Tuesday, 16 April 2024
INFO

เปิดประวัติ 3 ผู้สมัคร ชิง 'ประธานาธิบดี' ไต้หวัน

‘ไต้หวัน’ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งสมาชิกสภาในวันที่ 13 ม.ค.นี้ และจะได้ผู้นำคนใหม่ต่อจากประธานาธิบดีไช่ อิงเหวินที่ดำรงตำแหน่งมา 2 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2559 จึงไม่สามารถลงเลือกตั้งได้อีกตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันโดยตรงครั้งที่ 8 ในวันเสาร์นี้ (13 ม.ค.) มีผู้สมัคร 3 คนจาก 3 พรรคการเมือง คนแรกคือนายไล่ ชิงเต๋อ วัย 64 ปี รองประธานาธิบดีไต้หวันและประธานพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าหรือดีพีพี (DPP) ที่เป็นพรรครัฐบาล เขาชูนโยบายคงสถานภาพปัจจุบันในช่องแคบไต้หวัน ไม่เปลี่ยนชื่อสาธารณรัฐจีน ซึ่งเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของไต้หวัน ไม่ยั่วยุหรือทำเรื่องเสี่ยง แต่ไม่ยอมรับการที่จีนอ้างอธิปไตยเหนือไต้หวัน และพร้อมเจรจากับจีน นายไล่มีประสบการณ์การทำงานราชการมานาน เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา นายกเทศมนตรีเมืองไถหนาน และนายกรัฐมนตรี ผู้สมัครคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของเขาคือ นางเซียว เหม่ยฉิน วัย 52 ปี อดีตผู้แทนไต้หวันประจำสหรัฐปี 2563-2566

ผู้สมัครคนที่ 2 คือ นายโหว โหย่วอี๋ วัย 66 ปี จากพรรคก๊กมินตั๋งที่เป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนิวไทเปคนที่ 2 มาตั้งแต่ปี 2561 และเคยเป็นอธิบดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติปี 2549-2551 เขาชูนโยบายฟื้นการเจรจากับจีน เริ่มด้วยการเจรจาในระดับล่าง เช่น การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม แต่ไม่ยอมรับรูปแบบการปกครอง 1 ประเทศ 2 ระบบของจีน และคัดค้านอย่างแข็งขันเรื่องการแยกไต้หวันเป็นเอกราช ขณะเดียวกันจะส่งเสริมการปกป้องไต้หวันและคงความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐ ผู้สมัครคู่ของเขาคือ นายจ้าว เส้าคัง วัย 73 ปี อดีตผู้ดำเนินรายการวิทยุและโทรทัศน์ที่ตนเองเป็นเจ้าของ

ผู้สมัครคนที่ 3 คือ นายเคอ เหวินเจ๋อ วัย 64 ปี อดีตนายกเทศมนตรีกรุงไทเปปี 2557-2565 และประธานพรรคประชาชนไต้หวันหรือทีพีพี (TPP) ที่เขาตั้งขึ้นในปี 2562 เป็นศัลยแพทย์ที่ชูนโยบายเรื่องปากท้อง เช่น ราคาบ้านสูง จึงมีฐานเสียงเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาว เขาอ้างตัวว่าเป็นผู้สมัครคนเดียวที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง และจะเจรจากับจีนต่อเมื่อจีนเคารพประชาธิปไตยและวิถีชีวิตของชาวไต้หวัน ผู้สมัครคู่ของเขาคือ นางซินเธีย อู๋ หรืออู๋ซินหยิง วัย 45 ปี อยู่ในตระกูลที่เป็นเจ้าของซินกวงกรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจหลากหลายอย่างในไต้หวัน 

ส่อง 5 อันดับต่างชาติเที่ยวไทย ‘มากที่สุด’ ตั้งแต่ 1-7 ม.ค. 67

เมื่อวานนี้ (10 ม.ค. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ติดตามสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยตามที่สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1-7 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยทั้งสิ้น 605,537 คน โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่เปิดศักราชใหม่มาได้เพียง 7 วัน ประเทศไทยมีสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจมาท่องเที่ยวกว่า 6 แสนคน และนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ถือเป็นข่าวดีของการท่องเที่ยวไทย พร้อมย้ำเดินหน้ากระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยตลอดปีด้วยมาตรการวีซ่าฟรีแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ มั่นใจจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวไทยในปี 2567  

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงรายงานของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยทั้งสิ้น 605,537 คน นั้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 

อันดับ 1 จีน 81,854 คน 
อันดับ 2 มาเลเซีย 64,053 คน 
อันดับ 3 รัสเซีย 51,467 คน 
อันดับ 4 เกาหลีใต้ 43,894 คน 
อันดับ 5 อินเดีย 30,203 คน 

ด้านภาพรวมสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาลดลง 184,106 คน หรือลดลง 23.32 % จากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงของนักท่องเที่ยวเกือบทุกตลาด เนื่องจากเสร็จสิ้นการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ในสัปดาห์ก่อนหน้า รวมถึงนักท่องเที่ยวตลาดหลักที่ลดลงด้วยเช่นกัน สำหรับสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือวีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน การขยายเวลาพำนักแก่นักท่องเที่ยวรัสเซีย และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลในกลุ่มที่เดินทางหลังเทศกาลปีใหม่

“รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะผลักดันและขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักและเป็นความหวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยนายกรัฐมนตรีได้ตั้งเป้าหมายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวปี 2567 ให้ได้ 3.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ 1.2 ล้านล้านบาท จากเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทย 205 ล้านคน-ครั้ง และรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.3 ล้านล้านบาท จากเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 35 ล้านคน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และประชาชนชาวไทย ร่วมกันผลักดันให้เป้าหมายดังกล่าวบรรลุผลสำเร็จ 

โดยในส่วนเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น รัฐบาลจะเดินหน้ากระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ด้วยมาตรการวีซ่าฟรีแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง จากปี 2566 ที่รัฐบาลออกมาตรการวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจาก 60 ประเทศ/ดินแดน และในปี 2567 คาดว่าจำนวนประเทศ/ดินแดนที่ได้รับวีซ่าฟรีจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการอำนวยความสะดวกการเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย และดึงดูดใจนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว โดยเชื่อมั่นว่ามาตรการวีซ่าฟรีจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทยตลอดปี 2567” นายชัย กล่าวทิ้งท้าย

มหาวิทยาลัยไทย อยู่อันดับไหนในโลก - อาเซียน ประจำปี 2024

จากข้อมูลของ Quacquarelli Symonds (QS) หรือ QS World University Rankings องค์กรผู้ให้ข้อมูลในด้านการศึกษาและการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เปิดเผยข้อมูลว่า มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology (MIT) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ติดอันดับ 1 ของโลก ตามมาด้วย University of Cambridge ของประเทศอังกฤษ ติดอันดับที่ 2 ในปี 2024

ส่วนของไทยก็มี 2 มหาวิทยาลัย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ติดท็อป 500 ในระดับโลก ขณะเดียวกัน จุฬาฯ ยังติดอันดับ 8 ในอาเซียนอีกด้วย

‘เมืองไทย’ ไม่หลุดโผ!! ประเทศที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในโลก ปี 2023

หลังจากโควิด-19 ซาลง ‘นักท่องเที่ยว’ ส่วนใหญ่มั่นใจที่จะเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อเดินทางหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในประเทศที่ไม่คุ้นเคย สำหรับ ‘ประเทศไทย’ ของเรา เดิมทีก็ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘หมุดหมาย’ สำคัญที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอยากมาเยือนอยู่แล้ว และเมื่อมรสุมเชื้อโรคอย่างโควิดเบาบางลง ก็ไม่แปลกที่ต่างชาติจะรีบ ‘ตรงดิ่ง’ มาเที่ยวไทยทันที เฉกเช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วโลก

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 20 ประเทศที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในโลก ประจำปี 2023 มาไว้ให้แล้ว แน่นอนว่ามี ‘ประเทศไทย’ ติดโผอยู่ด้วยแน่นอน แต่จะอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ มาดูกัน!!

10 อันดับ 'แบรนด์เบียร์' ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกประจำปี 2023

ข้อมูลจากบริษัทวิจัย ฟอร์จูน บิสซิเนส อินไซต์ (Fortune Business Insight) ระบุว่า ตลาดเบียร์ทั่วโลกในปี 2022 มีมูลค่าประมาณ 793,374 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปี 2023 มีมูลค่าประมาณ 821,390 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเป็น 1,072,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030

... ว่าแต่ 'เบียร์' ใด ที่ร้อนแรงที่สุดประจำปีที่ผ่านมา ลองเช็กดูจาก 10 อันดับ 'แบรนด์เบียร์' ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกในประจำปี 2023 กันดู

เช็กลิสต์!! พลังงาน 'ยุคพีระพันธุ์' ช่วยใครไปแล้วบ้าง?

(3 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาความเดือดร้อนจากค่าก๊าซ NGV ที่มีราคาสูงขึ้นจนกระทบผู้ประกอบการรถบรรทุก รถสาธารณะ และรถแท๊กซี่ ว่า…

ตามที่พี่น้องผู้ประกอบการรถบรรทุก รถสาธารณะ และรถแท๊กซี่ได้มาร้องเรียนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาให้ผมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากค่าก๊าซ NGV ที่มีราคาสูงขึ้นจนกระทบการประกอบอาชีพนั้น 

ผมได้ตั้งคณะทำงานดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา โดยท่านประธานที่ปรึกษา ณอคุณ สิทธิพงศ์ เป็นประธานและทำข้อเสนอไปยังบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และคณะกรรมการบริษัท ปตท. โดยปลัดกระทรวงพลังงาน ท่านประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ในฐานะประธานบอร์ด ปตท. พิจารณามีมติเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอไป นับเป็นของขวัญปีใหม่อีกชิ้นสำหรับพี่น้องผู้ประกอบการรถแท๊กซี่ รถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุก และรถทั่วไป ตามรายละเอียดดังนี้

1.รถแท๊กซี่ 
ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือราคา NGV สำหรับผู้มีบัตรสิทธิประโยชน์อยู่แล้ว โดยแบ่งเป็นสองระยะดังนี้

-ระยะที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 - วันที่ 30 มิถุนายน 2567 จำหน่ายก๊าซ NGV ที่ราคา 14.62 บาทต่อกิโลกรัม

-ระยะที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 - วันที่ 31 ธันวาคม 2568 จำหน่ายก๊าซ NGV ที่ราคา 15.59 บาทต่อกิโลกรัม

ขณะเดียวกันก็เปิดให้มีการสมัครบัตรสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในเดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2567 โดยผู้ที่สมัครสิทธิประโยชน์ใหม่ในช่วงนี้จะสามารถซื้อก๊าซในราคาเดียวกับผู้ที่มีบัตรสิทธิประโยชน์เดิมได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ปตท. จะพิจารณาเพิ่มวงเงินซื้อก๊าซ NGV จากเดิม 10,000 บาทต่อเดือนต่อคัน เป็นวงเงิน 12,000 บาทต่อเดือนต่อคัน

2.รถโดยสารสาธารณะ
-ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือราคา NGV สำหรับผู้มีบัตรสิทธิประโยชน์อยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 จำหน่ายก๊าซ NGV ที่ราคา 18.59 บาทต่อกิโลกรัม

-เปิดรับสมัครบัตรสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม สำหรับรถโดยสารสาธารณะ หมวด 1 และ หมวด 4 ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567

-ให้การช่วยเหลือราคาก๊าซ NGV ดังนี้

*รถหมวด 1 และหมวด 4 (กทม.) แบ่งเป็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 จำหน่ายในราคา 14.62 บาทต่อกิโลกรัม และวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่  31 ธันวาคม 2568 จำหน่ายที่ราคา 15.59 บาทต่อกิโลกรัม

*รถหมวด 2 และ 3 (ต่างจังหวัด) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์เดิม ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 จำหน่ายที่ราคา 18.59 บาทต่อกิโลกรัม

โดยมีวงเงินช่วยเหลือรถขนาดเล็กที่ 10,000 บาทต่อเดือนต่อคัน และรถขนาดใหญ่ที่ 40,000 บาทต่อคันต่อเดือน

3.รถบรรทุก
-เปิดรับสมัครรถบรรทุกที่ร่วมโครงการรณรงค์ความปลอดภัย โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

-ให้ส่วนลดราคาจำหน่ายก๊าซ NGV เป็นระยะเวลา 6 เดือน  หลังจากการรับสมัครแล้วเสร็จ โดยแบ่งเป็นสถานีนอกแนวท่อ ให้ส่วนลดประมาณ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาประกาศสถานีบริการ และสถานีแนวท่อให้ส่วนลดประมาณ 1 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาประกาศสถานีบริการ

-เมื่อการช่วยเหลือครบ 6 เดือนแล้ว ราคาขายปลีกก๊าซ NGV จะเป็นตามโครงสร้างราคา

4.รถทั่วไป
ขยายระยะเวลาการช่วยเหลือราคาก๊าซ NGV ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 โดยจำหน่ายก๊าซ NGV ที่ราคา 19.59 บาทต่อกิโลกรัม หลังจากนั้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV จะเป็นไปตามโครงสร้างราคาเพื่อให้สอดคล้องกับรถบรรทุก

2023 เหตุการณ์ต้องจำ

ในปี 2023 นี้ มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีตั้งแต่เรื่องน่ายินดี ไปจนถึงเรื่องสลดน่าเสียใจ วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวม 12 เหตุการณ์ที่ต้องจดจำ ในปี 2023 จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย!! ✨

บุคคลแห่งปี 2023 Time To Be Proud

รวม 12 บุคคลแห่งปี 2023 ที่ THE STATES TIMES อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ” ✨👍🏻👏🏻


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top