ้ ด.เข้ามาสั่งการทุกเรื่อง"

“พล.อ.ประยุทธ์ต้องใช้ความสามารถหาเงินใช้หนี้แทนหลายโครงการ อาทิ โครงการจำนำข้าว ที่ต้องหาเงินมาช่วยชาวนาหลังจากเจ๊ ด. หอบเงินแสนล้านหนีไปสมทบพี่ชาย น้องสาวในต่างประเทศ ไปเสวยสุขกันที่นั่น ปล่อยให้ลิ่วล้อติดคุกติดตะราง กันจนทุกวันนี้ คนไทยไม่มีวันลืมได้ลง และเจ็บปวดหัวใจที่สุด"

นายสุภรณ์ ยังกล่าวอีกว่า "ยังไม่หมดเท่านี้ โครงการโคตรโกงที่ศาลตัดสินแล้ว คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากมายมหาศาล โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังจะมีหน้ามาพูดอีกว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 7 ปีไม่มีผลงาน และไม่ได้ทำอะไร หัดใช้สมองไตร่ตรองดูหน่อย ถ้าทำดีไม่โกง จะหนีหัวซุกหัวซุนไปทำไม แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ ใครทำไม่ดีพระสยามเทวาธิราชจะลงโทษ จะไม่มีแผ่นดินอยู่ จะถูกคนไทยตราหน้าว่าทรราชย์ หากพรรคเพื่อไทยยังสนับสนุนทรราชย์ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นสมุนของทรราชย์ เช่นเดียวกัน"

“ถ้าคิดจะเอาการแก้ปัญหาโควิด-19 มาโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ ขอบอกเลยว่าคิดผิด เพราะทั้งโลกเขายกย่อง องค์การอนามัยโลก ก็ยกย่องประเทศไทย ในการเอาชนะโควิด ฉะนั้นพรรคเพื่อไทย กรุณาตรวจสอบข่าวด้วยอย่าพูดพล่อยๆ พูดมั่วๆ “

 "โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังอ่อนหัดพรรษาทางการเมือง จะพูดจาอะไรระวังเข้าตัว พรรคจะเสียหาย เอาสมองส่วนไหนมามาคิด หน้าก็ดูสวยดี แต่สมองกลับบูดเบี้ยวตรงกันข้ามกับใบหน้ามาก เอาอะไรมาพูด ประธานาธิบดีโจไบเดนเพิ่งเข้ามา 1 วันจะมีผลงานมากกว่าได้อย่างไร เป็นคำพูดเปรียบเปรยที่ทุเรศไร้สาระมาก ๆ ความคิดต่ำกว่าเด็กอนุบาลเสียอีก"

"พล.อ.ประยุทธ์ทำงานมา7ปี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย เรื่องการโกง หรือทุจริตคอร์รัปชัน เหมือนกับคู่อดีตนายกฯสองพี่น้องของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้นำเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ จากเงินภาษีของพี่น้องประชาชนคนไทย จนร่ำรวย สุดท้ายหอบเงินหนีไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ต่างประเทศ เห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนไทยที่สุด อย่างนี้เรียกว่า มีผลงานขี้โกงใช่ไหม ทำไมโฆษกสมองเด็กอนุบาลเช่นน.ส.อรุณี ไม่นำมาเปิดเผยให้ประชาชนทราบบ้าง" นายสุภรณ์ กล่าว

 

'อนุทิน' เมินเปิดเผยสัญญาแอสตร้าเซนเนกา กับ สยามไบโอไซเอนซ์ เพราะเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชน นอกเหนืออำนาจรัฐ อัด ข้อมูล 'ธนาธร' บิดเบือน ไร้ความจริง พร้อมยืนยันไม่หวั่นถูกซักฟอกปมโควิด เชื่อเป็นโอกาสดีได้ชี้แจง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงข้อกล่าวหาการจัดซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 โดยยืนยัน การดำเนินการไม่ได้ล่าช้ากว่าประเทศอื่น แต่ต้องยึดหลักความปลอดภัย และคุณภาพของวัคซีน ซึ่งการจัดซื้อมีขั้นตอน ไม่ใช่สั่งซื้อแล้วจะได้ของทันที อีกทั้งการจัดซื้อวัคซีนยังติดเงื่อนไขของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดซื้อจัดจ้าง ที่การจ่ายเงินซื้อจะต้องมีสินค้าอยู่จริงซึ่งแตกต่างกับบางประเทศที่ยอมเสี่ยงจ่ายเงินไปก่อน โดยยังไม่ทราบว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะหากเกิดความเสียหายเงินที่จ่ายไปก็จะสูญเปล่า

ส่วนกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เรียกร้องให้เปิดสัญญาการจัดซื้อวัคซีน ที่ทำกับบริษัท แอสตร้าเซนเนกา จำกัด กับ สยามไบโอไซเอนซ์ นั้น เห็นว่า ไม่สามารถทำได้เนื่องจากคู่สัญญาเป็นเอกชนทั้งคู่ และอยู่เหนือการควบคุมของรัฐ ยืนยันไม่ใช่วัคซีนผูกขาด เพราะมีการเจรจาซื้อหลายบริษัท ซึ่งเรื่องวัคซีนคนที่รู้ดีที่สุดคือหมอและ คณะกรรมการวิชาการที่ตั้งขึ้นมาศึกษาการใช้วัคซีนโดยเฉพาะ รัฐมนตรีมีหน้าที่เห็นชอบตามที่คณะกรรมการวิชาการเสนอเรื่องมา ซึ่งข้อมูลที่นายธนาธรนำมาเปิดเผยปราศจากข้อเท็จจริง

นายอนุทิน ยังเปิดเผยถึงกรณีที่ไม่มีบริษัทผลิตวัคซีนอื่นมาขอจดทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (อย.) ไทย ว่า เราไม่ได้ปิดกั้นแต่ การจดทะเบียนช่วงนี้การใช้ตามสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ อียูเอ ไม่ใช่การจดทะเบียนเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ พร้อมย้ำถึงนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น

พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ยังได้กล่าวถึงกระแสข่าวมีชื่อถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ยืนยันไม่รู้สึกกังวลใจ เพราะเป็นเรื่องปกติที่สถานการณ์โควิด - 19 จะต้องมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าไปอยู่ในโผรายชื่อที่จะถูกอภิปราย แต่เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้มีโอกาสชี้แจง และบางประเด็นอาจช่วยเสริมคำชี้แจงของรัฐบาลได้ด้วย

ส่วนแนวทางการโหวตของพรรคภูมิใจไทย หากฝ่ายค้านหยิบยกประเด็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวขึ้นมาอภิปราย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งแนวทางของพรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับการต่อสัญญาสัมปทาน30 ปี ซึ่งตรงกันกับฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า โครงการนี้ ยังไม่ได้ถูกผลักดันเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงยังไม่มีการดำเนินการใดๆเกิดขึ้น จึงมองว่าไม่ใช่ประเด็นที่จะนำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

 

‘ศรีสุวรรณ’ เตรียมบุกทำเนียบรัฐบาล ทวงถาม ‘บิ๊กป้อม’ ส่ง ส.ส.-หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ไปตีกินโครงการเจาะบ่อบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์หรือไม่ หลังพบเรียกรับค่าคอมมิสชัน 30% ของมูลค่าโครงการไปแล้ว แต่กลับไม่ได้งานแต่อย่างใด

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯได้รับการร้องเรียนจากผู้รับเหมาหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน ว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่ง ส่งทีมงานไปเจรจาชักชวนให้ร่วมรับงานเหมาขุดเจาะบ่อบาดาลในโครงการประปาบาดาลด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตรในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ และโครงการสนับสนุนสร้างบ่อบาดาลประปาโซล่าเชลล์พลังงานแสงอาทิตย์ ในราคาบ่อละ 500,000 บาท โดยอ้างว่าสามารถดึงโครงการดังกล่าวมาให้ทำได้ เพราะใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการดังกล่าว

ด้วยความเชื่อถือในชื่อเสียงของพล.อ.ประวิตร ผู้รับเหมาต่างๆ จึงได้ร่วมพูดคุยตกลงรับข้อเสนอของทีมงานของ ส.ส.หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลคนดังกล่าวที่ที่ทำการพรรคฯ จ.อำนาจเจริญว่าจะนำงานดังกล่าวมาให้ดำเนินการอย่างน้อย 70 บ่อ แต่มีข้อตกลงว่า เมื่อทำสัญญาว่าจ้างแล้วจะต้องจ่ายค่าคอมมิสชันเป็นเงินสดให้ 30% ของมูลค่างานในโครงการฯ โดยมีการเรียกรับเงินล่วงหน้าไปก่อนจำนวน 450,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2563 และมีการขอให้โอนเพิ่มเติมอีก 3 งวดรวม 50,000 บาท ซึ่งการโอนเงินดังกล่าวจะเข้าบัญชีธนาคารของทีมงาน ส.ส.หัวหน้าพรรคดังกล่าวโดยตรง

หลังจากนั้น ผู้รับเหมาได้พยายามติดตาม สอบถามถึงงานที่จะต้องดำเนินการ ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด โดยอ้างว่าต้องรอให้หัวหน้าพรรคฯประสานกับพล.อ.ประวิตรในรายละเอียดกันเสียก่อน ส่วนเงินที่รับมาและที่โอนมาให้ได้ส่งต่อไปยังหัวหน้าพรรคฯทั้งหมดเพื่อนำไปเคลียร์กับผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว กระทั้งบัดนี้การดำเนินงานดังกล่าวก็ยังไม่มีคำตอบแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าถูกนักการเมือง และคนของนักการเมืองหลอกลวง ต้มตุ๋นเสียแล้ว จึงนำความมาร้องเรียนต่อสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เพื่อประสานงานเรียกร้องขอความเป็นธรรม และดำเนินการทางกฎหมายให้

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจะนำความดังกล่าว ไปสอบถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีว่าได้มอบหมายให้หัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลรายดังกล่าวไปวิ่งเต้นเจรจาชักชวนให้ผู้รับเหมาในแต่ละจังหวัดมารับงานโครงการดังกล่าวแบบลับ ๆ หรือไม่ หากใช่ มีการเปิดประมูลกันตามกฎหมายหรือไม่ หากไม่ใช่จะได้ดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายต่อหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลดังกล่าว พร้อมทีมงานทุกคนอย่างไร โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องสอบถามในวันจันทร์ที่ 25 ม.ค.64 เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ ทำเนียบรัฐบาล

แม้เสียงจะแผ่วเบาลง แต่อุดมการณ์ยังคงเดิม การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยกสุดท้ายในชีวิต จาก 'ม็อบรุ่นพี่' ผู้ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน และเมื่อถึงวันเผด็จศึก ต้องไม่มีคำว่า...ถอย!!

นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ ‘ตู่ ศรัทธาธรรม’ เปิดใจกับ The States Times ถึงบทบาทการเมืองในช่วงหลังที่อาจจะดูเงียบไป แต่ทิศทางบนเส้นทางการเมืองไทยของเขายังคงตื่นอยู่ตลอดว่า...

“ที่หายๆ ไป โดยเฉพาะกับช่วงที่มีการชุมนุมของม็อบคณะราษฎร์ ไม่ได้แสดงว่ายุติบทบาทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมยังเหมือนเดิม เพียงแต่ถ้าให้เปรียบเหมือนกับนักร้อง ก็คือนักร้องที่ยังร้องเนื้อเดิมได้ แค่คีย์เสียงมันเบาลง คมน้อยลงตามวัยและยุคสมัย ฉะนั้นช่วงเวลานี้ คือ การให้เกียรติกับน้องๆ ที่ปลุกปั้นยุคแห่งการต่อสู้ด้วยตัวของพวกเขาเอง”

อย่างไรก็ตาม จตุพร ก็ยังไม่หยุดการต่อสู้เพื่อ ‘ประชาธิปไตย’ เพียงแต่หากจะต้องออกมาอีกครั้ง ก็ต้องออกมาแบบ ‘ครั้งเดียว’ แล้วต้องเป็นครั้งเดียวที่มีคุณค่า สมกับเป็นการสู้ที่ตั้งใจว่าจะเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’

“ตั้งแต่วัยเด็ก จนหนุ่ม และบัดนี้ ผมงัดกับรัฐบาลหลายยุค มองเห็นและเข้าใจเกมการเมืองแบบเด่นชัด ชีวิตเจอถูกถอนประกันง่าย แล้วก็ถูกจับไปขังง่ายพอๆ กัน ผมจึงอยากใช้ครั้งเดียวต่อจากนี้ให้คุ้มค่าที่สุด คนบอกผมไม่ขยับ นั่นเพราะผมต้องเลือกเวลาที่ดีที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

“แน่นอนว่าช่วงเวลาที่จะออกมาต่อสู้อีกครั้ง คือ วันที่รัฐบาลตัดสินใจฆ่าประชาชน และใช้มาตรการปราบปรามหนัก วันนั้นก็จะถึงคิวผมที่จะก้าวออกมา เหมือนกับช่วงสมัยพฤษภาทมิฬปี 35 และ ช่วงเมษายนปี 53 ผมจะออกมาสู้ร่วมกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย”

นายจตุพร เล่าต่ออีกว่า วันนั้นอาจจะมาถึงในไม่ช้า เพราะเส้นทางของรัฐบาลในตอนนี้เริ่มตีบตัน และมองว่าอีกไม่นานรัฐบาลจะต้องพังด้วยปัญหาร่วมของประชาชน นั่นก็คือ ‘ปัญหาปากท้อง’

“อย่าลืมว่าเรื่องเดียวกันที่จะกำหนดประชาชนให้ประชาชนทุกคนพร้อมใจกันออกสู้ คือ เรื่องปากท้อง ตอนนี้เราเจอโรคระบาดโหยหิวในชีวิตมนุษย์ และกำลังระบาดไปสู่ความหิวโหยของมนุษย์

“ความหิวของมนุษย์จะทำให้คนโกรธ และรัฐจะเอาไม่อยู่ ยิ่งรัฐไม่ซึมซับบทเรียนจากรอบแรก ทั้งสนามมวยในรอบแรก และตอนนี้ก็มาจากบ่อนระยอง รวมถึงแรงงานพม่าเล็ดลอดเข้ามา จนระบาดกันทั้งแผ่นดิน มันเหมือนกับคนที่เจ็บแล้วไม่จำ เป็นความบกพร่องของรัฐ ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรง คนกลัวอดตายมากกว่ากลัวโรคภัย แล้วถ้ารัฐยังบริหารประเทศแบบนี้ต่อไป เดี๋ยวก็จะพัง”

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ก็ได้แนะนำรัฐบาลว่า ทุกวันนี้การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นเรื่องของคนยุคใหม่ รัฐบาลควรจะต้องเปิดใจรับฟังเสียงของคนยุคนี้ ที่จะก้าวขึ้นมาแทนคนยุคเก่า

“ผมอยากให้รัฐบาลมองเด็กๆ เป็น ‘อนาคตของชาติ อย่ามองเด็กเป็นศัตรู’ เพราะยุคนี้คือยุคของเขา ผมยอมรับว่าการเลือกวิถีทางของยุคหนึ่งอาจถูก แต่ก้าวข้ามไปอีกยุคหนึ่งอาจไม่ถูก ยุคแต่ละยุคมีพัฒนาการเป็นของใหม่ อย่าง ‘แฟลชม็อบ’ ในยุคนี้ตามมุมมองของผม เป็นความงดงามทางประชาธิปไตย ผมเห็นการเคลื่อนไหวและสนใจของนักศึกษายุคนี้มากกว่าตอน ตุลา 2516 และยุคพฤษภา 35 หรือยุค นปช.53

“ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ใช่แค่นักศึกษา แต่รวมไปถึงเด็กนักเรียนรุ่นลดหลั่นลงไปที่ออกมาร่วมแสดงออกทางการเมือง เหตุเพราะโลกมันแคบลงจากโซเชียลมีเดียที่ช่วยให้ทุกคนหาข้อมูลได้ ผู้คนได้ฟังปราศรัยพร้อมๆ กัน ไม่ต้องรอฟังสื่อกระแสหลักที่มีข้อจำกัดในการรายงานข่าว เทคโนโลยีทำให้ทุกคนเป็นสื่อกันได้หมด การรับรู้จึงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า ทั้งฝ่ายม็อบ และฝ่ายรัฐ

“ดังนั้นการออกมาต่อสู้หรือเรียกร้องของคนรุ่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องฟัง และร่วมพูดคุยกัน เพราะประเทศใดไม่มีคนหนุ่มสาว ขึ้นมาลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศนั้นจะหาอนาคตไม่ได้ รัฐต้องใช้หูมากกว่าใช้อำนาจ ต้องรับฟังมากกว่าการใช้กฎหมาย หากใช้แค่อำนาจ หรือมองพวกเขาเป็นศัตรู บทสรุปจะจบไม่สวย

“บางเรื่องที่คุยกันได้ ก็คุยเรื่องนั้นก่อน เชื่อเหอะว่าคนเรามันไม่ได้คิดต่างกันได้ทุกเรื่องหรอก แต่จงไล่ความสำคัญไปจนเจอเรื่องที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องมุ่งไปในทางเดียวกัน นั่นคือ ผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่คุยเรื่องของตัวเอง แต่อย่าให้ ‘ความแตกต่าง’ หรือความคิดเสนอต่าง กลายเป็นศัตรู อย่างผมเองชอบที่จะเห็นแตกต่าง บางทีก็พูดไม่เข้าหูคนบ้าง แต่เหล่านี้คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย

“ผมอยากให้รัฐบาลมองพวกเขาเป็นลูกเป็นหลาน ลองฟังสิ่งที่ไม่คุ้นเคยบ้าง แต่ทุกวันนี้เหมือนรัฐบาลจะไม่ฟังปัญหาของพวกเขา พอไม่ฟังก็แก้ด้วยอำนาจ เข้าจัดการ ซึ่งหากจัดการได้คนหนึ่งคน สิ่งที่ตามมา คือ อีกคนก็จะลุกขึ้นมาสู้ต่อ แล้วนั่นจะทำให้กลุ่มคนรุ่นพ่อแม่ของพวกเขา ก็อาจจะออกมาอีกที การปราบปรามประชาชนเด็ก คือ การปลุกพ่อแม่ มันจะไม่มีวันจบ”

นายจตุพร ยังทิ้งท้ายอีกว่า “ข้อเรียกร้องบางเรื่องอาจจะไม่จบในรุ่นของผู้เรียกร้อง แต่อาจจะไปจบหรือสำเร็จกับอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นภารกิจของนักต่อสู้ และภารกิจทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นปัญหาของชาติที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ผมเชื่อว่ามันไม่มีวันจบง่ายๆ จะมีแต่ปัญหาใหม่ๆ ขึ้นมาอีก พูดง่ายๆ คือ โลกไม่มีวันจบ ทุกอย่างเป็นวงล้อ การต่อสู้จึงเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับรัฐบาล ไม่มีทางที่จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้จบในรัฐบาลเดียว เพราะไม่งั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลอีกต่อไป จงรับฟังทุกฝ่าย”

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานไทยภักดี และรักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์อธิบายข้อเท็จจริงๆ เกี่ยวกับหลักการจัดหาและใช้งานวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยถึง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าว่า...

"วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายประเทศจัดหาวัคซีนได้มากกว่าจำนวนประชากร โดยบางประเทศได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ขณะที่ประเทศไทยเราแค่ 21.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น"

นี่คือข้อความที่นายธนาธรแถลง เรื่องวัคซีนโควิด และถือว่าบิดเบือนจากความเป็นจริง อาจจะไม่เข้าใจเรื่องทางการแพทย์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่เห็นคนอื่นทำในสิ่งที่ดีกว่าตนเองไม่ได้ ต้องพยายามนำเสนอว่าตนเองนั้น มีอะไรที่เหนือกว่า

ถ้าจำกันได้ ตั้งแต่เริ่มเป็นนักการเมือง เขาให้แสดงความโปร่งใส แต่ตนเองใช้ไบลด์ทรัสต์ เขาจะทำรถไฟความเร็วสูง แต่ตนเองจะทำไฮเปอร์ลูป เขาแจก 5,000 บาท แต่ตนเอง 3,500 บาทถ้วนหน้าโดยไม่พิสูจน์ความจน มาถึงเรื่องวัคซีนโควิด ก็พยายามสื่อสารว่า มีบางประเทศจัดหาได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของประชากร เพื่อมาเกทับประเทศไทย

ตัวเลขตัวเลข 200-300% ที่นายธนาธรเสนอ ก็แสดงให้เห็นว่ารับรู้ไม่จริงและบิดเบือน ด้วยหลักการฉีดวัคซีน ในเชิงวิชาการของโรคระบาด ไม่มีใครฉีด 100% ของประชากร เขาฉีดประมาณ 60-80% ของประชากร เพราะจะ 'เกิดภูมิคุ้มกันหมู่' ตามมา การที่บอกว่าบางประเทศจัดหา 200-300% ของประชากร จึงพูดแบบมั่วๆ

ที่สำคัญคุณควรต้องศึกษาด้วยว่า ขณะนี้วัคซีนโควิด ยังไม่มีการทดลองในเด็ก จึงยังไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ฉีดในเด็ก แม้แต่ไฟเซอร์ เพิ่งจะเริ่มงานวิจัยไม่นาน ที่จะทดลองฉีดในเด็กอายุ 12 ปี และวิจัยในเด็กอายุ 15-16 ปี ในปัจจุบันเขาจึงห้ามฉีดในเด็กอายุ ต่ำกว่า 16 ปี

ที่สำคัญถ้าคุณไม่อคติจนเกินไป ได้พูดกับอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประเทศเรามีประชากรประมาณ 66 ล้านคน ถ้าตัดเด็กอายุ 16 ปีลงมา จะเหลือประมาณ 55 ล้านคน หลักการฉีดวัคซีน และให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คิดที่ 60% เท่ากับว่าเราจะฉีด 33 ล้านคน ขณะนี้เราสั่งวัคซีนแล้ว ของแอสตร้า เซเนก้า 26 ล้านโด๊ส ของซิโนแวค 2 ล้านโด๊ส

ที่สำคัญการฉีดให้คนหลายสิบล้านคน ไม่ใช่ใช้เวลาแค่เดือนสองเดือน แต่ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่านั้นมาก ส่วนเข็มที่สองห่างจากเข็มแรกประมาณเกือบหนึ่งเดือน ดังนั้น ในทางวิชาการ จึงไม่ใช่เลวร้ายอย่างที่นายธนาธรนำเสนอ ให้ประชาชนเข้าใจผิด

ที่สำคัญวัคซีนนั้นเป็นตัวเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย แต่ก็ยังอาจป่วยได้ แต่ไม่รุนแรง เมื่อเทียบสัดส่วนประชากรที่ป่วยกับจำนวนประชากร ในวงการแพทย์ถือว่า การที่ประชาชนไทยระมัดระวังตัวเอง การวางแผนเรื่องการฉีดวัคซีนนี้ จึงยังไม่เป็นปัญหา

ถ้านายธนาธรจะลดความอคติ ชิงชัง หาความรู้ทางวิชาการเพิ่มอีกสักหน่อยจะดีกว่านี้ ไม่ใช่เมื่อเจอความจริง ก็จะหันเหด้วยการจะดูเอกสารสัญญา

ช่วงนี้นายธนาธรน่าจะทำตามผลโพลที่ประชาชนต้องการนั่นคือ ประชาชนร้อยละ 96.6 แนะนำให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาเคลียร์ปมที่ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย เช่น การบุกรุกป่าของมารดาของนายธนาธรฯ ภาษีเรือยอร์ช การปลดพนักงาน แรงงานของบริษัทฯ เงินบริจาคช่วยเหยื่อโควิดที่แจกไม่หมดนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น น่าจะดูดีกว่า

‘แรมโบ้’ ซัด ‘ธนาธร’ เลิกทำตัวเป็นลูกคุณหนู นรกมีจริงไม่ต้องรอชาติหน้า รับผลกรรมในชาตินี้แน่นอน ยืนยันการจัดหาวัคซีนโควิด นายกฯ ย้ำต้องทั่วถึงปลอดภัย ทำถูกต้องตามขั้นตอน ยันแจ้งความเอาผิด ม.112 ทำในนามส่วนตัวไม่เกี่ยวข้อง ’บิ๊กตู่’

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้อวัคซีนโควิด โดยอ้างไม่ได้หวังผลประโยชน์ และระบุว่ารัฐบาลแจ้งความ ม.112 เพื่อปิดปากนั้น ว่า ไม่มั่นใจที่นายธนาธรออกมาพูดนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะสวนทางกับพฤติกรรมที่ผ่านมาซึ่งล้วนแต่ทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองเท่านั้น

และบางอย่างอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม โดยไม่สนใจว่าแท้จริงแล้วประเทศต้องการความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือประชาชน ซึ่งหากนายธนาธร อยากทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริงก็ไม่ควรออกมาสร้างความวุ่นวายสนับสนุนม็อบ ออกมาลงถนนตั้งแต่แรก

นายสุภรณ์ กล่าวว่า ส่วนที่นายธนาธรออกมาวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของไทยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำเสมอว่าคนไทยทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีน และต้องปลอดภัยสูงสุด เพราะนายกฯ และรัฐบาล ได้ให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาชี้แจงแล้ว รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ยืนยันการจัดหาวัคซีนโควิด เป็นไปตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีและยังสามารถไปค้นดูจากมติคณะรัฐมนตรีทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน โปร่งใส 100%

“การที่นายธนาธรระบุว่าการแจ้งความมาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เป็นการทำเพื่อผลทางการเมืองนั้น ขอยืนยันว่าการที่ตนเองและคณะไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายธนาธร ไม่ได้เป็นการสั่งการจากนายกฯที่ให้ไปแจ้งความในนามรัฐบาล นายกฯไม่ได้มอบให้ไปแจ้งความดำเนินคดี แต่พวกตนเองทำไปในนามส่วนตัวและถือว่าเป็นหน้าที่

ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ตนถือเป็นประชาชนคนหนึ่งที่ทนไม่ได้กับพฤติกรรมของนายธนาธร ที่มีการพูดจาบจ้วงสถาบัน พยายามดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ไม่หยุด ทำผิดกฎหมายมาตรา112 ที่เป็นการละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจน อีกทั้งยังปั้นแต่งเรื่องโจมตีนายกฯและรัฐบาล เพียงเพราะความอิจฉา อาฆาตแค้นส่วนตัว”นายสุภรณ์กล่าว

นายสุภรณ์ กล่าวว่า ขอนายธนาธรอย่าทำตัวเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจตัวเอง เพราะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องมีความคิด ไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็โทษคนอื่น โทษการเมือง แต่ไม่ย้อนดูตัวเองว่าได้ทำผิดกฎหมายอะไรไปบ้าง อย่าใช้แต่อารมณ์ ความฐิติอาฆาตมาดร้ายมาทำลายประเทศชาติ ประชาชน ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน และอยากบอกนายธนาธรที่มีฐานะร่ำรวยว่า ไม่มีวันที่จะเข้าใจประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแท้จริง เพราะนายธนาธรไม่เคยใส่ใจเรื่องของประชาชนเลย ยกเว้นเรื่องของตนเองและครอบครัว

อีกทั้งการที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องใดนั้น ก็ควรคิดถึงหัวอกของประชาชนด้วย รวมถึงการที่นายธนาธรออกมาจาบจ้วงสถาบัน สนับสนุนอยู่เบื้องหลังผู้ที่ทำการจาบจ้วงสถาบัน ถือเป็นการทำร้ายจิตใจประชาชนคนไทยที่จงรักภักดี นายธนาธรเป็นคนเนรคุณแผ่นดินเกิดของตัวเอง ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ก็ไม่สมควรอยู่ในประเทศนี้อีกต่อไปและมั่นใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็คิดเช่นเดียวกัน

“ขอร้องอย่าเอาเรื่องของวัคซีนที่รัฐบาลเอามารักษาชีวิตประชาชน มาโยงใยเล่นตีกินทางการเมืองและทำลายสถาบัน เพราะประชาชนคนไทยจะสาปแช่งให้วิบัติมีอันเป็นไป ซึ่งไม่ผลเป็นดีต่อครอบครัวของนายธนาธร แผ่นดินไทยสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงใครคิดร้ายต่อแผ่นดินและบ้านเมือง บาปกรรมมีจริงนรกมีจริง ไม่ต้องไปรอรับกรรมในชาติหน้า แต่จะได้รับผลกรรมตามทันในชาตินี้อย่างแน่นอน ไม่เชื่อรอดู" นายสุภรณ์กล่าว

‘อรรถวิชช์’ ฉะแหลก กรณีขึ้นค่าโดยสาร BTS ชี้เบรกได้เบรกสัมปทานรอบใหม่รถไฟฟ้าสายสีเขียว ย้ำรัฐใคร ‘เขี้ยว’ ให้จำไว้เป็นบทเรียน ตอนประมูลสายสีส้มในอนาคตจะได้ไม่พลาดอีก

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊กส่วนตัว กรณีเตรียมขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสาย 104 บาท ว่า

“อย่ารีบต่ออายุสัมปทาน BTS รถไฟฟ้าสายสีเขียว วิธีคำนวณค่าโดยสารสุดสาย 104 บาทไม่แฟร์ รัฐยังต่อรองได้ ถ้าบริษัทดังกล่าวเขี้ยวมาก ทดไว้คิดบัญชีตอนเปิดซองประมูลสายสีส้ม เส้นเลือดใหญ่ผ่าใจกลางเมืองเชื่อมกรุงเทพตะวันตก-ตะวันออก”

นอกจากนี้ อรรถวิชช์ ยังได้กล่าวอีกว่า การที่คณะกรรมาธิการการคมนาคม มีมติเอกฉันท์ขอให้ทาง กทม. ชะลอขึ้นค่าโดยสาร เป็นเรื่องที่ถูกต้อง รัฐบาลควรรับฟัง

“ผมเห็นว่า มันเกินไปกับการขึ้นค่าโดยสาร BTS ที่สุดสาย 104 บาท ด้วยหลักคิด ‘วิ่งยาว รถวิ่งไกล ตั๋วยิ่งแพง’ ขนส่งมวลชนคนมากๆ จะมาใช้วิธีแบบแท็กซี่ส่งลูกค้ารายเดียวไม่ได้ ที่ควรจะเป็นคือ ‘วิ่งยาว คนใช้เยอะ ตั๋วต้องยิ่งถูก’ เพราะรัฐใช้เงินแผ่นดินก่อสร้างส่วนต่อขยายให้ เอกชนไม่ได้ลงทุนเองทั้งหมด

“แม้ตัวบริษัทพยายามอธิบายว่าไม่มี ‘ค่าแรกเข้า’ ในส่วนต่อขยายใหม่ แต่คิดเงินเพิ่มตามระยะทาง ‘ที่เขากำหนด’ ผลที่ตามมาขณะนี้คือ ค่าโดยสารเฉลี่ยต่อกิโลเมตรของไทยแพงกว่า ลอนดอน, ฮ่องกง, สิงคโปร์

“ผมอยากเห็นกรุงเทพในอนาคต ใช้รถเมล์ไฟฟ้าวิ่งสั้นๆ ขนคนไปส่งรถไฟฟ้าสายหลัก เพื่อลดจำนวนรถในถนนบรรเทาการจราจร ลดมลพิษฝุ่น PM 2.5 แต่ภาพเหล่านี้คงเกิดยาก ถ้าโครงสร้างราคาตั๋วรถไฟฟ้ายังเป็นแบบเดิม

“สุดท้ายผมเสนอว่าถ้าเจรจาราคาตั๋วไม่ลง บริษัทเขี้ยวลากดินมากหนัก รัฐต้องทดไว้ในใจ เพราะรัฐยังมีไพ่สำคัญในมือคือ ‘รถไฟฟ้าสายสีส้ม’ ที่กำลังประมูลกันในขณะนี้ เพราะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ถือเป็นอีกตัวแปรสำคัญ เพราะบริษัทเดินรถเอกชนทั้งลอยฟ้าและใต้ดินต่างหมายปอง โดยสายสีส้มจะวิ่งเชื่อมกรุงเทพตะวันตกถึงตะวันออก ผ่ากลางเมือง เกาะรัตนโกสินทร์, ลอดแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านย่านสำคัญๆ เพียบ และเชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าสายอื่นครบ”

เรียกว่าใครได้ไป จะเป็นเบอร์ 1 คุมระบบรางการขนส่งมวลชนเมืองหลวงทันที...

“ฉะนั้นการประมูลสายสีส้มต้องดูเทคนิคดีๆ เพราะทั้งเจาะอุโมงค์ลอดแม่น้ำ และมุดใต้ดินผ่านโบราณสถานหลายแห่ง ส่วนราคาก็ต้องระวัง อย่าให้ซุกตัวเลขทำให้ตั๋วราคาแพงในอนาคต

“บทเรียนจากสายสีเขียว คงจะช่วยให้รัฐตัดสินใจกับสายสีส้มได้อย่างถูกต้อง อย่าให้ประชาชนถูกเอาเปรียบ” อรรถวิชช์ ทิ้งท้าย


ที่มา: เฟซบุ๊ก อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top