Thursday, 18 April 2024
PEOPLE'S

กล้วยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ง่ายอีกทั้งยังอุดมไปด้วยประโยชน์มหาศาล วันนี้เราจะพาทุกคนไปพบกับประโยชน์ของกล้วย 17 ประการ ที่บอกเลยว่าใครได้รู้ต้องร้องว้าว!

รู้ไหมคะว่ากล้วยเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีสารอาหารมากที่สุดในโลก อีกทั้งมีโพแทสเซียมในปริมาณที่สูงที่สุดในบรรดาอาหารทั้งหมด หากคุณกินกล้วยสุกวันละสองลูก คุณจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมหาศาลและสิ่งที่เรียกว่า Tumor Necrosis Factor ซึ่งช่วยในการต่อต้านเซลล์มะเร็งในร่างกาย ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต้านมะเร็งและสารอาหารก็จะสูง เท่านั้นยังไม่พอคุณจะได้รับประโยชน์อะไรอีกบ้างจากการกินกล้วยสองสามลูกในแต่ละวัน ไปดูกันเลย

1.) กล้วยต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า คนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะมีระดับของเซโรโทนินในสมองต่ำ กล้วยมีทริปโตเฟนในระดับสูงซึ่งจะเปลี่ยนเป็นเซโรโทนิน กล้วยจึงช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้

2.) คุณจะมีพลังงานมากขึ้น กล้วยมีน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด ได้แก่ ฟรุกโตส กลูโคส และซูโครส และเป็นไฟเบอร์ที่ดี โรงไฟฟ้าแห่งโภชนาการนี้ให้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและยั่งยืน กล้วยเพียงสองลูกให้พลังงานเพียงพอสำหรับการออกกำลังกาย 90 นาที!

3.) กล้วยช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก ด้วยแคลอรี่เพียง 100 แคลอรี่ต่อมื้อ กล้วยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่พยายามลดน้ำหนักสักสองสามปอนด์ นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ 3 กรัมช่วยให้เรารู้สึกอิ่มมากขึ้นและลดความอยาก

4.) กล้วยดีต่อสมอง กล้วยจะปล่อยพลังงานออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยให้สมองตื่นตัวได้นานขึ้น ระดับโพแทสเซียมที่สูงทำให้เราตื่นตัวมากขึ้น และแมกนีเซียมช่วยให้สมองมีสมาธิ

5.) ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของคุณ กล้วยมีโพแทสเซียมและวิตามินบี 6 ในปริมาณสูง กล้วยเป็นแหล่งสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการสร้างฮอร์โมน

6.) ช่วยบรรเทาอาการเสียดท้อง กล้วยที่มีโพแทสเซียมสูงช่วยลดความเป็นกรดของกระเพาะอาหารในขณะที่ไฟเบอร์ช่วยในการย่อยอาหาร ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จำเป็นต่อการบรรเทาอาการเสียดท้อง

7.) กล้วยช่วยลดความดันโลหิต การวิจัยพบว่าการกินกล้วยสองลูกต่อวันสามารถลดความดันโลหิตได้ 10% สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิต กล้วยมีโซเดียมต่ำและโพแทสเซียมสูงจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการบริโภค

8.) ช่วยให้เลือดของคุณแข็งแรง กล้วยมีธาตุเหล็กในปริมาณที่ดีช่วยให้เลือดแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคโลหิตจาง กล้วยยังมีวิตามิน B6 ในปริมาณสูง นอกจากนี้กล้วยยังช่วยในการผลิตเม็ดเลือดขาว

9.) กล้วยดีต่อกระดูก สารอาหารในกล้วยช่วยเสริมสร้างและรักษากระดูกให้แข็งแรงโดยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม

10.) กล้วยต่อสู้กับความเจ็บป่วย กล้วยมีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับสูง ให้การปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง และความเสื่อมของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ

11.) ช่วยในการเลิกบุหรี่ได้ แม้ว่าอาจเป็นการกล่าวอ้างที่ถกเถียงกัน แต่กล้วยมีส่วนผสมของโพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบี 6 เมื่อรวมกันแล้วสารอาหารเหล่านี้เป็นที่ทราบกันดีว่าสามารถช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการเลิกนิโคตินได้เร็ว

12.) กล้วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ในขณะที่แพทย์ในอินเดียได้ประกาศถึงประโยชน์ของกล้วยในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารมาหลายชั่วอายุคน แต่เมื่อไม่นานมานี้แพทย์ในอังกฤษได้ค้นพบสิ่งเดียวกันนั่นคือกล้วยมีสารไซโตอินโดไซด์ ซึ่งช่วยป้องกันและสมานแผล

13.) สามารถแก้อาการเมาค้างได้ ด้วยการมีอิเล็กโทรไลต์ในปริมาณสูง กล้วยจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งในการควบคุมระดับอิเล็กโทรไลต์และทำให้ร่างกายกลับมามีสุขภาพดี

14.) ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก เพราะกล้วยมีเส้นใยสูงและมีไฟเบอร์ ช่วยให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ

15.) กล้วยช่วยป้องกันความผิดปกติของสมอง กล้วยอุดมไปด้วยแมกนีเซียมช่วยในการเปลี่ยนกรดไขมันให้เป็น DHA ซึ่งเป็นโอเมก้า 3 ที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการขาด DHA และความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคสมาธิสั้นและโรคอัลไซเมอร์ อ้อ! กล้วยมีวิตามินบีสูงช่วยป้องกันโรคพาร์คินสันได้ด้วยนะ

16.) กล้วยช่วยเพิ่มความจำ กล้วยสามารถช่วยปรับปรุงและรักษาความจำได้ เนื่องจากมีทริปโตเฟน โพแทสเซียม และแมกนีเซียมในระดับสูง

17.) กล้วยช่วยให้หัวใจแข็งแรง กล้วยมีสารอาหารและวิตามินในปริมาณสูง การเพิ่มปริมาณโพแทสเซียมและการลดปริมาณโซเดียมอาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คนสามารถทำได้เพื่อปกป้องหัวใจของพวกเขา และกล้วยเป็นอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงและมีโซเดียมต่ำ อีกทั้งส่วนผสมของไฟเบอร์ วิตามินซี และบี 6 ในกล้วยยังส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 

เป็นยังไงกันบ้างคะ คาดไม่ถึงเลยใช่ไหมว่ากล้วยที่เราเห็นอยู่ทุกวันจะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายขนาดนี้ อ่านจบแล้วต้องรีบไปหากล้วยมาทานเลยนะเนี่ย


ที่มา: https://www.powerofpositivity.com/eat-two-ripe-bananas-every-day-for-30-days/

 

เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนหนีไม่พ้นอาการดราม่าช่วงก่อนมีประจำเดือน ไม่ว่าอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ มาสะกิดเป็นต้องบ่อน้ำตาแตก

ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องก็ไม่มีอะไรเลย ร้องไปก็งงตัวเองไป ปกติก็ไม่ใช่คนขี้แงนี่นา สาว ๆ รู้ไหมคะ ว่าที่เราแสดงอาการแบบนั้นออกไปแท้จริงแล้วมันมีสาเหตุ

เราเรียกอาการนี้ว่า “PMS” หรือ "Premenstrual syndrome" เกิดจากการที่ฮอร์โมนมีความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นอาการผิดปกติที่จะเกิดขึ้นราว 7-10 วัน ก่อนมีประจำเดือนในแต่ละรอบ ส่งผลต่อทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น มีอารมณ์เศร้าหรือเสียใจ โกรธหรือหงุดหงิดง่าย และอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวลง่าย รวมทั้งการร้องไห้กับเรื่องเล็ก ๆ เช่น แม่ใช้ให้ไปล้างจาน แฟนไม่พาไปกินขนม หรือหมาเดินหนี ก็อาจทำให้สาว ๆ น้ำตาร่วงเผลาะได้

ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายได้เอง เมื่อประจำเดือนมา สำหรับการรักษาอาการทางจิตจากภาวะ PMS นั้นคือการปรับเปลี่ยนทัศนคติ รู้ตนเองว่ากำลังมีอาการอยู่ ฝึกผ่อนคลาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงชากาแฟ เนื่องจากชากาแฟมีสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการหงุดหงิดซึมเศร้า

เห็นไหมคะว่าเราไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา แต่แค่ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงแค่ช่วงนี้เท่านั้น วอนคนรอบข้างโปรดเข้าใจสาว ๆ ที่อาจมีอาการใจบางหน่อยนะคะ

ความวิตกกังวลเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก Beyond Blue องค์กรด้านสุขภาพจิตที่ให้การสนับสนุนและบริการแก่ผู้คนในออสเตรเลียมา 20 ปี รายงานว่า 45 เปอร์เซ็นต์ของชาวออสเตรเลียจะประสบปัญหาทางจิตในช่วงหนึ่งของชีวิต

และยังรายงานด้วยว่าชาวออสเตรเลีย 2 ล้านคนต่อปีต้องทนทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวล เป็นภาวะสุขภาพจิตที่ร้ายแรง ซึ่งมีตั้งแต่ความลำบากเล็กน้อย ไปจนถึงความเจ็บป่วยที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ แม้ว่าเราจะแนะนำให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่เสมอ แต่ก็ยังมีสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณสามารถทำได้เพื่อต่อสู้กับอาการวิตกกังวล

ในการให้สัมภาษณ์กับ My Domaine Home นักจิตวิทยา Jeffrey Bernstein เปิดเผยว่า เพียงแค่พูดว่า "แต่ถึงอย่างไร" คุณก็สามารถบรรเทาอาการวิตกกังวลได้ โดยการลดความท้อแท้และเปลี่ยนเหตุการณ์เชิงลบให้เป็นบวกมากขึ้น

.

ตัวอย่างเช่นคุณอาจพูดกับตัวเองว่า “ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะสอบตก แต่ถึงอย่างไรฉันจะทำให้ดีที่สุด”

.

ประโยคประเภทนี้รับรู้ถึงสิ่งที่จะทำให้คุณวิตกกังวล แต่ปรับสถานการณ์ใหม่ด้วยความคิดเชิงบวก สามารถทำให้คุณมีแรงมากขึ้นและเป็นการเพิ่มความนับถือตนเองอีกด้วย

สำหรับใครที่กำลังประสบกับความกังวลหรือต้องเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก ลองฝึกพูดคำนี้กันดูนะคะ อย่างน้อยในเรื่องราวที่ผ่านไปได้ยาก คุณอาจต้องหาวิธีเพิ่มพลังบวกให้กับตัวเองเพื่อหาวิธีเดินหน้าต่อในสิ่งที่คุณกำลังเผชิญ


ข้อมูลจาก: https://www.bhg.com.au/reduce-anxiety-levels-just-by-saying-this-word?category=better_life


 

‘กุ้ง’ สัตว์ตัวจิ๋วที่มีประโยชน์ใหญ่เกินตัว

หลังจากที่มีการระบาดของโควิด-19 ที่แพกุ้ง จ.สมุทรสาคร เป็นเหตุให้ช่วงนี้ควร ‘งดกุ้ง’ กันสักระยะ แต่ลองมาทบทวนคุณประโยชน์ของกุ้งกันสักหน่อยดีกว่า เผื่อเมื่อไรที่ได้กลับมากิน จะได้รู้ว่า กุ้งมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร

กุ้ง...ช่วยลดน้ำหนัก

กุ้งเป็นแหล่งโปรตีนและวิตามินที่ดี ที่สำคัญคือ ไม่เพิ่มปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหาร จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ในส่วนของเปลือกกุ้งจะมีสารที่เรียกว่า ไคติน (Chitin) ทางการแพทย์ระบุว่าไคตินเป็นสารที่ไม่ดูดซึมเข้าร่างกาย มีส่วนช่วยในการเคลื่อนตัวของกากอาหารในลำไส้ คล้ายกับอาหารจำพวกไฟเบอร์ จึงช่วยในการขับถ่ายไปในตัว

กุ้ง...ช่วยชะลอวัย

กุ้งมีสารคาโรทีนนอยด์ที่ชื่อว่าแอสตาแซนธิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยลดการทำร้ายผิวที่เกิดจากแสงแดดและรังสียูวีเอ การกินกุ้งเป็นประจำ จึงมีส่วนช่วยในการลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำลงได้

.

กุ้ง...ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อตา เพราะในตัวกุ้งมีสารแอสตาแซนธิน มีส่วนช่วยในการลดอาการตาล้าจากการใช้สายตามากๆ และจากการศึกษาเพิ่มเติม กุ้งยังมีสารประกอบที่มีคุณสมบัติคล้ายสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด จึงเป็นประโยชน์ในกระบวนการฟื้นฟูเส้นเลือดฝอยของร่างกาย 

กุ้ง...ช่วยลดการผมร่วง

กุ้งมีสารสังกะสี ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างและคงสภาพเซลล์ใหม่ จึงมีผลต่อการช่วยรักษาเซลล์รากผมและผิวหนังให้มีสุขภาพดี ไม่ร่วง ไม่บาง ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย

.

กุ้ง...ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก

อย่างที่เล่าไปว่า ในตัวกุ้งมีโปรตีนและวิตามินจำนวนมาก รวมถึงแร่ธาตุสำคัญๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส รวมทั้งแมกนีเซียม ซึ่งถ้ากินกุ้งเป็นประจำ แร่ธาตุเหล่านี้จะมีส่วนช่วยลดภาวะกระดูกเสื่อม รวมทั้งชะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย


.

กุ้ง...มีสารต่อต้านการก่อตัวของมะเร็ง

สารแอสตาแซนธินในกุ้ง ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ นอกจากนี้ แร่ธาตุที่ชื่อว่า ซิลิเนียม ที่มีอยู่ในกุ้ง แม้จะเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการน้อยกว่า 100 กรัมต่อวัน แต่กลับเป็นแร่ธาตุที่ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอด

ประโยชน์ของ ‘กุ้ง’ มากมายหลายประการจริงๆ แต่เมื่อไรที่ซื้อมากิน หรือซื้อมาประกอบอาหาร ควรทำความสะอาดให้เรียบร้อย เพื่อความปลอดภัยแก่ร่างกาย...

 

สนทนาผ่านมุมมองนางเอกเจเนอเรชั่นใหม่ ‘เฟิร์น - นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล’

เธอเป็นสาวสาย วิศวกรรมโยธา ทั้งระดับปริญญา ตรีและโท

เธอค้นพบว่า ตัวเองชอบการแสดง และต้องยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อทำมันให้ดี

เธอไม่ได้ปล่อยให้คำดูแคลนเรื่องรูปร่างหน้าตา ปิดโอกาสในการพยายามเพื่อพิสูจน์ฝีมือ เธอเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์ น่าจับตา...

ขณะเดียวกันนิสัยใจคอ และการพูดจา ทำให้เรารู้สึกว่า ‘นางเอก’ จับต้องได้

The States Times LITE มีนัดกับเธอ...นางเอกน้องใหม่แห่งช่อง ONE 31 ‘เฟิร์น-นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล’ ถามหาเหตุผลว่า เหตุใดต้องมาคุยกับเธอผู้นี้ ข้อแรก เป็นเพราะละครเรื่องล่าสุดที่เพิ่งจบลงไป ‘คดีรักข้ามภพ’ สนุกมากกกก! นอกจากสนุก ยังเป็นละครน้ำดี มีคุณภาพ และแน่นอน นางเอกของเรื่องก็คือเธอ

ข้อต่อมา หากจะมองหา ‘นางเอกน้องใหม่มาแรง’ ใน พ.ศ. นี้ ควรต้องมี เฟิร์น - นพจิรา ติดอยู่ในนั้น เหตุผลสนับสนุนนั่นคือ หลายเรื่องที่เธอได้ร่วมเล่น กระแสตอบรับดีแบบไม่ธรรมดา ถ้าจำยังละครเรื่อง ‘หัวใจศิลา’ เมื่อปีก่อนได้ นั่นก็ผลงานของเธอ

ข้อที่สาม หากย้อนประวัติชีวิตของนางเอกคนนี้ เธอร่ำเรียนมาทางด้านวิศวกรรมโยธา เรียกว่าเป็น ‘สาววิดวะ’ เท่ ๆ คูล ๆ มากว่า 6-7 ปี แต่หนทางชีวิตกลับพลิกให้สาววิศวกรโยธากลายมาเป็นนางเอกเสียได้ ไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุ แต่เป็นความตั้งใจ แถมเธอยังหลงรักศาสตร์แห่งการแสดงเอามาก ๆ มากไปกว่านั้น ยังมีแพสชั่นกับงานในวงการบันเทิงอื่น ๆ ทั้งพิธีกร ดีเจ ถ้าสบโอกาสเมื่อไร คงได้เห็นผลงานด้านนี้ของเธอกันอย่างแน่อนอน

ไล่เรียงเหตุผลมาพอสมควร ขอสรุปแบบง่าย ๆ ต่อไปว่า เพราะความน่ารัก ชวนมอง และเป็นคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลัง ทั้งหมดเหล่านี้ ที่ทำให้เราต้องตามมา ‘โฟกัส’ ชีวิตของนางเอกสาวคนนี้ ตามไปทำความรู้จักกับเธอให้มากกว่านี้กันดีกว่า..


Q: ทราบว่า เฟิร์นเรียนมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ มีการประยุกต์หรือใช้ความรู้ด้านวิศวะกับงานการแสดงหรือละครอย่างไรบ้าง 

A: สิ่งที่เฟิร์นรู้สึกว่ามันมีผลที่ชัดมากก็คือ เรื่องของการคิดวิเคราะห์ตัวละครค่ะ คือการที่เราอ่านตัวละคร จะสร้างตัวละครหนึ่งได้ มันต้องผ่านการวิเคราะห์ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงต้องกลายเป็นคนแบบนี้ นี่คือขั้นตอนพื้นฐานในการสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมานะคะ สิ่งนี้เฟิร์นคิดว่าสำคัญ เพราะสิ่งที่จะทำให้เรารู้จักว่าคนนี้เป็นแบบไหนได้ มันต้องเกิดจากการสังเกตต่าง ๆ มันอาจจะเป็นทักษะตั้งแต่เราเรียนมา ที่เราต้องคิดเป็นลำดับขั้นตอนว่าอะไร เป็นเพราะอะไรมันถึงเกิดอย่างนี้ การสังเกตสิ่งต่าง ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ อาจจะใช้ไหวพริบตรงนี้มาช่วยในเรื่องของการแสดงได้ แต่สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ซึ่งกันและกันก็คือ การที่คิดมากเกินไปนี่แหละค่ะ จะมีผลต่อการแสดงว่าเอาแต่คิดแล้วไม่รู้สึก มันมีข้อดีข้อเสียของมัน แรก ๆ เฟิร์นก็ไม่เข้าใจว่ามันจะแยกกันได้อย่างไร บางอย่างเราเพิ่งมารู้ว่า บางครั้งถ้าเอาแต่คิดแต่ไม่ได้รู้สึกเลยสักอย่าง มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร คือคิดได้  แต่สิ่งที่คิดต้องส่งผลต่อความรู้สึกด้วย มันถึงจะไปด้วยกันได้ 

Q: สมมุติว่าคะแนนเต็ม 100 และมีอยู่ 4 หมวดที่ต้องให้คะแนน คือ ความสวย ทัศนคติ ความสามารถ และความดีงาม เฟิร์นจะให้สัดส่วนคะแนนด้านไหน อย่างไรบ้าง

A: เชื่อไหมคะ คำถามนี้เป็นคำถามที่เฟิร์นต้องส่งไปถามคนอื่นว่า ฉันควรจะให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่ถ้าต้องมองตัวเอง เฟิร์นให้ทัศนคติ 30 ความสามารถ 30 ความดีงาม 25 ความสวย 15 ค่ะ

Q: ทำไมคิดว่าตัวเองสวยน้อย

A: ไม่ได้คิดว่าตัวเองสวยน้อย แต่วิเคราะห์ว่าตัวเองมีอะไรที่เป็นจุดเด่นมากกว่าค่ะ (ยิ้ม)

Q: หลายผลงานที่ผ่านมา อะไรยากง่ายบ้าง และตัวเองพัฒนามาอย่างไร มีอะไรที่ง่ายบ้างสำหรับเรา หมายถึงว่าอาจจะยากน้อยหน่อย แล้วที่ผ่านมาพัฒนามันอย่างไรบ้าง 

A: จริง ๆ มันก็ยากหมดนะคะ ไม่มีอะไรง่ายเลยสำหรับเฟิร์น เพราะสุดท้ายแล้วถึงเราจะวนกลับมาเล่นโรแมนติกดราม่าแบบที่เราคิดว่าย่อยง่าย ถนัด สุดท้ายพอยิ่งเล่นมากขึ้น มันก็จะมีความท้าทาย คือเล่นอย่างไรไม่ให้คนติดภาพจำแบบเดิม ๆ เล่นแล้วไม่ให้คนรู้สึกว่า นี่คือเฟิร์น

ถ้าถามว่าอะไรง่ายคงไม่มี แต่แนวทางที่คิดว่าย่อยง่ายก็คงจะเป็นโรแมนติกดราม่า ที่มันสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายค่ะ มันไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ว่าตั้งแต่เล่นมา มีอีกเรื่องหนึ่งที่เฟิร์นกำลังถ่ายอยู่ ยังไม่ได้ออนแอร์ คือเรื่อง ‘ห้องสุดท้ายหมายเลข 6’ เป็นหนังผีที่มีความโรแมนติกดราม่าสูงมาก แล้วก็มี comedy แถมเข้ามา เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันตึงเครียดจนเกินไป ซึ่งเรื่องนี้ปีหน้าน่าจะได้ชมกัน

จากละครที่ถ่ายทำในปีนี้ เฟิร์นค้นพบตัวเองมากขึ้นใน ‘ห้องสุดท้ายหมายเลข 6’ เพราะว่าจากซีนธรรมดา แต่สำหรับเฟิร์น เราเล่นมันพิเศษทุกซีน ทำการบ้านกับตัวเองหนักมาก ที่จะเปิดเซ้นส์ในการเอาตัวละครที่ชื่อ ‘เพียงรัก’ เข้ามาให้เราเข้าใจได้มากที่สุด และเปิด range ของอารมณ์ตัวเองออกไปให้ได้มากที่สุด จากตรงนี้ เฟิร์นมาค้นพบตัวเอง และมั่นใจกับการแสดงของตัวเองมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเราอยากไปอีกขั้นหนึ่งของโลกการเป็นนักแสดง

บางครั้งนักแสดงจะมีอุปสรรค สมมติว่าตอนนี้เราผ่านด่านนี้มาได้ ผ่านไปสักแป๊บหนึ่ง ก็จะเจอด่านใหม่ของตัวเองเสมอ แล้วด่านของเฟิร์นคือ พอเราเล่นโรแมนติกดราม่ามา จนคนคิดว่าเราร้องไห้ได้ง่าย มันกลายเป็นเหมือนคำพูดที่มันกรอกหูเราว่า เราร้องไห้ได้ง่าย ร้องไห้สบายอยู่แล้ว แต่สำหรับเรายากมาก

เฟิร์นเป็นคนร้องไห้ง่ายจริง แต่ว่าพอต้องมาเล่นละคร แล้วเวลามีบทเขียนกำกับว่าซีนนี้พูดเสร็จปุ๊บ ร้องไห้อย่างหนักหน่วงหรือร้องไห้อย่างหมดแรง เราจะรู้สึกว่ากลัวทำไม่ได้ กลัวจะไปไม่ถึง

ปีนี้ก็เหมือนยอมรับตัวเอง แล้วกล้าที่จะเล่น และไม่ต้องคิดมากแล้วว่าจะร้องไห้ได้หรือร้องไห้ไม่ได้ เพราะจากเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้เราอยากทุบตัวเอง มันคือการทุบตัวเองจริง ๆ ในกระบวนการคิดและจัดการ

Q: มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่มาช่วยผลักดันเรา ได้มากกว่าแค่ตัวงาน

A: เฟิร์นรู้สึกเหมือนกับว่าช่วงที่ว่างงานมันทำให้รู้ว่า เรารักอาชีพนี้มาก เราขาดไม่ได้แน่ ๆ เฟิร์นชอบโลกของการแสดงมากจริง ๆ แล้วมันทำให้เฟิร์นรู้สึกว่า ทุกงานที่จะออกไปให้คนดูต่อจากนี้ เฟิร์นอยากให้มันพิเศษสุด ๆ เลย เพราะเฟิร์นไม่เคยคิดว่าตัวเองคือดารา เวลาใครถามว่าเป็นดารายากไหม เฟิร์นมักจะตลกเสมอ เฟิร์นจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นดารา รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดง เฟิร์นรู้สึกว่าสิ่งนี้มันเป็นอาชีพ ที่มันอาจจะพ่วงความเป็นดารามาด้วยนั่นแหละ แล้วช่วงโควิดมันทำให้รู้ว่าเรารักงานนี้มากจริงๆ และเป็นงานที่เราอยากทำต่อไป เพื่อนก็ชอบพูด...ไม่หาอะไรทำเหรอ ไม่มีอะไรทำเหรอ แล้วเวลาคนถามบ่อยๆ เฟิร์นหงุดหงิดนะ เฟิร์นไม่ได้อยากไปทำอย่างอื่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟิร์นโฟกัสแต่สิ่งนี้ อยู่อย่างนี้ .

Q: ถ้าโควิด-19 ลากนานไปกว่านี้ คาดว่าสถานการณ์ชีวิตน่าจะลำบากลงไปอีก

A: มีส่วนค่ะ แต่ว่าหลังจากเหตุการณ์มันก็ทำให้เราเริ่มมองหาธุรกิจทำ แล้วก็เริ่มลงมือทำ แต่ไม่ได้ให้อย่างอื่นมาเป็นที่หนึ่ง เรายังให้สิ่งนี้เป็นที่หนึ่ง และรู้สึกว่าอยากให้คนดูเห็นพัฒนาการของการแสดงของเราจริงๆ แล้วก็โชคดีได้จังหวะเจอคุณครูที่ดีด้วย ก็คือครูบิว (อรพรรณ อาจสมรรถ) รู้สึกว่าตรงจริตกับเราค่อนข้างมาก แล้วสิ่งที่ครูเขาสอนเราเข้าใจง่าย สามารถเข้าใจตัวเองได้ และเราเอาไปใช้ได้จริง ๆ 

ครูบิวอยู่ฝั่งนาดาวค่ะ แต่ทุกวันนี้ก็มาสอนให้กับเด็ก ๆ ในสังกัดช่องวัน จริง ๆ ครูเขาเปิดสถาบันการสอนอยู่แล้วชื่อ Act-Things Studio ต้องขอบคุณครูบิวมากจริง ๆ เวลาเราไปเรียนเราไม่ได้เรียนเพื่อจะเล่นอย่างไรให้เก่งขึ้น แต่เรียนเพื่อเข้าใจตัวเองมากขึ้นไปอีก เหมือนหาร่องของตัวเองว่าจะไปทางไหนให้มันสวยงามมากขึ้นในการแสดง

Q: ฟังดูคล้ายเฟิร์นเป็นคนให้ความสำคัญกับทุกอย่างจากตัวเอง แล้วก็นำทางออกไปเพื่อทำงาน อย่างเรื่องล่าสุดได้ร่วมงานกับทุกๆ คน อย่างเต๋า (เศรษฐพงศ์ เพียงพอ) หรือคนอื่น ๆ เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเรื่องนี้

A: ดีค่ะ รู้สึกแบบ...นี่ละของจริง ของจริงเขาไม่ต้องพูดเยอะ เฟิร์นว่าสิ่งที่นักแสดงรุ่นเฟิร์นเป็น คือเรื่องของพลัง การเอาพลังออกมา เฟิร์นว่ามันเป็นเรื่องของประสบการณ์และความมั่นใจในตัวเอง คงไม่มีใครที่จะมีโอกาสได้เล่นกับนักแสดงชั้นนำมากฝีมือบ่อยๆ อย่างแม่ตุ๊ก (ดวงตา ตุงคะมณี) หรือว่าพี่เอมี่ (กลิ่นประทุม) พี่แอริน (ยุกตะทัต) และพอมาอยู่ในเซ็ต มาอยู่กับทุกคนแล้วมันเป็นโลกนั้นจริงๆ ตัวละครอื่นๆ ก็ทำให้เราเชื่อว่าเราอยู่ในโลกของเขาจริงๆ

เฟิร์นนับถือพี่ ๆ นักแสดงทุกคนเหมือนครู ทั้งพี่เต๋าเองด้วย คือการได้ทำงานร่วมกับคนใหม่ ๆ มันทำให้เราไม่ยึดติดหรือลำพองตัวว่าเราเก่ง แต่เราต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเสมอ ไม่ใช่ฉันคิดว่าฉันจะเล่นวิธีนี้ แล้วฉันก็ต้องเล่นวิธีนี้ตลอดไป คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ ฉันไม่สนใจ มันไม่ใช่ การแสดงคล้ายการตีปิงปอง ต้องทำงานร่วมกัน เราเล่นไปเวย์นี้ เขาอาจจะรับไม่ได้ เขาอาจจะไม่รู้สึก มันก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปโทษเขา ว่าทำไมคุณไม่รู้สึก เราส่งไปให้แบบนี้ ไม่ใช่ 

Q: เป็นได้หลายคำตอบ

A: ใช่ค่ะ แต่เราต้องมาคิดว่าเราจะทำอย่างไรดี ที่จะเปิดคลื่นความถี่เราให้มันกว้างขึ้น เพื่อจะได้ไปจูนกับเขา การทำงานนี้มันต้องฝึกที่จะไม่โทษคนอื่น แต่ให้เริ่มจากตัวเราเองก่อน เฟิร์นว่าปีนี้เฟิร์นค่อนข้างตกตะกอนเรื่องนี้ได้อย่างดีมาก ๆ จากที่แต่ก่อนเราอาจจะคิดว่าเราตั้งใจมาก แล้วทำไมรอบข้างไม่รับรู้อะไรอย่างนี้ แต่ปีนี้ไม่รู้ว่าอะไรมันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองความคิดจริง ๆ ว่า เราต้องเป็นผู้ให้ก่อนที่จะเป็นผู้รับ 

Q: จริง ๆ คือ ต่างคนต่างช่วยกัน

A: อยู่รอบตัวเรา แล้วอยู่ตรงนี้มันเป็นเรื่องของการแข่งขันจริง ๆ เวลานักแสดงได้ผลงานไป รู้ว่าจะเปิดกล้องอะไร บางคนก็มองว่าอันนี้ฟอร์มเล็ก อันนี้ฟอร์มใหญ่ อันนี้น่าสนใจ อันนี้ไม่น่าสนใจ แต่เราไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย เรารู้สึกว่าทุกเรื่องที่เราได้มา ไม่ว่าจะเล็กใหญ่ เราให้คุณค่ากับมัน พอเราให้คุณค่ากับมัน เราก็เชื่อว่าจะมีคนที่เห็นคุณค่าในการทำงานของเราตรงนี้จริง ๆ แล้วเราก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ว่า มีคนเห็นคุณค่าของงานเราจริง.

Q: เฟิร์นมีอะไรบ้างที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ

A: เฟิร์นชอบทั้งดีเจและพิธีกรนะ แต่ถ้าสิ่งหนึ่งที่อยากทำมากๆ เลยคือ ดีเจ เป็นดีเจวิทยุ เฟิร์นชอบคุยไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เฟิร์นคิดว่าตัวเองสามารถทำได้ วันนี้มีเรื่องดีๆ อยากมาเล่าให้คุณผู้ฟัง เฟิร์นนึกภาพตัวเองที่จะเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน อยากทำเพราะว่าพื้นฐานมันเริ่มจากเฟิร์นชอบฟังเพลง แล้วเราก็โตมากับวิทยุ เฟิร์นยังทันโลกเก่า ก่อนที่จะเป็นดิจิตอลอย่างทุกวันนี้ เคยผ่านช่วงที่ต้องรอดีเจเปิดเพลง เราถึงจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ แล้วเราก็เลยชอบ หลงเสน่ห์ของมัน 

Q: ตัวอย่างของดีเจคนโปรดล่ะ

A: ตอนนี้เฟิร์นรู้สึกว่าเฟิร์นชอบพี่อั๋น (ภูวนาท คุนผลิน) ค่ะ ชอบที่พี่อั๋นพูด น่าฟัง แล้วเขามักจะมีอะไรดีๆ มาเล่าให้ฟัง

Q: แล้วรูปแบบรายการจะต้องเป็นอย่างไร ถ้าเป็นตัวเองจัด 

A: เฟิร์นอยากเปิดเพลงที่ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ในกระแสตลอดเวลา อยากเปิดเพราะเป็นคนฟังเพลงทุกแนวจริงๆ เพื่อชีวิตเฟิร์นก็ฟัง แล้วรู้สึกว่าอยากทำรายการที่ไม่ใช่ให้ผู้หญิงฟังอย่างเดียว อยากให้เป็นรายการที่มีการถกเถียงถึงประเด็นต่างๆ แล้วกล้าที่จะถกเถียงจริงๆ แบบใช้เหตุผลคุยกัน เช่น สมมติว่าวันนี้มี topic ว่า คุณคิดเห็นอย่างไรกับนักเรียนที่ไม่ใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน เราอยากเอาหัวข้ออย่างนี้มาอัพเดตคน มาส่งต่อให้ผู้ฟัง หรือไปเจอทิปดีๆ เราก็อยากเอามาบอกเขา

.

Q: ใครคือนักแสดงหรือคนดังที่เป็นคนโปรดของเรา และเพราะอะไร

A: ผู้ชายก็คือกงยูค่ะ สุดที่รัก (หัวเราะ) ที่หนึ่งในดวงใจของเฟิร์น พูดกันตามตรง เขาไม่ได้เป็นคนหล่อมาก แต่เฟิร์นชอบการแสดงของเขามาก ตั้งแต่ ‘Coffee Prince’ (เจ้าชายกาแฟกรุ่นรัก) แล้ว พอมาดูอีกรอบที่ตกหลุมรักจริงๆ คือ ‘Goblin’ (คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ) อันนี้คือที่สุด เฟิร์นดูไป 3 รอบแล้วเฟิร์นยังร้องไห้

Q: หมายถึงดูก็อบลิน 3 รอบ 

A: เหมือนทุกปีต้องกลับมาดู อะไรอย่างนี้ ชอบมาก คือเขาเล่นจากหัวใจเลย มันไม่มีการหลุดเลย

Q: หรือว่าแอบอยากเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน 

A: เฟิร์นคิดตลอดว่าเราเป็น เฟิร์นไม่ใช่แอบ เฟิร์นคิดตลอดว่าตัวเองคือคนนั้น (หัวเราะ)

Q: ผู้ดึงดาบออกจากอกก็อบลิน

A: ใช่ เฟิร์นจะบ้าตายที่เห็นการแสดงของเขามันทรงพลัง มันไปถึงหัวใจ แล้วมันทำให้เฟิร์นตามดูทุกเรื่องของเขา แม้กระทั่งหนังที่ไม่ได้อยู่ในกระแสมาก อย่างเรื่อง ‘Silenced’ (เสียงจากหัวใจ...ที่ไม่มีใครได้ยิน) ดีมากค่ะ เป็นหนังเก่า ไม่รู้ว่าจะหาดูได้อีกไหม เป็นหนังที่ based on true story ของเกาหลีใต้ เนื้อเรื่องพูดถึงคดีล่วงละเมิดทางเพศของคุณครูกับเด็กพิการ เฟิร์นดูจบแล้วเศร้าไปอาทิตย์หนึ่ง มันดึงไม่ออกเลย มันไม่ใช่ร้องห่มร้องไห้ แต่มันเหมือนหนังจบ แล้วทิ้งคำถามให้กับเราเลยว่า เรารู้สึกอย่างไร

Q: แล้วถ้าเป็นนักแสดงผู้หญิงล่ะ

A: ชื่อเจ๊กงค่ะ กงฮโยจิน เป็นดาราหญิงเกาหลีที่ค่าตัวสูงมาก แต่หน้าตาไม่ได้พิมพ์นิยมเลย เขาเล่นเรื่อง ‘Master's Sun’ กับโซจีซบ และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ตกหลุมรักการแสดงของเขาคือ ‘It's Okay, That's Love’ อันนี้เป็นซีรีส์ทั้งคู่ค่ะ พูดกันตามตรงในความรู้สึกเราตอนนั้น เขาไม่ได้เป็นคนหน้าตาสวยแบบในอุดมคติ เขาเป็นคนไม่ทำศัลยกรรมเลย ตอนแรกก็ดูแบบ อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงแบบเป็นนางเอกได้ 

Q: ความสามารถทะลุใบหน้า อะไรประมาณนี้หรือเปล่า

A: โอ้โห...สวยลืม กลายเป็นว่าเขาสวยมาก แล้วเฟิร์นไม่แปลกใจเลยที่ค่าตัวเขาจะแพงมาก เขาเก่งมากจริง ๆ เล่นเป็นจิตแพทย์ ไปตกหลุมรักคนที่เป็นจิตเภท แล้วมารู้ในตอนสุดท้ายว่าแฟนตัวเองเป็นจิตเภท โอ้โห...เขาเล่นได้ละเอียดมาก เฟิร์นเห็นลูกละเอียด การแสดงของเขาไหลลื่นเป็นธรรมชาติมาก จนทำให้เราแทบจะยกเขาเป็นไอดอลเลยนะ 

ถามว่าทำไมเฟิร์นถึงมีแรงฮึดที่จะทำงานการแสดง เฟิร์นให้เขาเป็นไอดอล เพราะเฟิร์นรู้สึกว่าคนอื่นอาจจะมองว่าเขาบ้านๆ ใช่หรือเปล่า เพราะว่าเฟิร์นก็เคยโดนมาเหมือนกัน ว่าหน้าตาเฟิร์นงั้นๆ ธรรมดา เป็นนางเอกไม่ได้หรอก โดนมาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าหน้าตาอย่างนี้เดี๋ยวจะเป็นนางเอกให้ดู เพราะเราเชื่อมากกว่านั้น คือการแสดงมันกลบหน้าตา ทำให้คนคนหนึ่งมีเสน่ห์ขึ้นได้จริง ๆ เฟิร์นก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตาแล้ว มันเกี่ยวกับว่าฝีมือ 

Q: เหมือนที่ให้คะแนนตัวเอง 4 ข้อก่อนหน้านี้

A: ใช่ โอเค หน้าตามันอาจจะเป็นด่านแรกแหละ ว่าคนดูจะซื้อหรือไม่ซื้อ อาจเพราะสังคมของเราด้วยที่มักจะมองกันที่หน้าตาก่อนเสมอ ถ้าหน้าตาดีใครก็ให้โอกาส พูดกันตามตรง ยิ่งผู้ชายนะ หล่อ ๆ เล่นแข็งแค่ไหนก็ได้รับการให้อภัยเสมอ แต่นี่...ยิ่งหน้าตาไม่ได้สวยมาก แล้วถ้ายิ่งเล่นแย่ก็พร้อมจะสาปส่ง ไล่ไป ชนิดว่าไล่ไปตาย อย่ามาอยู่วงการตรงนี้ เฟิร์นเคยโดนขนาดนั้น เฮ้ย...ทำไมโลกมันใจร้ายกับเราจังเลย ณ ตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้ก็มองว่ามันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้คนตระหนักว่า ไม่ว่าใครจะทำอาชีพอะไร เราไม่ควรจะไปตัดสินคนนั้นแค่ที่หน้าตา แต่ก็ยอมรับกันตามตรงว่า ถ้าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ ทำให้เฟิร์นเองก็ต้องพยายามอย่างมากที่จะเอาความสามารถเข้ามาสู้ตรงนี้ เพราะถ้าพูดกันตามตรงคือ คนสวยเยอะแยะ คนสวยเต็มไปหมดเลย 

Q: อยู่ที่ว่ามองที่อะไร

A: ใช่ค่ะ แต่อยู่ที่ว่าเราจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เพราะเฟิร์นเชื่อว่าวันหนึ่งทุกคนจะต้องเหี่ยวลง จะต้องแก่ไปตามกาลเวลา แต่อะไรล่ะที่มันจะอยู่คู่กับเรา แล้วทำให้เขาเลือกใช้เราอยู่

Q: ถ้าเกิดไม่ได้ทำอะไรอยู่ตรงนี้ วันนี้จะทำอะไรอยู่ที่ไหน สร้างสะพาน สร้างตึก สไตล์สาววิศวะ

A: ไม่มีทาง เพราะเฟิร์นค้นพบว่า โอเค เฟิร์นชอบตอนเรียนจริง แต่เฟิร์นค้นพบวัฏจักรชีวิตการทำงานค่ะ เฟิร์นได้ไปลองฝึกงานมาแล้ว เฟิร์นรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขแน่นอนกับการทำงานตรงนั้นจริง ๆ ถือว่ารู้ตัวเร็ว

Q: แล้วถ้าต้องสร้าง จะสร้างอะไรครับ

A: ถ้าจะสร้างเหรอคะ... อยากสร้างพื้นที่ที่ให้เด็กได้มาแสดงออก ให้เด็กได้มาค้นหาตัวเอง เพราะว่าเฟิร์นถือว่าเฟิร์นโชคดีมากเลยที่อย่างน้อยมาค้นพบตัวเองว่ารักอะไร ชอบอะไร และได้ทำในสิ่งที่รัก มันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำในสิ่งที่รักแล้วหาเลี้ยงตัวเองได้

.

Q: เจอตัวเอง ตอนจบปริญญาตรี 

A: เพราะว่าชีวิตเราอยู่แต่กับการเรียน ไม่เคยได้มีโอกาสค้นหาตัวเองเลยว่าตัวเองชอบอะไร เฟิร์นก็เลยรู้สึกว่าถ้าเฟิร์นอยากทำอะไรสักอย่างที่มันจะมีประโยชน์ หรือทำให้คนนึกถึงเรา คงอยากสร้างพื้นที่ที่ทำให้เด็กคนอื่นได้มีโอกาสมาค้นหาตัวเองอะไรอย่างนี้ 

Q: อาจจะรวมทั้ง ไม่จำกัดว่าความสามารถอะไรก็ตาม

A: ใช่ ๆ อาจจะเป็นอะไรก็ได้ เป็นอาร์ต หรืออะไรก็ได้ แต่ได้มาเจอตัวเอง เพราะว่ามีคนชอบมาถามเฟิร์น บางทีโรงเรียนเชิญให้ไปพูดกับรุ่นน้อง คนอื่นเขาจะพูดวิชาการ แต่เฟิร์นบอกว่าเล่นให้สนุก ให้เล่นไปด้วยเรียนไปด้วย อย่ายึดติดว่าสิ่งที่เรียนจะเป็นสิ่งที่ทำอาชีพได้ คือเฟิร์นจะเป็นแนวนี้มากกว่า

Q: อย่าไปตีกรอบ

A: อย่าไปตีกรอบตัวเองเลยค่ะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราจริง ๆ คืออะไร จนกว่าเราจะหาสิ่งนั้นเจอด้วยตัวเอง เราอาจจะไม่ได้เจอตอนอายุ 20 ก็ได้ บางคนโชคดีอาจเจอตอน 15 ก็จะมีเวลาอยู่กับมัน หรือบางคนอาจจะเจอตอน 40 ก็ได้ คือทุกคนมีช่วงเวลาไม่เหมือนกัน.

Q: วันว่างเฟิร์นทำอะไร พักผ่อนหรือทำ กิจกรรม

A: นอนค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าช่วงนี้พอเฟิร์นโฟกัสเรื่องออกกำลังกาย เฟิร์นก็จะแบ่งเวลามาให้ฟิตเนสอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 - 4 ชั่วโมงให้ได้เป็นอย่างต่ำ ทั้งสัปดาห์ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ และก็ยังชอบอยู่เสมอคือ การดูหนังดูซีรีส์ 

Q: ออกไปข้างนอกหรือดูที่บ้าน

A: ดูที่บ้านค่ะ แต่ถ้าเป็นหนังก็จะดูในโรง เฟิร์นชอบดูในโรงตลอด ยิ่งพอมาทำงานตรงนี้ยิ่งเห็นคุณค่าของลิขสิทธิ์

แต่ก่อนช่วงแรก ๆ เคยดูเป็นโหมดฟังก์ชั่นทำงาน แต่หลัง ๆ ต้องบอกตัวเองว่า ไม่ได้ เธอต้องกลับไปเป็นคนดูที่พร้อมเสพไปกับมัน สนุกไปกับมัน ไม่ใช่มานั่งดูแล้วอ๋อ...ดอลลี่เข้า (การเคลื่อนกล้อง) อ๋อ...ไม่คอนฯ นะ (คอนตินิว) มันก็คงติดแบบลึกๆ ไปแล้วค่ะ แต่ก็อยากจะเสพ พยายามจะบอกตัวเองให้ซึมซับแบบคนดู 

Q: แล้วมีกิจกรรมอะไรที่ชอบอีก

A: ชอบอ่านหนังสือค่ะ ถ้ามีเวลาว่างจะหาหนังสือที่น่าสนใจมาอ่าน 

Q: หมวดไหนเป็นพิเศษ

A: หมวดประวัติศาสตร์ หมวดท่องเที่ยว มีอยู่ 2 อย่างที่ชอบ

Q: เพราะอะไรถึงชอบประวัติศาสตร์

A: เฟิร์นว่าประวัติศาสตร์ทำให้เราเห็นความจริงบางอย่างค่ะ แล้วยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เฟิร์นรู้สึกว่าน่าสนใจ เฟิร์นก็จะอ่าน ประวัติศาสตร์บ้านเมืองเรา การเมืองไทย เฟิร์นก็อ่านเป็นความรู้รอบตัว มันช่วยให้เราตระหนักถึงปัจจุบัน และสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่โฟกัสแค่ตัวเองไปวัน ๆ 

Q: ส่วนหนังสือท่องเที่ยว

A: อันนี้ก็ชอบ เพราะว่าชอบไปเที่ยว ชอบหาเวลาไปพักผ่อน

.

Q: คนแบบไหนที่เฟิร์นอยู่ด้วยแล้วมีความสุข

A: ข้อนี้ตอบยากมากค่ะ ข้อนี้ก็ตอบยากมาก 

Q: เราต้องอยู่กับคนเยอะมาก เอาที่แบบอาจจะใช้เวลากับเรานานหน่อย ที่ไม่ใช่คนในครอบครัว

A: คนแบบไหนที่เฟิร์นอยู่ด้วยแล้วมีความสุขเหรอคะ คนที่รับฟังเรา 

Q: ขอเหตุผลสนับสนุนหน่อย

A: เฟิร์นคิดว่าคนที่รับฟังเฟิร์น และยอมรับในตัวตนของเฟิร์น ทั้งดีและไม่ดีอย่างนี้ เพราะเฟิร์นคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนจิตใจดีงามหรือประเสริฐขนาดนั้น ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ในใจ 

Q: ชื่นชอบการเป็นดีเจ แล้วมีเพลงโปรดไหม 

A: เพลงโปรดของเฟิร์นเยอะมากเลย

Q: ขอที่โปรดสุด ๆ ที่นึกได้ตอนนี้ 

A: ‘ความหมาย’ ของ Bodyslam เพลงดีมากเลย

Q: ดีเพราะเนื้อหา หรือเพราะอะไร

A: เนื้อหาพูดถึงว่า มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราไขว่คว้าหาแสงดาว แต่ไม่มีใครสักคนชื่นชมมันไปกับเรา รู้สึกว่ามัน deep มาก ดีมากเลยนะ คล้ายพอเราโตขึ้น เราก็เริ่ม...

Q: ไม่ผิวเผิน 

A: ค่ะ มันไม่ผิวเผิน และเริ่มเห็นอะไรในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในที่นี้มันหมายถึงครอบครัวด้วยนะ เราผ่านความเป็นวัยรุ่น ผ่านการทะเลาะกับที่บ้าน ความไม่เข้าใจกัน ความเชื่อของเรากับความเชื่อของที่บ้านไม่เหมือนกัน การต้องการพิสูจน์ตัวเอง วันนี้เราพิสูจน์ตัวเองได้อย่างที่ใจเราต้องการแล้ว แต่ถ้าเราลืมคนข้าง ๆ ไป ลืมความหมาย มันก็ไม่มีความหมาย มันทำให้เฟิร์นรู้ เพราะในวันที่เฟิร์นเสียอาม่าไป คนที่เลี้ยงดูเฟิร์นมา สิ่งหนึ่งที่มันแล่นเข้ามาในหัวคือ ต่อไปนี้เราจะทำอะไรให้ใครดู เรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอย่างแรกเลยนะ แล้วชีวิตฉันใครจะมายินดีกับฉันอีก เวลาที่ฉันประสบความสำเร็จ 

Q: ส่วนตัวเป็นคนที่เชื่อในเรื่องอะไรเป็นพิเศษ

A: เฟิร์นเป็นคนที่เชื่อในความรักมาก ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม เฟิร์นรู้สึกว่านอกจากการรักตัวเองแล้ว การที่มีใครสักคนรักเรา มาอยู่ข้าง ๆ เรานั้นดีมากจริง ๆ

.

Q: ขอปรับโหมดหน่อย คุยในมุมสบาย ๆ ถ้าจะเลี้ยงข้าวเฟิร์น ต้องพาไปกินที่ไหน 

A: กินที่ไหนเหรอคะ ? เชื่อไหมว่าสิ่งแรกที่แวบเข้ามาคือ ข้าวมันไก่ ขอข้าวมันไก่ที่อร่อย ๆ ก็พอ

Q: มีที่ไหนบ้างที่ชอบไปกินข้าวมันไก่

A: ข้าวมันไก่ที่ไหนเหรอคะ ? ข้าวมันไก่โคลีเซี่ยม ข้าวมันไก่ตรงปั๊มแจ้งวัฒนะ แล้วก็ข้าวมันไก่โรงแรมมณเฑียรก็ดีค่ะ

Q: มีคำถามแหวว ๆ นิดหนึ่ง ถ้าหัวใจเฟิร์นมี 4 ห้อง ในนั้นจะมีอะไรอยู่บ้าง อะไรก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเดียวก็ได้

A: อาม่า 1 ห้อง 

Q: หรือจะมีอีกหลายๆ  อย่างอยู่ในห้องเดียวกันก็ได้ 

A: อาม่ากับป๊าให้เป็น 1 ห้อง อีกห้องหนึ่งให้เป็นอาชีพนักแสดง อีกห้องหนึ่งให้เป็นกงยู 

Q: ทำไมคนเดียว

A: กงยูให้เลย 1 ห้อง อาม่ากับป๊าต้องไปเบียดกันใน 1 ห้อง แต่ว่ากงยูให้เลย 1 ห้อง 

Q: ส่วนห้องที่ 4

A: ห้องที่ 4 เหรอคะ ให้เป็นอะไรดีล่ะ น่าจะเป็นธรรมชาติ เพราะเฟิร์นเชื่อว่าธรรมชาติช่วยปลอบประโลมเฟิร์นอยู่เสมอ

Q: ธรรมชาตินั้นคืออะไรบ้างครับ

A: ต้นไม้ ทะเล เป็นธรรมชาติที่จะช่วยได้ค่ะ 

Q: ถ้าเกิดคนที่จะจีบเฟิร์นติดต้องเป็นคนอย่างไร เพื่อพัฒนาไปสู่ความเป็นแฟนหรือว่าคนรัก

A: ต้องเป็นคนที่ไม่ดูถูกคนอื่น และไม่ขี้อวด 2 อย่างนี้ไม่ได้เลย แล้วก็ไม่เพิกเฉยต่อความไม่ยุติธรรม เพราะว่าอารมณ์เฟิร์นจะแรงมากเวลาที่เจอเรื่องไม่ยุติธรรม ไม่แฟร์เมื่อไรปุ๊บจะขึ้นเลย

Q: ถ้าเว้นจาก 3 อย่างนี้ก็น่าจะเข้าคบกันได้

A: แล้วไม่หักหลังเราด้วย มันก็คงเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวแล้วแหละ แต่ว่าหลัก ๆ ง่าย ๆ คือไม่ดูถูกคนอื่น ไม่ขี้อวด 

Q: หน้าตาอย่างไรก็ได้ รูปร่างอย่างไรก็ได้ ชาติไหนก็ได้

A: ชาติไหนก็ได้ เพศอะไรก็ได้ด้วยซ้ำ

Q: สุดยอด ใจกว้างมากเลย

A: เพศอะไรก็ได้จริง ๆ 

Q: เยี่ยมยอด 

A: แต่เรื่องหน้าตา เฟิร์นคงไม่ถึงขั้นเลือกแบบว่า...

Q: กงยู?

A: ก็มาตรฐานสูง แต่ถ้าเป็นอย่างที่ใจหวังได้ก็ดี (หัวเราะ)

ยังไงก็ขอให้นางเอกสาวคนสวยสมหวัง ซ้าธุ! ปีหน้าเฟิร์นยังขอให้แฟนๆ อย่างพวกเราติดตามผลงานของเธอกันต่อไป แว่วๆ ว่า จะมีผลงานทยอยออกมาอีกไม่ใช่น้อย แล้วเราจะรอเชียร์เธอ...นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล


เรื่อง: ณัฐพล ช่วงประยูร 

ภาพ: S.คิม

 

ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป ส่งผลร้ายอย่างไร?

"อีกขวดน่า!" มีใครเคยพูดกับตัวเองทำนองนี้ ขณะยืนอยู่หน้าตู้แช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังบ้างไหม?

แถมสุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดตู้คว้ามา 1 ขวดจนได้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง วันนี้ทั้งวัน ซัดเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปแล้ว 3 ขวด!!!

จากที่เคยได้ยินโฆษณาทางทีวีที่บอกว่า "ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด" แต่ในชีวิตจริง คือดื่มไปเรื่อย โดยเฉพาะเมื่อไรที่รู้สึกเพลีย ง่วง ซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่า ก็ต้องมายืนอยู่หน้าตู้แช่แบบนี้ทุกทีไป

หน้าที่หลักของ "เครื่องดื่มบำรุงกำลัง" นั้น ทำให้สมองตื่นตัว เพิ่มพลังงาน เนื่องจากมีน้ำตาล และผสมสารคาเฟอีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของสมอง แต่อะไรที่กิน หรือเสพมากจนเกินไป ก็มักจะตามมาด้วยผลข้างเคียง เหมือนดังเช่น ‘คาเฟอีน’ ที่เมื่อได้รับมากจนเกินไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ดูจะไม่เป็นมิตรต่อร่างกายสักเท่าไรเลย

ร่างกายเราสามารถรับคาเฟอีนได้แค่ไหน

โดยเฉลี่ยในผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานคาเฟอีนเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเครื่องบำรุงกำลังมักจะผสมคาเฟอีนต่อขวดอยู่ที่ 80 มิลลิกรัม (เทียบเท่ากาแฟ 1 แก้ว) แต่จากผลการศึกษาของหน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ American Academy of Pediatrics (APP) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขปริมาณคาเฟอีนที่เห็นบนฉลากข้างขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังนั้น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์ได้ว่า มีปริมาณคาเฟอีนจริง ๆ อยู่เท่าไรกันแน่

 

 

หากได้รับคาเฟอีนมากไป...จะมีผลเสียอย่างไร

การดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ หรือมากกว่า 2 ขวดขึ้นไป อาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกิน จนมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ อาการในระดับเบาที่มักจะเกิดขึ้น คือ รู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ กระหายน้ำ ปวดหัว นอนไม่กลับ หงุดหงิดง่าย อาการเหล่านี้สามารถเป็นแล้วหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป แต่หากได้รับคาเฟอีนมากเกินขนาดหนัก อาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ เช่น หายใจลำบาก อาเจียน เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก รวมทั้งมีอาการชัก

 

 

คาเฟอีนกับผลร้ายในวัยรุ่น

หน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ หรือ APP ยังมีรายงานถึงผลข้างเคียงที่ได้รับจากการดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กหรือวัยรุ่น อาจทำให้เกิดการเสพติดคาเฟอีนขึ้นได้ มากไปกว่านั้น การได้รับคาเฟอีนอยู่ตลอดเวลา มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว และเต้นผิดจังหวะ มีผลต่อความดันโลหิตที่สูงขึ้น รวมทั้งความเข้มของเลือดที่มากขึ้น ไม่นับรวมภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน เนื่องจากในเครื่องดื่มบำรุงกำลังมีน้ำตาลผสมอยู่ในปริมาณมากเช่นกัน

 

ทั้งนี้ปริมาณของคาเฟอีนที่เหมาะสำหรับวัยรุ่น คือไม่ควรเกินวันละ 100 มิลลิกรัม แต่หากเลี่ยงได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า เพราะไม่ส่งผลดีใดๆ ในระยะยาว เอาเป็นว่า ถ้าง่วง เพลีย ซึมเซา หรือต้องใช้พลังงานอ่านหนังสือ หรือต้องทำงาน ลองปรับพฤติกรรมตัวเองดูดีกว่า หากอ่านหนังสือดึกๆ ไม่ไหว ก็สู้เข้านอนเร็ว แล้วรีบตื่นมาอ่านช่วงเช้า ๆ เผลอๆ หัวสมองจะแจ่มใส่กว่าเป็นไหน ๆ ส่วนคนที่ต้องทำงาน มีอาการง่วงเหงาหาวนอน ลองหาชาอุ่น ๆ จิบเบา ๆ ให้ร่างกายตื่นตัว เอาจริง ๆ ดื่มน้ำเปล่าก็ช่วยได้นะ ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น

เก็บเครื่องดื่มบำรุงกำลังเอาไว้เป็น "ตัวช่วยสุดท้าย" ถนอมร่างกายตัวเองกันใว้ยาวๆ ดีกว่านะ


อ้างอิง:

https://www.thelist.com/164290/what-happens-when-you-drink-too-many-energy-drinks/

https://hellokhunmor.com

https://www.pobpad.com  

 

 

ถูก ‘บูลลี่’ ควรแก้ยังไง?

ใครเคยถูก ‘บูลลี่’ ยกมือขึ้น?

 

ถามแบบนี้ เชื่อเถอะว่า ยกมือกันพรึ่บ ไล่ไปตั้งแต่เด็กประถมไปยันนายกรัฐมนตรี ยุคสมัยนี้เขาเรียกการโดนล้อว่า ถูกบูลลี่ (Bully) แต่ถ้าเป็นยุคก่อนๆ มันก็คือ การถูกล้อ ถูกแซว นั่นแหละ

 

การถูกบูลลี่ หรือการล้อ การแซว เป็นเรื่องทางจิตวิทยาของมนุษย์มาแต่โบร่ำโบราณแล้วล่ะ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม พอมารวมกลุ่มกันเข้า เมื่อเห็นว่าสิ่งใดที่มันดู ‘แตกต่าง’ ไปจากผู้คนปกติในกลุ่ม ก็มักจะมีการออกความเห็น เป็นธรรมดา

 

เช่น ‘ทำไมคนนี้ถึงดำ’ ‘ทำไมคนนั้นถึงเตี้ย?’ แต่ปัญหาต่อมาก็คือ เมื่อมีคนพูด (หรือตั้งประเด็นขึ้นมา) คนอื่นๆ ในกลุ่มก็จะพลอยสนใจ จากที่มีคนสีผิวต่าง หรือส่วนสูงต่างอยู่ในกลุ่มตั้งนานสองนาน พอมีคนตั้งข้อสังเกตปุ๊บ กลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที

 

ที่มันเลยเถิดไปกว่านั้น เมื่อสนใจในความแตกต่าง กลับกลายเป็นการไปย้ำความต่างนั้นๆ อยู่เรื่อยๆ เหมือนอะไรเอ่ยไม่เข้าพวก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่มีใครทัก ใครพูด มันก็จะไม่กลายเป็นประเด็น

 

ยังมีอีกหลายกรณี เช่น คนนี้อ้วนกว่าใครในกลุ่ม คนนี้ผอมแห้งกว่าใครในแก๊ง คนนี้สิวเยอะ คนนั้นพูดไม่ชัด คนโน้นผมหยิก กระทั่งพัฒนามาสู่ยุคนี้ ที่มีโซเชี่ยลมีเดียเป็นตัวกระจายอำนาจการบูลลี่ กล่าวคือ ใครที่มีความต่าง หรือมีพฤติกรรมไม่เข้าพวก หรือแม้แต่ทำอะไรน่าเกลียดๆ แล้วโดนถ่ายภาพเก็บไว้ ทั้งหมดนี้จะถูกกระจายกำลังกันโดนบูลลี่ไปในโลกกว้างทันที

 

 

เรื่องเหล่านี้ ใครไม่เจอกับตัวเอง ก็คงไม่รู้ซึ้งว่า ‘มันเจ็บปวดเพียงใด’

 

อย่างที่ถามไป มีใครเคยถูกบูลลี่บ้าง น้อยคนนั่นแหละที่จะไม่เคย เอาเรื่องเบสิกสุดๆ ประเภทล้อชื่อพ่อชื่อแม่ ยิ่งชื่อพ่อแม่เป็นชื่อเชยๆ แปลกๆ งานนี้โดนล้อกันจนแก่จนเฒ่า นี่ก็เป็นมิติหนึ่งของการบูลลี่เหมือนกัน ถามต่อมาว่า แล้วจะทำยังไงไม่ให้ถูกบูลลี่? ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ‘ยาก!’ เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมมีความแตกต่าง หรือแม้แต่ทำอะไร ‘พลาดๆ’ กันได้หมด

 

แต่ตัวการปัญหาจริงๆ มันอยู่ที่ ‘คนบูลลี่’ นั่นต่างหาก

 

ยกสมการง่ายๆ ว่า ‘ถ้าไม่มีคนบูลลี่ มันก็จะไม่มีการถูกบูลลี่’ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งที่ ‘ทุกคน’ ควรทำ หรือต้องทำ คือ ฉุกคิดสักนิด ก่อนจะพูด ก่อนจะเล่า ก่อนจะแซว ก่อนจะล้อ ก่อนจะให้ความเห็น หรือก่อนจะคอมเม้น

 

ทั้งหมดมันเกิดจากตัวเรานี่ล่ะ บางครั้งไม่ตั้งใจ แต่เผลอตัวพูดออกไปด้วยความสนุก(ปาก) ด้วยความคึกคะนอง คิดว่าขำๆ ล้อกันเล่นๆ แต่ใจเขาใจเรา อะไรที่มากเกินพอดี ผลลัพธ์ที่ออกก็มักจะเกินงามไปด้วยเช่นกัน

 

 

เราไม่ได้บอกให้ใครต้องทำตัวโลกสวย ต้องพูดเพราะๆ แต่ก่อนพูด ขอให้มีสติ ฉุกคิดสักนิดกับคำพูดของเรา อะไรที่ประเมินว่าสุ่มเสี่ยง ก็ข้ามๆ ไปบ้าง ไม่ต้องพูดทุกอย่างที่คิดก็ได้

 

สรุปคาถาง่ายๆ ป้องกันการถูกบูลลี่ นั่นคือ ‘การไม่ไปบูลลี่คนอื่นก่อน’ ก็เท่านั้นเอง...

สัมผัสตัวตนพระเอกมาแรง "ตรี - ภรภัทร ศรีขจรเดชา"

นักแสดง กับ ดารา เป็นสถานะในวงการบันเทิง ที่ฟังดูใกล้เคียงกันมาก และดาราดาวรุ่ง ช่อง one31 อย่าง "ตรี - ภรภัทร ศรีขจรเดชา" ก้าวข้ามเส้นแบ่งนั้นมาได้ ซึ่งผลงานล่าสุด ละครเลดี้บานฉ่ำ เขาให้คะแนนตัวเองไว้ 7.5 / 10 แต่เรื่องชีวิตได้เกรดเท่าไหร่ ต้องตั้งใจอ่านกันดู

บางคนใช้เวลานับปี บางคนสิบปี บางคนอาจเพียงผลงานข้ามคืน แต่สำหรับหนุ่มวัย 25 ที่ผ่านการพิสูจน์ฝีมือด้านการแสดงในละครมาแล้ว 4 เรื่อง ตรีจึงค่อย ๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนต้นกล้าที่ค่อย ๆ เติบโตหยัดยืน

ด้วยความสูงเกิน 180 ซม. หน้าคม ผิวเข้ม เขาจึงโดดเด่นมากยามที่เดินมาถึงสตูดิโอ บนใบหน้ามีรอยยิ้มเล็ก ๆ และคำทักทายใคร ๆ อย่างอารมณ์ดี แม้จะยังไม่รู้จักกัน แต่พอเดาได้ว่า พระเอกร่างสูงโปร่งคนนี้เป็นคนอารมณ์ดีแน่นอน เรื่องราวระหว่าง The States Times กับเขาจะจริงจัง ดราม่า หรือฮาซะขนาดไหน พื้นที่ถัดจากนี้มีคำตอบ  


Q: หากไม่เรียก ตรี มีชื่ออื่น ๆ ไหม ที่เพื่อน ๆ หรือคนสนิทใกล้ ๆ ตัวตรี เรียก

A: ตอนเด็ก ๆ อาจจะมีที่เรียก "ตรีเทพ" มาจากเด็ก ๆ เล่นเกมเก่งเทพ ๆ (หัวเราะ) ถ้าเด็กมาก ๆ เลย เคยมีเรียก "อ้วน เตี้ย ดำ" พอสูงขึ้นมาจริง ๆ ก็มาเรียกว่า "โย่ง" แต่รวม ๆ ส่วนใหญ่ก็เรียก "ตรี" นั่นแหละครับ

Q: ประมาณว่าเคยโดนบุลลี่ 

A: (หัวเราะ) ใช่ครับ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครบุลลี่แล้วครับ อ้อ! มีอีกอัน ช่วงมัธยมฯ ผมเกรียน แล้วตรงนี้ (ชี้ไปที่ท้ายทอย) มันจะเป็นแบบรอยขีดเหมือนช่องหยอดกระปุก ตอนนั้นเป็นแผลหัวแตก เลยโดนเรียก "กระปุกออมสิน" ไม่ชอบเลย (ยิ้ม)

Q: โดยรวม ๆ คนใกล้ตัวตรี มักบอกว่านิสัยใจคอคุณเป็นยังไงครับ 

A: เข้าถึงยากมั้งครับ ดูหยิ่ง ไม่ค่อยพูด แต่จริง ๆ ผมอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเรื่องปกติ ถ้ารู้จักกันแล้ว คุยเต็มที่เลยครับ

Q: แล้วตัวตนจริง ๆ เป็นยังไงกันแน่

A: Friendly นะ คุยได้ทุกเรื่อง ใครปรึกษาก็คุยได้ ใจ - ใจ ค่อนข้างพูดตรง ไม่ได้ประจบใครเลย ผมเป็นแบบนี้กับทุกคน ทำอย่างนี้เหมือนกันกับทุก ๆ คนครับ

Q: แล้วสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น คืออะไรครับ 

A: ผมว่า ผมเอาใจใส่คนนะ เป็นห่วงตลอดเวลา ถามไถ่ว่า ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทำอะไรอยู่ ยิ่งสนิทก็ยิ่งเป็นห่วงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือแม้แต่พี่ยาม ป้าแม่บ้าน ผมจะทักทาย สวัสดีทุกครั้งที่พบกัน แล้วก็ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเสมอ 

.

Q: ด้านการแสดง นับตั้งแต่ละครเรื่องแรก จนถึงตอนนี้ ถ้าให้เต็มสิบ ตรีให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ 

A: เรื่องแรก (เรื่องเธอคือพรหมลิขิต) ผมให้แค่ประมาณ 2 - 3 คะแนน แค่นั้น เพราะว่าถ้าเทียบกับคนอื่น ละครมันก็เหมือนกับการเข้าโรงเรียนนะครับ ค่อย ๆ เริ่ม ค่อย ๆ เพิ่มพูนไปตามประสบการณ์ที่เรามี แต่ตอนนี้ล่าสุดกับ เลดี้บานฉ่ำ อาจจะให้ 7 - 7.5 คะแนน เพราะผมคิดว่ายังจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้อีก

Q: คำว่า พัฒนา โฟกัสอะไรเป็นพิเศษ หรือต้องพัฒนาจุดไหน 

A: พัฒนาการเล่นละครนี่แหละครับ มีบางจุดที่เราอาจจะยังถ่ายทอดอารมณ์มาโดยที่เราไม่ได้เรียบเรียงมา บางทีก็ปล่อยตู้มเลยทีเดียว มันควรจะเป็นเหมือน Dynamic ไล่เป็นเส้นกราฟ ตอนนี้ก็พยายามฝึกมากขึ้นอีก จัดการกับอารมณ์และร่างกายตัวเอง

Q: 6 ปีที่เข้ามายืนตรงนี้ เห็นหรือมองวงการบันเทิงอย่างไร

A: ตอนเข้ามาใหม่ ๆ ผมคิดว่าการเข้ามาเป็นดารามันง่ายนะครับ แต่เราคิดว่าแค่ดาราไง ไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นพระเอกหรือรู้จักคำว่าศิลปิน นักแสดง ดาราก็อาจจะแค่ท่องบท เล่นได้ เดี๋ยวมันก็มีชื่อเสียงไปเอง ผมเคยคิดว่าแค่ร้องไห้ได้ ก็คือเก่งมากแล้ว แต่เอาเข้าจริงมันไม่ใช่เลย พอเราโตขึ้น เราก็เห็นมิติต่าง ๆ มากขึ้น บางครั้ง บางซีน มันไม่จำเป็นต้องร้องไห้มีน้ำตาก็ได้ การเสียใจมันมีหลายรูปแบบ และนั่นมันคือ การเข้าใจบทและความเป็นนักแสดง

Q: แล้วอะไรคือ มุมคิดสู่การพัฒนา

A: หลังจากผมมีโอกาสอุปสมบท ได้เรียนรู้โลกทางธรรม รู้จักปล่อยวางมากขึ้น เข้าใจว่าโลกเป็นแบบนี้ ๆ ทำใจให้มันสบาย เพราะในการใช้ชีวิตและโลกการทำงาน ผมควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว คือใครแนะนำอะไร ไม่ว่าเขาจะอายุเยอะกว่าหรือน้อยกว่า เราควรเป็นผู้ฟังที่ดีก่อน ทำอะไรก็ตาม รู้จักรับฟังคนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ฟังแต่ตัวเอง

.

Q: จากบทบาทนักแสดง มีอะไรที่ตรีอยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำอีกไหมในวงการ

A: ก่อนผมเข้ามาตรงนี้ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ไม่ชอบแสดงออกอะไรเลย แต่แล้วการทำงานมันพาเรามาถึงจุดนี้ เราควรจะเปลี่ยนตัวเองบ้าง ไม่ใช่เราจะยึดติดกับอะไรเดิม ๆ อย่างการร้องเพลง ผมพูดเลยว่า ไม่ชอบร้องเพลงเลย แต่ทุกวันนี้ผมพยายามลอง ผมเริ่มฝึกร้องเพลงจริง ๆ จัง ๆ ประมาณ 2 - 3 เดือนมานี้ จากที่เคยร้องเพี้ยนมากก็เริ่มเพี้ยนน้อยลง เริ่มตามจังหวะมากขึ้น เริ่มใช้เสียงสูงเสียงต่ำได้ ผมว่าการเรียนสิ่งต่างๆ ช่วยเพิ่มความสามารถให้ตัวเรา ไม่ใช่แค่เล่นละคร ได้ ยุคนี้ไม่ได้แล้ว มันต้องทำเป็นหมดทุกอย่าง 

Q: แล้วถ้างานพิธีกรล่ะ ก็ยังไม่เคย อยากทำไหม ถ้าไม่เคย

A: การเป็นพิธีกรกับการเป็นนักแสดงมันไม่เหมือนกันเลย พิธีกรมันต้องแบกไว้ทั้งหมด และต้องทำให้มันสนุกตลอด ผมไม่รู้ว่าผมจะมีความสามารถนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าได้โอกาสก็อยากได้ลองเรียนรู้งานทุกแขนงในวงการบันเทิงครับ เมื่อก่อน อะไรที่ทำไม่ได้...ไม่รู้ ผมจะไม่ทำ แต่ตอนนี้ ผมคิดว่า ลองทำก่อน ชอบ...ไม่ชอบ มาว่ากัน อย่างน้อยทำไปให้ได้ลอง...ได้รู้ก่อน อย่าคิดปฏิเสธอะไรตั้งแต่เริ่ม ผมว่าแบบนั้นมันจะดีกับเรา

.

Q: ชีวิตตัวละครพระเอก (ท็อป) ในเลดี้บานฉ่ำ มีอะไรที่เหมือนหรือต่างกับตัวจริงของตรีบ้าง

A: ดูจากครอบครัวก็ต่างกันแล้ว พื้นเพเราไม่ได้เป็นแบบท็อป ชีวิตจริงผมโตมากับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว คนที่เลี้ยงผมมาคือ คุณแม่ คุณยาย และมีพี่ชายอีก 2 คน ที่คอยดูแล พี่ชายคนโตตอนนี้อายุ 41 คนกลางก็ 38 ซึ่งผมอายุย่าง 26 พวกเขาก็เป็นเหมือนผู้ปกครองที่คอยดูแล สั่งสอนเรา ตั้งแต่เด็กจะโดนตี โดนดุด้วย ตอนนั้นไม่เคยเข้าใจเลย แต่พอเราโตขึ้นมา เราเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เขาก็หวังดี เขาผ่านอะไรมาก่อน วันนี้ผมจึงรู้ว่าการฟังผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะว่าเราอาจไม่เคยผ่านหลายอย่างมา สิ่งที่เขาพูดมันถูกหรือมันผิดแล้วค่อยว่ากัน แต่เราควรรับฟังก่อนเสมอ

Q: แล้วนิสัยใจคอท็อปเป็นอย่างไร

A: ท็อปมีนิสัยพื้นเพเป็นคนจริงใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ท็อปมีพ่อเป็นเพศทางเลือก และมีปมหนักกับชีวิตกับครอบครัว แต่ท็อปเป็นคนรักใครก็รักจริง อยากให้ทุกคนได้ดี เห็นใจคนอื่น มีความเมตตา มันอาจมีจุดร่วมที่เชื่อมโยงได้นิดหนึ่ง อย่างตัวผมถึงจะไม่ได้อยู่กับพ่อ แต่ก็สนิทกัน ตอนแรกได้บทมาเนี่ย โอ้โฮ เกี่ยวกับพ่อด้วยเหรอ ยากเลย เพราะเราอาจไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งกับพ่อ แต่ตัวละครเจอปมที่หนักกว่าผม เรื่องที่ท็อปเจอมันเป็นเรื่องที่เด็กผู้ชายทุกคนคงรับยาก 

Q: อะไรคือบทเรียนสำคัญจากตัวละครนี้

A: โลกอุดมคติของสังคม พ่ออาจเป็นทุกอย่างในชีวิต เป็นผู้นำ เป็นคนสั่งสอน อบรม และเสียสละทุกอย่าง พ่อเป็นเหมือนไอดอล แล้ววันหนึ่ง พ่อ (รับบทโดย วิลลี่ แมคอินทอช) ก็ทำลายความฝันนั้นเละตุ้มเป๊ะหมดเลย เมื่อท็อปรู้ว่าพ่อเป็นแบบนางโชว์ เขาก็เจ็บจี๊ดไปทั้งหัวใจ ทำนองนั้นครับ แต่พัฒนาการตัวละครก็นำเขาสู่การคลี่คลาย เขาอาจคิดว่าความรักของเพศทางเลือก ไม่มีจริงหรอก เพราะว่าพ่อเขาก็ไม่รักแม่ แต่การพัฒนาของตัวละครนี้ ก็เดินไปสู่การมองเห็นมุมที่ดีของคนกลุ่มนี้ ที่มีความรักไม่แตกต่างจากชายหญิง เพียงยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แค่เขาต้องหาทางยอมรับให้ได้ มันก็จบ

.

Q: จากผลงานที่ผ่าน ถ้าเทียบความเข้มข้นของตัวละคร และการทำการบ้านหนัก 

A: ตอนที่เป็นปีย์แสง (ในละครสงครามนักปั้น 1 และ 2 ) อาจจะเจอแม่ที่ตัวละครคิดว่า ทำไมถึงไม่รักเรา แต่เขาก็มีเหตุผลให้เรา มันก็ยังไม่ได้เป็นปมหนักขนาดท็อป (ในละครเลดี้บานฉ่ำ) ส่วนมาเป็นเรืออากาศโท รวิศ (ในละครภาตุฆาต) ชอบแฟนคนเดียวกันกับพี่น้อง ซึ่งรู้แค่ว่าเป็นเพื่อนสนิท ก็ไม่ถือว่าเป็นปมอะไร ยังไม่มีปมไหนที่ต้องทำการบ้านหนัก อาจต้องฝึกการพูดจา ท่าทาง และการเป็นทหาร 

แต่สำหรับเลดี้บานฉ่ำ ตัวละครท็อปมันยากที่จะยอมรับในสิ่งที่พ่อเป็น ถามว่าเขาลืมได้ไหม เขาพยายามลืม เพราะว่าแม่เป็นคนบอกทุกอย่างว่าแม่ให้อภัย หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ผลสุดท้ายสิ่งที่เขามาเจอมันก็ยังเป็นปมย้ำที่ว่า พ่อเขามีแฟนเป็นผู้ชาย หอมแก้มกันต่อหน้าเรา แต่ท็อปก็ยังรับไม่ได้กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเลยเป็นตัวละครที่ยาก

Q: เรื่องนี้ประกบกับนำแสดงตัวใหญ่ทั้งนั้นเลย...

A: ผมต้องคลุกคลีกับพี่ ๆ ทุกคน ต้องรีบทำลายกำแพงตัวเองให้หมด ต้องอ่อนน้อมและเข้าไปถึงตัวงานให้ได้ ผมพยายามทำแบบนั้น อย่างพี่วิลลี่คือ พ่อและแม่ในคนคนเดียวกัน เราขอคำปรึกษาเขาว่าจะเอาอย่างไรดีครับซีนนี้ ต้องเล่นแบบไหน ผมลองแบบนี้นะ หรืออย่างพี่โก๊ะตี๋ และอีกหลายท่าน เขาใส่มุกตลกแบบอิมโพรไวซ์ หรือมุกสดแทรกมาตลอด บางทีเราไม่เคยเล่น Comedy ผมก็มีหลุดขำประจำ

.

Q: ร่วมงานกับ มารี เบิร์นเนอร์ เป็นยังไงบ้าง

A: พี่มารี เบิร์นเนอร์ เป็นคนเก่ง และ น่ารักครับ ถึงจะเห็นเขาอยู่ในวงการมาสักพัก แต่ไม่เคยร่วมงานด้วยเลย พยายามทำลายกำแพง พยายามสนิทกับเขาให้เร็วที่สุด เพราะถ้าเราไม่สนิทกัน ตัวละครมันจะไปกันไม่ได้ พยายามรับส่งให้ดีเวลาเล่นด้วยกัน พี่เขาก็ประสบการณ์มากกว่า เขาก็มักจะสอนในสิ่งที่ดี ๆ ตรีลองพูดอย่างนี้สิ ลองคิดอย่างนี้ เราก็ฟังเขาตลอด แต่ว่าถ้าบางอย่างเราไม่เข้าใจ พี่ลองแบบนี้ดีกว่าไหม ก็ลองเล่นดู แล้วก็พากันไปครับ พากันไปทั้งคู่ รับส่งกันอย่างดี

Q: ในช่อง ONE ตรีปลาบปลื้มใครบ้าง

A: ผู้หญิงที่ผมร่วมงานมาก็พวกแม่ ๆ ทุกคน ผมก็ปลาบปลื้มหมดนะครับ พี่แหม่ม พี่เกด เพราะว่าเขาเก่ง เป็นคนมีฝีมือมาก มีสมาธิ อย่างผู้ชาย พี่กัปตัน พี่ดอม ทุกคนที่เราทำงานด้วยเก่งหมด อย่างนางเอก เลดี้บานฉ่ำ พี่มารี ผมร่วมงานด้วยแล้วผมรู้สึกว่าแบบ โอ้โฮ เขาเก่งทั้งในจอและนอกจอ คือเป็นคนมีความคิดที่ดี คนเรามีความคิดบวก คนก็จะอยากอยู่ด้วย อยากร่วมงานด้วยครับ

Q: แล้วถ้าเป็นระดับสากลล่ะในโลกนี้ ตรีชอบซูเปอร์สตาร์คนไหนบ้าง 

A: ถ้าเป็นเกาหลี ผมก็ชอบลีมินโฮ, คิม อูบิน, แบ ซูจี อย่างนี้ผมก็ชอบ เวลาที่เล่น ข้างนอกไม่จำเป็นต้องเยอะ แต่ข้างในเยอะมาก ผมก็ดูเป็น Reference ตลอด แล้วก็ล่าสุดนี่เลย Who Came From The Star นั่นก็เก่ง คือเราก็ดูทุกคนเป็นไอดอลเรา ดูถือว่าเป็นอาจารย์ ดูวิธีที่เขาถ่ายทอดอารมณ์ ส่วนถ้าเป็นสากล ผมชอบ คริสเตียน เบล และก็ นางเอก Me Before You เอมิลี คลาก ถ่ายทอดอารมณ์แบบสุดยอด ร้องไห้เลย

Q: พอเป็นนักแสดงแล้ว เวลาเสพอะไร มันจะล้นกว่าชาวบ้านเขา จริงไหม

A: จริงครับ การเป็นนักแสดงเวลาเสพอะไร มันต่างไปนะ Emotion เนี่ยมันรับง่ายกว่าคนอื่น ๆ อยู่แล้ว บางทีพูดปุ๊บเรารู้สึกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในชีวิตส่วนตัว หรืองาน เอ้อ...ทำไมเรารับเข้ามาง่ายจัง แต่ผมก็ศึกษาดูวิธีเล่น เฮ้ย ทำแบบนี้ได้ไง เล่นแบบนี้ได้ไง มันกลายเป็นคนละมุมมองเลย เวลาเรามายืนจุดนี้ เราดูว่าเขามีวิธีอย่างไร เขาคิดอย่างไร ทำไมเก่งจัง

Q: สมมุติว่าวันนี้ไม่ได้เป็นนักแสดง ตรีจะทำอะไรอยู่ที่ไหน

A: ก็คงไปใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป อาจจะทำงานที่บ้าน ขายตั๋วเครื่องบิน ทำงานทัวร์ครับ แล้วช่วงนี้ก็อาจจะแย่หน่อย หรืออาจจะเปิดร้านอาหาร หรือทำแบรนด์เสื้อผ้า ก็คิดอยู่ว่าจะทำ เพราะว่าเราก็เป็นคนชอบแต่งตัวอยู่แล้ว หรือว่าอาจจะเป็น Programmer ก็ได้ Gamer ก็ได้นะ แนวนี้ 

Q: ตัวเรามีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น ๆ อีก ที่ทำอยู่

A: ผมชอบสวดมนต์ ไหว้พระ มันทำให้จิตใจเราสงบ และกินมังสวิรัติ ทุกวันพระ กินมา 3 - 4 ปี แล้วครับ ทำเอง โดยไม่มีใครบังคับ และไม่ได้บนอะไรด้วยนะครับ เดือนนึง 4 ครั้ง มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง ทำแล้วสบายตัวสบายใจ

Q: มุมพักผ่อน อย่างการท่องเที่ยว ล่ะ

A: อยากไปมากกก ช่วงนี้ไม่มีเวลาเลย ชอบอยู่ในธรรมชาติ อากาศเย็น ๆ ไปนั่งอยู่เฉย ๆ ได้พักจริง ๆ มีโลกของตัวเอง ไม่ต้องคิดอะไร บางทีเราอาจเป็นคนที่ไม่ค่อยให้กำลังใจตัวเอง เวลาเราเจออะไรชอบแบบกดเข้าไปกว่าเดิม กดให้มันยิ่งแย่ผมว่า เราต้องหัดให้กำลังใจตัวเองเยอะ ๆ 

Q: มันมากจากว่าสิ่งที่ผสมปนเปอยู่ระหว่างอารมณ์ตัวละคร กับ ชีวิตเรา หรือเปล่า

A: ใช่ครับ... บางทีกลับมาบ้าน นิ่ง ๆ แม่ถามเป็นอะไรหรือเปล่า ผมไม่รู้ตัวครับ มีอารมณ์ขึ้นลงแบบสวิงตลอดเวลา บางทีเราอาจจะไม่ได้แย่มาก ๆ แต่เราดูไม่เหมือนปกติ คนใกล้ชิดจะรู้ แล้วก็ต้องบอก ผมขอโทษนะที่แสดงออกผิดปกติ ต้องขอโทษ

.

Q: ในกรุงเทพฯ แฟน ๆ จะเจอตรีได้ที่ไหนบ้าง

A: ยากเลยครับ คงไม่เจอ ผมไม่ค่อยไปไหนเลย ชอบอยู่บ้านครับ แล้วก็ไปฟิตเนส ส่วนกินก็กินที่บ้าน หรือว่าถ้าโอกาสพิเศษจริง ๆ ก็ออกไปกินร้านทั่ว ๆ ไป อ้อ ถ้าเจอผมได้ ก็ที่ตึกแกรมมี่ครับ แล้วก็ที่กองถ่าย (หัวเราะ)

Q: เรื่องที่คนอื่นไม่รู้เกี่ยวกับตรี...

A: ตอนเด็ก ๆ ผมเคยโดนผู้หญิงบอกเลิกด้วยข้อหาว่า ผมเตี้ยเกินไป (หัวเราะ)

Q: เดี๋ยวก่อน! ขอโทษ ตอนนี้คือ 180+ นะ

A: แล้ววันนึง มันสูงเอง มันบังเอิญสูงเอง (หัวเราะ)

Q: คนแบบไหนที่จะไปเดต ไปสนุก ไปอยู่ด้วยกันหลาย ๆ วันได้

A: ผมว่ามันต้องอยู่ที่ความเข้าใจเหนือสิ่งอื่นใด เพราะว่าถ้าเรามองแค่หน้าตา อยู่ไปเรื่อย ๆ หน้าตาก็เฉย ๆ มันต้องเข้าใจกัน แล้วก็มีไลฟ์สไตล์ที่คล้าย ๆ กัน 

Q: ชอบอยู่กับคนแบบไหน

A: ผมชอบคนเก่ง ชอบคนทำงาน ชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วมันมีพลังบวก เพราะเราชอบเป็นพลังบวกให้เขาด้วย แล้วยิ่งอยู่บวกกับบวกมันยิ่งดี ผมชอบแบบนี้

.

Q: ถ้ามีเวลาเหลือแค่ 10 วัน อยากทำอะไรกับใคร ยังไงบ้าง

A: ขออยู่กับแม่ครับ อยู่กับคนที่เรารักจริง ๆ จะอยู่กับเขาให้นานที่สุด อยู่เพื่อใช้เวลากับเขาครับ อาจพาเขาไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้พาไป ชดเชยในสิ่งที่เราอาจเคยทำไม่ดีกับเขา อยากทำให้เขามีความสุขที่สุด สิ่งเดียวที่ทำให้เรามีความสุขอยู่ตอนนี้ก็คือ คุณแม่ และครอบครัว เป็นสิ่งเดียวที่ยึดจิตใจผม ผมอยากใช้เวลากับคุณแม่ให้มากที่สุด อันนี้พูดจริง ๆ จากใจ

Q: ในฐานะที่เป็นคนในอาชีพนักแสดง อยากบอกอะไรกับผู้คนในสังคมทุกวันนี้บ้าง

A: ขอให้รับฟังในสิ่งที่คนที่มีประสบการณ์มาก่อน ผ่านวันเวลามาก่อนเรา อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่อยากให้รับฟังก่อน อยากให้เชื่อกันก่อน เพราะบางอย่างที่เรายังไม่เจอ เราไม่รู้หรอกมันจะเป็นอย่างไร อันนี้คือสิ่งที่ผมบอกตัวเองเสมอว่า ต้องรู้จักรับฟัง 

.

ติดตามงานละคร เลดี้บานฉ่ำ ที่กำลังออนแอร์อยู่ทาง ช่อง one 31 ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.15-22.45 น. และผลงานอื่นๆ ของตรี ได้ที่ Instagram: treporapat  / Twitter: treporapat


เรื่อง ณัฐพล ช่วงประยูร 

ภาพ ณัฐ์วริทธิ์ วรรธนะพินทุ

 

ปัญหา 'ช่องว่างระหว่างวัยในที่ทำงาน' แก้ได้

หลายคนเคยวาดฝัน ว่าเมื่อฉันเรียนจบไปแล้ว ฉันจะเดินเข้าสู่ที่ทำงานทันสมัย ใหม่ ๆ ดี ๆ เท่ ๆ คูล ๆ บลา ๆๆๆ ทว่าตัดกลับมาในฉากชีวิตจริง วันแรกของการทำงาน คือบริษัทเก่าซูเปอร์โบราณ แถมยังมีหัวหน้างานที่แทบจะยกมือไหว้เรียก...คุณพ่อ!!

เป็นธรรมดา ภาพฝันกับภาพความจริง มักไม่ค่อยแนบสนิทชิดเป็นภาพเดียวกันสักเท่าไร แถมหนำซ้ำ การมีหัวหน้าเป็นคุณพ่อ เอ้ย! การมีหัวหน้าอายุคราวคุณพ่อ ยังทำให้หลายคนต้องพกแผงยาพาราเซตตามอลไว้บนโต๊ะตลอดเวลา เพราะต้องกินแก้ปวดหัว จากปัญหาการสื่อสารด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจ หรือไม่ก็เป็นการสั่งงานที่เชื่องช้า ทุก ๆ งาน ทุก ๆ อย่าง มักต้องเริ่มจากนับหนึ่งเสมอ พอจะแนะนำอะไรไป ก็ทำหน้างงใส่ แถมพูดเสียงแข็ง 'นี่ผมเป็นหัวหน้าคุณนะ!'

เจอ 'ปัญหา' ที่เรียกว่า หัวหน้าแก่แบบนี้ หลายคนตั้งธงในใจ ได้งานใหม่เมื่อไร 'กรูไปแน่!!'

ใจเย็น ๆ ก่อนครับ ชะลออารมณ์เบื่อหน่าย แล้วมาตรึกตรองกันดูดี ๆ เสียก่อน 

เริ่มต้นที่คำว่า 'ปัญหา' มองกันให้ชัด ๆ ว่าปัญหาจริง ๆ คือ หัวหน้างานที่แก่ หรือว่าที่จริงแล้ว เป็นเราเองที่แก่? 

'แก่' ในที่นี้ หมายความว่า ใจเราเองหรือเปล่า ที่เหมือนคนแก่ ที่ไม่ยอมเปิดรับ ภาษาอังกฤษเรียก ไม่ 'Open Mind' คอยตั้งกำแพงกับสิ่งที่หัวหน้าบอกหรือพูดอยู่หรือไม่ ลองทุบกำแพง หรือแม้แต่แง้มประตูออกสักนิด ไม่ต้องเปิดมากก็ได้ เปิดพอให้ 'มุมมองที่แตกต่าง' ได้เข้ามาในสมองและความคิดของเราดูบ้าง 

บางทีอะไรที่มันเคยไม่ใช่ พอมองดี ๆ มันกลับกลายเป็นความลงตัวขึ้นมาก็เป็นได้ รถยนต์มีคันเร่งให้เหยียบไปได้เร็วปรู้ดปร้าด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเหยียบคันเร่งเร็วแบบนั้นเสมอไป ผ่อนลงมาบ้าง จะได้เห็นอะไร ๆ ที่แตกต่างตั้งมากมาย 

ยิ่งเมื่อเราผ่อนคลาย ช่องว่าง (Gab) ระหว่างเรากับหัวหน้า ที่เคยห่างไกลลิบ ๆ ก็จะค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ไม่ต้องห่วงนะว่าจะดูเหมือนว่าเรายอมเขา เพราะหากว่าเขาเป็น 'หัวหน้างานที่ดี' เขาจะปรับท่าที และขยับเข้าหา เพื่อเรียนรู้กันและกันมากขึ้น

ปัญหาเรื่องอายุที่ห่างกัน หากมองในแง่ดี ยิ่งเราอายุห่างจากหัวหน้างานมากเท่าไร เราก็จะได้ 'ประสบการณ์' มากขึ้นเท่านั้น และจงเชื่อเถอะว่า ไม่มีประสบการณ์ไหนที่เก่า หรือเป็นประสบการณ์หมดอายุ ใช้งานไม่ได้ เพราะประสบการณ์คือตัวแปรของความรอบคอบ รอบคอบในการทำงาน รอบคอบในความคิด ในการตัดสินใจ แล้วที่สำคัญ ประสบการณ์ไปหาซื้อตามห้างสะดวกซื้อที่ไหนไม่ได้ ซึ่งบางที มันอยู่ที่ 'หัวหน้างาน' ของเรานี่ล่ะ

ไม่มีใครเริ่มต้นงานแล้วสามารถเป็นหัวหน้างานได้ทันที เมื่อก่อนคนที่เคยเป็นหัวหน้า ก็ต้องเคยเป็นลูกน้องมาก่อนทั้งนั้น เหมือนกับเราในตอนนี้ที่กำลังเป็นลูกน้อง แต่วันหนึ่ง เราก็จะขึ้นไปเป็นหัวหน้าแทนบ้าง แล้ววันนั้น เราก็จะมีลูกน้องมองเราว่า 'แก่' เพียงแต่ถ้าเราเข้าใจในการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านนี้ สุดท้าย..เราจะสามารถยิ้มให้กับเจ้าลูกน้องคนนั้นได้อย่างสบายใจ

เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ตื่นเช้าก่อนเข้าออฟฟิศ ซื้อขนมปัง ปาท่องโก๋ ไปฝากคนแก่ เอ้ย! ไปฝากหัวหน้าสักหน่อยแล้วกัน แล้วอะไร ๆ จะดีขึ้นแน่นวล...   

อย่าเสีย ‘เพื่อน’ เพียงเพราะ ‘การเมือง’

ไม่มีสถานการณ์ไหนจะร้อนแรงเฟร่อเท่าเรื่องมุมมองทางการเมือง โดยเฉพาะมุมมอง ‘ที่เห็นต่าง’

 

พฤติกรรมหนึ่งที่หลายคนเคยเจอ คือการได้อ่านสเตตัสในมุมมองตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองคิด (หรือชื่นชอบ) อ่านมากๆ แล้วก็คันหัวใจ คันปาก และคันนิ้ว ต้องพิมพ์ใส่ในคอมเม้นเพื่อเถียง พอเถียงไป เขาก็เถียงกลับ งั้นเถียงต่อ มันก็เถียงกลับมาอีก เริ่มซัดกันนัว ระอุ ดุเดือด รู้ตัวอีกที ‘อ้าว! นี่เพื่อนกรูเอง!’

 

บรรยากาศตอนนี้ เราทะเลาะกับเพื่อน หรืออิหยังวะกับเพื่อน เพราะเรื่องการเมืองกันมากมาย ไม่รู้มีโพลสำนักไหนเคยไปทำแล้วหรือยัง แต่เชื่อว่า พฤติกรรมยอดฮิตกับเรื่องเห็นต่างทางการเมืองที่มาเป็นอันดับ 1 คือ การกด Unfriend (เพื่อนซะเล้ย!)

 

กด Unfriend ทำไม?

 

กดเพื่อให้รู้ว่า โกรธ ไม่พอใจ ไม่ชอบที่แกคิดไม่เหมือนกับฉัน เป็นชั่วอารมณ์แวบเดียวที่อยากจะแสดงความไม่พอใจใส่เพื่อน แต่พอรู้ตัวอีกที อ้าว! ยุ่งล่ะ พรุ่งนี้เดี๋ยวก็ต้องไปเจอมันที่โรงเรียน ที่มหา’ลัย หรือที่ทำงาน แล้วฉันจะทำตัวยังไง ฉันจะมองหน้าแกยังไง เคยมีเคสหนักๆ กำลังจีบหญิงที่หมายปอง แต่ฝ่ายหญิงดันอยู่คนละขั้วการเมือง ไปเผลอกด Unfriend งานนี้จบ!

 

จะบอกว่า เรื่อง Unfriend ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอันใดหรอก ด้วยยุคสมัยนี้ มันมีพื้นที่ที่ทำให้เราไม่ต้องไปเจอกันต่อหน้า เราถึงแสดงออกผ่านทางโลกเสมือนจริง ใช้สัญลักษณ์บางอย่างเพื่อแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ มันก็ดีที่ไม่ต้องมาทะเลาะกันแบบตรงๆ แต่ในมุมกลับกัน มันก็ทำให้เราใจร้อน ใจเร็ว ตัดสินใจด้วยอารมณ์แค่แวบเดียว

 

เพื่อนบางคนคบกันมา 10-20 ปี เคยทะเลาะกับมันมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งเมื่อได้พูดคุย ขอโทษขอโพยกัน (ด้วยเสียงและการเจอตัวเป็นๆ) ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนก็ยังอยู่คงเดิม แต่พอมีสื่อโซเชี่ยลมีเดียที่ไม่ต้องทำให้เราเจอกันตรงๆ แบบเห็นหน้า เราก็หาได้แคร์เพื่อนไม่ เขียนอะไรไม่เข้าหูเข้าตา กด Unfriend แม่มซะเลย!

 

ถามว่าแล้วจะให้ทำยังไงถ้าไม่กด Unfriend?

 

ก็ปุ่มในโซเชี่ยลมีตั้งเยอะ ลองกด Hide ไหม? หรือกด Unfollow ไปสักพักก็ได้ วิธีนี้ช่วยได้ทั้งเราและเพื่อน คือเราจะไม่เห็นสเตตัสการเมืองของเพื่อนให้รำคาญใจ และเพื่อนก็ไม่ต้องมารู้ว่าเราหงุดหงิด ความน่าแปลกใจต่อจากนั้นก็คือ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เราจะลืมไปเลยว่าเคยทำอะไรไว้ แล้ววันหนึ่งจู่ๆ ก็นึกถึงสเตตัสของเพื่อนขึ้นมา ‘เออ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นมันโพสต์บ้าๆ บอๆ อะไรเลยเน๊อะ’ ก็แหงสิ! เราไป Unfollow เขาอยู่พักใหญ่จนลืม เมื่อนึกขึ้นมาได้อย่างนั้น เราก็จะกลับไปติดตามเพื่อนดังเดิม (ด้วยความคิดถึง)

 

ปัญหาบางอย่าง อยู่ที่เราจัดการกับมันอย่างไร และที่สำคัญ มันยังฝึกให้เราเติบโตขึ้น โตด้วยวิธีคิด โตด้วยสติ และโตด้วยปัญญา  โลกโซเชี่ยลเหมือนการบ้านโจทย์ใหญ่ ที่ให้เราได้เรียนรู้ ได้แก้ปัญหา และได้เห็นการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของมัน มองอย่างเข้าใจ และมองให้เป็นประโยชน์ เราก็จะได้ประโยชน์จากมัน

 

ส่วนเรื่องการเมืองกับเพื่อนนั้น บางทีไม่ต้องคิดซับซ้อนเหมือนโลกโซเชี่ยล ถามง่ายๆ ว่า การเมืองอยู่กับเรามากี่ปี? แล้วเพื่อนอยู่กับเรามากี่ปี? เพื่อนยืมเงินได้ พาไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงเหล้าได้ แต่การเมืองพาเราไปแบบนั้นได้ไหม ยืมเงินการเมืองได้ไหม แล้วที่สำคัญ การเมือง (ที่เราชื่นชอบ) ก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เพราะสักวันหนึ่ง ตัวละครใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้น

 

แต่สำหรับเพื่อน เป็นตัวละครในชีวิตที่จะอยู่กับเราไปจนวันตาย...

 

 

   


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top