Thursday, 27 March 2025
INFO

เจาะธุรกิจ 10 มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 2025

(6 ก.พ. 68) เปิดปี 2025 มาพร้อมกับการแข่งขันด้านความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีระดับโลก ที่ยังคงกอบโกยทรัพย์สินกันแบบไม่มีหยุด ใครที่เคยคิดว่าเศรษฐีเหล่านี้รวยแล้ว แต่ขอบอกเลยว่าปี 2025นี้คนเหล่านี้ยังรวยขึ้นอีก เรามาดูกันว่า 10 คนที่รวยที่สุดในปีนี้ มีใครบ้าง และพวกเขาทำเงินจากธุรกิจอะไรกัน

อันดับ 1. Elon Musk – 437,000 ล้านดอลลาร์
เจ้าพ่อ Tesla และ SpaceX ยังครองบัลลังก์มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ด้วยการที่ Tesla ยังขายดี SpaceX ก็กำลังบุกอวกาศเต็มตัว และ AI ของเขายังทำเงินได้ต่อเนื่อง มัสก์จึงเป็นคนที่มีทรัพย์สินสูงสุดแบบขาดลอยคู่เเข่งคนอื่น

อันดับ 2. Jeff Bezos – 243,000 ล้านดอลลาร์
แม้จะลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Amazon แต่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและ AWS (Cloud Service) ของเขาก็ยังคงทำเงินไม่หยุด เรียกได้ว่าหายใจทิ้งก็ยังรวยขึ้นในทุกนาที

อันดับ 3. Mark Zuckerberg – 214,000 ล้านดอลลาร์
CEO แห่ง Meta ยังคงทำเงินได้อย่างมหาศาลจาก Facebook, Instagram, WhatsApp และ Metaverse นอกจากนี้ AI และแพลตฟอร์ม VR ของเขายังช่วยผลักดันทรัพย์สินให้พุ่งขึ้นไปอีกด้วย

อันดับ 4. Larry Ellison – 192,000 ล้านดอลลาร์
เจ้าพ่อ Oracle ยังคงเป็นมหาเศรษฐีระดับแนวหน้าของโลก ในยุคที่ Cloud Computing และ AI กำลังมาแรง Oracle ก็ยังเป็นบริษัทที่ช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้ขับเคลื่อนแบบไร้ขีดจำกัด

อันดับ 5. Larry Page – 170,000 ล้านดอลลาร์
หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Google ยังคงได้รับผลประโยชน์จากธุรกิจ Search Engine และ AI รวมถึง Cloud Computing ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

อันดับ 6. Bernard Arnault – 169,000 ล้านดอลลาร์
เศรษฐีสายแฟชั่นและเจ้าพ่อแบรนด์หรู LVMH ก็ตามมาในอันดับที่ 6 เพราะแบรนด์ Louis Vuitton, Dior, Givenchy และสินค้าหรูอื่น ๆ ยังคงขายดีไม่มีตก เทรนด์ของใช้แบรนด์เนมยังคงมาแรง คนพร้อมจ่ายเพื่อความหรูหรา ทำให้เขายังเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลกได้

อันดับ 7. Sergey Brin – 160,000 ล้านดอลลาร์
ผู้ร่วมก่อตั้ง Google อีกรายที่ยังคงครองตำแหน่งเศรษฐีระดับโลก ด้วยการเติบโตของ AI, Search Engine และ Cloud Services เขาจึงยังมีทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อันดับ 8. Bill Gates – 158,000 ล้านดอลลาร์
แม้จะลดบทบาทใน Microsoft แต่ทรัพย์สินของ Bill Gates ก็ยังเพิ่มขึ้นจากการลงทุนใน AI, พลังงานสะอาด และโครงการการกุศล เขายังคงเป็นหนึ่งในคนที่ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลกด้วย

อันดับ 9. Steve Ballmer – 147,000 ล้านดอลลาร์
อดีต CEO ของ Microsoft ยังคงทำเงินได้อย่างต่อเนื่องจาก หุ้น Microsoft และธุรกิจกีฬา (L.A. Clippers) นอกจากนี้ การเติบโตของ Cloud Services และ AI ยังช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของเขาด้วย

อันดับ 10. Warren Buffett – 142,000 ล้านดอลลาร์
เจ้าพ่อการลงทุนยังคงอยู่ใน Top 10 และแม้จะอายุเกือบ 100 ปี แต่พอร์ตการลงทุนของเขายังคงสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องจาก Apple, Coca-Cola, และธุรกิจประกัน

ส่วนการจัดอันดับคนที่รวยสุดในบ้านเราจากการจัดลำดับล่าสุด คงหนีไม่พ้นคุณเฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว เจ้าของร่วมแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ได้ก้าวขึ้นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.32 ล้านล้านบาทค่ะ

ตัด 5 จุด ส่งไฟขายเมียนมา ตัดตอนความเสียหาย 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์'

เมื่อรัฐบาลไทยเอาจริง!! ส่องพื้นที่สำคัญ 5 จุดชายแดนไทย - เมียนมา ที่ สมช. มีคำสั่งให้ตัดไฟฟ้า หวังตัดตอนความเสียหาย ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ มีจุดใดบ้างไปส่องกัน

ระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก ปี 2023

(5 ก.พ. 68) ระบบสาธารณสุขเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่ออายุขัย คุณภาพชีวิต และผลิตภาพทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในปี 2023 ที่ผ่านมา Legatum Institute จึงได้จัดทำ  Legatum Prosperity Index 2023 ขึ้น โดยประเทศสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับให้มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลกจากทั้งหมด 167 ประเทศ โดยวิเคราะห์ผ่านข้อมูลสุขภาพโดยรวมของประชากรและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ เพื่อให้เห็นว่าประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณสุข ค่าใช้จ่าย และประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุขอย่างไร

และเป็นที่น่าประทับใจที่ห้าอันดับแรกของการจัดอันดับในปีนี้ถูกครอบครองโดย ประเทศในเอเชีย ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาด้านสาธารณสุขที่ก้าวหน้าอย่างมาก โดยสิงคโปร์ ครองอันดับที่ 1 และขึ้นชื่อในเรื่องระบบสาธารณสุขที่เป็นแบบผสมระหว่างภาครัฐและเอกชน ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงได้ในราคาที่เหมาะสม ตามมาด้วยญี่ปุ่น (อันดับที่ 2) และ เกาหลีใต้ (อันดับที่ 3) เป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ทันสมัยและมีมาตรการดูแลสุขภาพประชากรสูงวัยที่มีประสิทธิภาพ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอายุขัยเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ในขณะที่เกาหลีใต้มีระบบ National Health Insurance System ที่ครอบคลุมประชาชนทุกคน

ไต้หวันและ จีนก็เป็นอีกสองประเทศที่โดดเด่นที่ตามมาในอันดับที่ 4 และ 5 โดยเฉพาะระบบ single-payer healthcare ของไต้หวันที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในระบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก ส่วนจีนมีการพัฒนาระบบสาธารณสุขของตนเองอย่างรวดเร็ว โดยขยายเครือข่ายโรงพยาบาลและพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าประเทศในเอเชียจะครองอันดับต้นๆ ของรายการ แต่ ยุโรป ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ หลายประเทศติดอันดับ Top 20 เช่นกัน นอร์เวย์ (อันดับที่ 7) และไอซ์แลนด์ (อันดับที่ 8) โดดเด่นในเรื่องระบบสาธารณสุขแบบถ้วนหน้า ที่ให้บริการฟรีหรือในราคาต่ำแก่ประชาชน ส่วน สวีเดน (อันดับที่ 9) และสวิตเซอร์แลนด์ (อันดับที่ 10) มีระบบการเงินด้านสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน 

การจัดอันดับนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของนโยบายรัฐบาล การเงินด้านสาธารณสุข และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยเน้นความสำคัญของ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ประสิทธิภาพ และนวัตกรรม ในการให้บริการทางสาธารณสุขค่ะ  

โดย Top 20 อันดับของโลกประกอบไปด้วยประเทศเหล่านี้ และอย่างบ้านเราที่ก็ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีทางการแพทย์และยังมีแผนที่จะก้าวไปสู่การเป็น Medical Hub อยู่ในลำดับที่ 31 ค่ะ

รายชื่อมหาวิทยาลัยที่ตีพิมพ์งานวิจัยวิทยาศาสตร์

(4 ก.พ. 68) ส่องศักยภาพ มหาวิทยาลัยจีน ที่กำลังมาแรงอย่างมาก หลังพบติดอยู่ใน 10 อันดับแรก ถึง 8 แห่ง ที่มีการมีการตีพิมพ์งานวิจัยวิทยาศาสตร์มากที่สุดในโลก ในกลุ่มสาขา Physical Sciences and Engineering ซึ่งเผยแพร่ในวารสารวิจัยช่วงปี 2019-2022 จากการจัดอันดับของ CWTS Leiden Ranking 2024 

สำหรับ 10 อันดับแรก มีมหาวิทยาลัยใดบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัย ในประเทศไทย ได้คะแนนจากผู้จ้างงานสูง

เว็บไซต์ QS World University Ranking ได้มีการจัดอันดับในหมวดหมู่มหาวิทยาลัยที่ได้คะแนนจากผู้จ้างงานทั่วโลกพึงพอใจมากที่สุด เฉพาะของประเทศไทย

10 อันดับ มหาวิทยาลัยไทย ได้คะแนนจากผู้จ้างงานสูง จบที่นี่มีโอกาสได้งานง่าย

ทีมพัฒนา DeepSeek Al Made in china ทุกคนเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำในจีนล้วน ๆ อายุเฉลี่ย 35 ปี

พลังของคนรุ่นใหม่ ในประเทศจีน!! 

ทีมงาน ‘DeepSeek’ อายุเฉลี่ยแค่ 35 ปี นี่คือ ทีมงานผู้พัฒนา ‘เอไอจีน’ ที่กลายเป็น ‘Talk of the World’ ดังไปทั่วโลก

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล
✨ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

🟢รางวัลที่ 1 รางวัลละ 6,000,000 บาท : 558700

🔴รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท : 558699,558701

🔴รางวัลเลขหน้า 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท : 285,418

🔴รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 4,000 บาท : 824,685

🔴รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท : 51
 

มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง Zhejiang University แหล่งกำเนิดอัจฉริยะ AI แห่ง DeepSeek

ถ้าพูดถึงมหาวิทยาลัยที่ปั้นบรรดาอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีระดับโลก หลายคนอาจจะนึกถึง MIT Stanford หรือ Oxford แต่รู้ไหมว่าในเอเชียก็มีมหาวิทยาลัยที่แข็งแกร่งด้าน AI และเทคโนโลยีไม่แพ้กัน และที่ ๆ เราจะพาไปรู้จักคือ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง Zhejiang University - ZJU หนึ่งในมหาวิทยาลัยระดับ TOP 3 ของจีน และ อันดับ 9 ของเอเชีย ปี 2025 ตามการจัดอันดับของ Times Higher Education และ Top 50 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก (QS World University Rankings)

มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงก่อตั้งเมื่อปี 1897 ในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ที่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงมีด้วยกัน 7 วิทยาเขต และเปิดสอนในหลากหลายสาขาวิชา มีนักศึกษาต่างชาติกว่า 6,000 คน จาก 140 ประเทศ เปิดสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษมากกว่า 50 หลักสูตร และยังมีทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติ เช่น Chinese Government Scholarship (CSC) ด้วย

ZJU ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยธรรมดา แต่เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น 'Silicon Valley แห่งประเทศจีน' ที่นี่มีศูนย์วิจัย AI และหุ่นยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน มีหลักสูตรวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ข้อมูลของที่นี่ถือเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนให้เป็น 'Double First-Class Initiative' หรือโครงการมหาวิทยาลัยระดับโลก เป็นสมาชิกของ C9 League (ซึ่งเทียบเท่ากับ Ivy League ของจีน) รวมทั้งยังมีความร่วมมือมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างมหาวิทยาลัยกับบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba Huawei Tencent และสตาร์ตอัป AI ชั้นนำเพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลอีกด้วย

ที่สำคัญไปกว่านั้นมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงยังเป็นแหล่งผลิตอัจฉริยะ AI มากมายหลายคนอย่างศิษย์เก่าระดับ Billionaire อย่างติง เหล่ย์ (Ding Lei) ผู้ก่อตั้ง NetEase เฉิน หนิง หยาง (Chen-Ning Yang) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล หลี่ หลันเจี๋ย (Li Lanjuan) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด COVID-19 เฉิน จงเว่ย (Chen Zhongwei)  นักวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีและเหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้ง DeepSeek AI ที่กำลังมีประเด็นท้าชนร้อนแรงจนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ OpenAI และ ChatGPT อยู่ในปัจจุบันนี้

เหลียง เหวินเฟิง แห่ง DeepSeek เรียนที่ ZJU เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และระดับปริญญาโทในสาขาวิศวกรรมข้อมูลและสื่อสาร หลังจากสำเร็จการศึกษา เหลียงได้เริ่มต้นอาชีพในวงการการเงิน โดยในปี 2016 เขาร่วมก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ประเภท Quantitative Hedge ชื่อ "High-Flyer" ซึ่งใช้ AI และคณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์กลยุทธ์การซื้อขาย และใช้อัลกอริทึมเพื่อคาดการณ์แนวโน้มตลาด เพื่อตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ และด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สะสมมาจากการศึกษาและการทำงานในวงการการเงิน ได้นำเหลียงไปสู่การก่อตั้งบริษัท DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ตอัปด้าน AI ที่พัฒนา AI ที่ทรงพลัง โดยใช้ต้นทุนเพียงแค่ 6 ล้านดอลลาร์ และได้รับการยอมรับในระดับสากลในยุคนี้ค่ะ

ส่อง 20 อันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศจีน

จีน กำลังก้าวขึ้นไปเป็นมหาอำนาจในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร ด้านเศรษฐกิจ หรือ แม้กระทั่งการศึกษา เพราะต้องยอมรับว่า การศึกษา คือหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้จีน พัฒนาประเทศได้อย่างก้าวกระโดด กระทั่งสามารถขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของชาติมหาอำนาจตะวันตกในปัจจุบัน

สำหรับมหาวิทยาลัยชั้นนำในจีน มีที่ใดบ้าง และ Liang Wenfeng ผู้คิดค้น DeepSeek เอไอตัวใหม่ที่กำลังเขย่าโลกอยู่ในขณะนี้ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยไหน ไปส่องกันเลย

ไม่ง้อ TikTok โดนแบน? จีนดัน RedNote แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียขึ้นแท่น

​จากประเด็นการแบน TikTok ในสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาจนนำมาถึงการหยุดใช้งานชั่วคราว ผู้ใช้งานจำนวนมากจึงต้องพากันมองหาแอปพลิเคชันทางเลือกใหม่เพื่อมาทดแทน จนทำให้วันที่ 14 มกราคม 2025 RedNote กลายเป็นแอปที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดบน App Store ของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก นี่ถือเป็นการข้ามวัฒนธรรมครั้งสำคัญของแพลตฟอร์มที่เคยเป็นแค่ของจีน แต่กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก

​RedNote (หรือที่รู้จักในชื่อ Xiaohongshu ในประเทศจีน) กำลังกลายเป็นแพลตฟอร์มยอดฮิต และมันไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่มันคือการปฏิวัติวงการ แม้ TikTok จะครองพื้นที่ข่าว แต่ RedNote กลับค่อยๆ สร้างอาณาจักรของตัวเอง โดยผสมผสานเนื้อหาไลฟ์สไตล์ อีคอมเมิร์ซ และเครือข่ายสังคมออนไลน์ในรูปแบบที่สดใหม่และน่าดึงดูด Rednote ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 โดยผู้ร่วมก่อตั้ง Miranda Qu และ Charlwin Mao โดยเริ่มต้นจากแอปเล็กๆ ที่ให้ผู้ใช้งานแชร์คำแนะนำเกี่ยวกับการช็อปปิ้ง แต่ปัจจุบันได้เติบโตเป็นแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่มีผู้ใช้งานกว่า 300 ล้านคนต่อเดือน ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ RedNote ก็คือส่วนผสมระหว่าง Instagram, Pinterest และ Amazon ที่ทุกโพสต์เหมือนเป็นคำแนะนำพิเศษ และทุกการเลื่อนหน้าจอก็มักจะให้แรงบันดาลใจใหม่ๆ เสมอ Rednote สร้างความแตกต่างด้วยการเชื่อมโยงผู้คนผ่านเนื้อหาที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดลับแฟชั่นและความงาม ไดอารี่การเดินทาง หรือรีวิวสูตรอาหาร มันเป็นการเล่าเรื่องราวของผู้ใช้งาน การแบ่งปันความคิดเห็นที่จริงใจเกี่ยวกับสินค้า ประสบการณ์ส่วนตัว ความน่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือการผสมผสานระบบอีคอมเมิร์ซเข้าไปในแอป ผู้ใช้งานไม่เพียงแต่เห็นสินค้าที่ชอบ แต่ยังสามารถซื้อได้ทันทีภายในแอป สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่รวดเร็วและน่าพึงพอใจ

​การเติบโตของ RedNote ไม่ได้สะท้อนแค่ในจำนวนผู้ใช้งาน แต่ยังรวมถึงมูลค่าทางการเงินอีกด้วย ณ เดือนกรกฎาคม 2024 บริษัทมีมูลค่าประมาณ 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่สำคัญในวงการโซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซ การประเมินมูลค่านี้ยังสะท้อนถึงความสำเร็จของแพลตฟอร์มในการเปลี่ยนเนื้อหาให้เป็นรายได้ ดึงดูดการลงทุนมหาศาลจากยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba และ Tencent

​ส่วน RedNote จะล้ม TikTok ได้หรือไม่ยังคงเป็นคำถามอยู่ค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ มันไม่ใช่แค่แอปธรรมดา แต่มันคือแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม กำหนดรูปแบบโซเชียลคอมเมิร์ซใหม่ และนำเสนอสิ่งที่แตกต่างในตลาดที่แออัด สำหรับอินฟลูเอนเซอร์ แบรนด์ และผู้ใช้งานทั่วไป มันคือสนามเด็กเล่นใหม่ที่น่าตื่นเต้นและควรลองสัมผัสประสบการณ์นี้ค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top