Monday, 20 May 2024
WorldWhy

ฤดูกาลแห่ง “เชอรี่” ในฟาร์มอดิเรก ความสุขที่ปลูกเองได้

ช่วงเดือนกรกฎาแบบนี้จะไม่พูดถึงหน้าผลไม้คงไม่ได้ ขอยกให้ “เชอรี่” เป็นนางเอกของเรา !! ในช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมนี้เลย 

หากย้อนไปเมื่อปีที่แล้วก็พอได้เก็บเกี่ยวเชอรี่ไว้บ้างแล้ว แต่ปีนี้เข้าสู่ความหนาวอย่างยาวนาน ทำให้ช่วงเมษายนอากาศหนาวจัดอยู่ประมาณ 7 ครั้ง มี 2 ครั้งที่หนาวถึงติดลบ 7 องศา ทำให้มีดอกที่ติดแล้วร่วงลงไปเยอะ แถมช่วงมิถุนายนมีลูกเห็บตก แถว ๆ ตรงที่วี่อยู่ ขนาดเท่า ๆ ลูกมะนาวที่ใหญ่มาก ทำให้ปีนี้เชอรี่เลยออกล่าช้าไปนิดนึง เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศช่วงฤดูใบไม้ผลิล้วน ๆ เลย ดังนั้นในปีนี้เอง ทำให้ที่ฟาร์มของวี่แทบจะไม่มีเชอรี่เลย 

ใกล้บ้าน ก็มีฟาร์มแบบต้นเตี้ย ๆ ยืนเก็บถึงบ้าง ถูกเก็บรักษาโดยการปิดด้วยตาข่าย ช่วงที่หนาวมาก ๆ จะมีการจุดไฟเพื่อไม่ให้ต้นเชอรี่ได้รับความหนาวเกินจนดอกที่ติดแล้วร่วงลงไป

ฟาร์มของวี่เอง อย่างที่เคยเล่าไปในตอนแอปเปิลว่าต้นไม้แต่ละต้นนั้นสูงเป็นสิบเมตร การจะเอาตาข่ายคลุมจุดไฟนั้นค่อนข้างยาก ประกอบกับที่เราทำฟาร์มเพราะรัก หรือเป็นแค่งานอดิเรกเพื่อการอนุรักษ์ฟาร์มแบบสมัยก่อนและพันธุ์ไม้เก่าแก่เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อดำรงชีพ เราจึงปล่อยให้การได้ผลผลิตเป็นไปตามธรรมชาติจัดสรร แต่คงความเป็นออแกนิกให้มากที่สุด

ฟาร์มของวี่มีต้นเชอรี่อยู่ 10 ต้น ต้นที่แก่ที่สุดอายุ 55 ปี ส่วนต้นที่สูงที่สุดคือ 12 เมตร และมีทั้งหมด 8 สายพันธุ์ ต้นเชอรี่สายพันธุ์เตี้ยสามารถมีอายุได้นานเฉลี่ยถึง 40-60 ปี ส่วนไม้ยืนต้นสูงแบบที่ฟาร์มอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 80-100 ปี ที่ฟาร์มมีอยู่ต้นนึงที่วี่ชอบรสชาติมาก มีอายุ 38 ปี เป็นสายพันธุ์ Kordia (คอร์เดีย) เจ้าต้นนี้ต้นเดียวก็ได้เป็นร้อยกิโลกรัมซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะเชอรี่ที่ฟาร์มลูกจะค่อนข้างเล็ก เนื่องจากเป็นพันธุ์ค่อนไปทางเก่า ไม่เหมือนตามซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ลูกใหญ่ ๆ แต่วี่การันตีเลยว่าถ้าได้ลิ้มลองละก็!! จะต้องบอกว่าเล็กพริกขี้หนูจริง ๆ ลูกใหญ่ ๆ น้ำจะเยอะแต่รสชาติจะไม่เข้มข้นเท่า ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าถ้าทุกคนที่ได้ชิมเชอรี่ที่ฟาร์มของวี่ จะต้องบอกว่าอร่อยและหายากมาก เพราะบางฟาร์มที่เขาปลูกเพื่อขายดำรงชีวิต เขาจะปลูกพันธุ์ที่ผสมมาเพื่อให้ลูกใหญ่จะได้น้ำหนักเยอะและขายได้ราคาดี ๆ โดยส่วนตัววี่ไม่เคยซื้อที่อื่นกินเพราะมีราคาสูง และไม่อร่อยเท่าที่ฟาร์มของเราเอง  

เชอรี่ที่ฟาร์มเรามีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสีแดงสด สีแดงเข้ม สีออกม่วงดำ สีเหลืองล้วน ซึ่งพันธุ์สีเหลืองล้วนเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ชื่อพันธุ์ Dennis Gelbe Bernstein-Kirche (เดนนิส เกลเบ แบรนชไตน์ เคีรยชเช่) เป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างเก่า ในระแวกนี้ไม่มีใครมีนอกจากที่ฟาร์มเรา ต้นนี้อายุแค่ 12 ปีเท่านั้น สูง 6 เมตร ถ้าพูดเรื่องนี้ชาวนาอินดี้ (สามีวี่เอง) จะยืดอกภูมิใจยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมเลยทีเดียว รสชาติจะหวานและกรอบมาก แต่ปี ๆ นึงจะออกมาให้ชื่นใจไม่เยอะมากหรอก ประมาณ 6-10 กิโลกรัมเท่านั้น

วิธีการเก็บเราก็จะเอาตะกร้าเล็ก ๆ ร้อยเข้ากับเข็มขัด แล้วก็ปีนขึ้นไปเก็บได้เลย เชอรี่ที่ฟาร์มทั้งหมดเก็บเกี่ยวได้ต่อปีประมาณ 350 กิโลกรัม ราคาขายต่อกิโลกรัมคือ 14 ฟรังค์ แต่ที่ฟาร์มเราคือแจกซะเป็นส่วนใหญ่ คือวี่จะเอาไปแจกเพื่อนคนไทยบ้าง เพื่อนที่ทำงานบ้าง หรือบางทีเพื่อน ๆ ก็จะมาปีนเก็บกันเองสด ๆ จากต้น ถ้าจะขายคือขายครึ่งนึงของราคาตลาดเพื่อให้เพื่อนฝูงและคนรอบข้างได้กินของอร่อยคุณภาพดี นี่แหละวี่ถึงเรียกสามีว่าชาวนาอินดี้ 

บางครั้งความสุขก็มาในรูปแบบของการแบ่งปัน และการอยู่กับธรรมชาติทำให้จิตใจเราเป็นสุขได้มากกว่าที่เราคิด ที่สำคัญวี่เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้มีราคาที่ต้องจ่าย แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่เราสามารถจ่ายได้ด้วยเงิน…


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“Cancel Culture” วัฒนธรรมการ “แบน” ปรากฏการณ์ ‘คว่ำบาตรคนดัง’ ในวันที่ไม่ถูกใจ!!

หลังจากที่ชาวโลก คุ้นเคยกับ call-out culture หรือวัฒนธรรมการคอลเล้าท์กันไปแล้ว อีกวัฒนธรรมหนึ่งซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการคอลเล้าท์ คือ วัฒนธรรมแคนเซิล 

อย่าลืมว่า การ call out นั้น ไม่ใช่ว่าใครจะออกมาโวยวายเรื่องอะไร ที่ไม่ถูกใจตน แต่ ความหมายที่แท้จริงของการคอลเอาต์ คือการที่บุคคล หรือกลุ่มคนในสังคม ออกมาทักท้วงบุคคลหรือองค์กร ที่ทำสิ่งที่ผิดต่อกฎระเบียบ ค่านิยม หรือแนวปฏิบัติที่ผิดจากบรรทัดฐานของสังคมส่วนรวม เช่น การขับมอเตอร์ไซค์บนฟุตบาท, แพทย์และพยาบาลใช้อภิสิทธิ์ฉีดวัคซีนให้เพื่อนของตน, ตำรวจขับรถสวนทาง, ครูลวนลามนักเรียน, การเหยียดเพศ, การดูถูกคนจน, การจอดรถในที่สำรองให้คนพิการ และอื่น ๆ ที่ทำให้สังคมเกิดระเบียบ และมีน้ำใจต่อกัน

ดังนั้น การออกมาแสดงความคิดเห็น โดยไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง หรือไม่ยึดถือบรรทัดฐานของสังคมส่วนรวม ไม่ควรเรียกว่า คอลเอาต์ เป็นแค่การโวยวายจะให้ได้ดังใจ หรือเป็นการเรียกเสียงสนับสนุนจากผู้อื่นที่จะสนองจุดประสงค์ของตนเอง

อย่างไรก็ตาม สังคมไทย ถือว่าใครออกมาวิจารณ์หรือโจมตีใคร ด้วยถ้อยคำรุนแรง ที่แม้ฝ่ายที่ถูกโจมตีจะเป็นฝ่ายที่ยึดถือกฎระเบียบก็ตาม ก็เรียกว่า คอลเอาต์กันไปหมด

Cancel Culture เป็นสิ่งที่มาควบคู่กับ call-out culture ตัวอย่างเช่น มีกลุ่มนักแสดง ออกมาต่อต้านซูเปอร์มาร์เก็ต ที่ยังไม่งดแจกถุงพลาสติกสำหรับใส่สินค้า จนเกิดเป็นการเคลื่อนไหวกระจายเป็นวงกว้าง หากทางซูเปอร์มาร์เก็ตรีบสนองต่อการเคลื่อนไหวทันที โดยการงดแจกถุงพลาสติก กิจกรรมคอลเอาต์ก็ย่อมจะหยุดไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แต่หากซูเปอร์มาร์เก็ตไม่สนใจต่อเสียงเตือนเสียงติงของการคอลเอาต์ ขั้นถัดไปคือการ แคนเซิล

คนไทยนำคำว่า cancel มาใช้กันในภาษาไทย จนถือว่าเป็น “คำยืม” มีความหมายว่า “ยกเลิก” โดยปกติเราหมายถึง ยกเลิกสินค้า ยกเลิกคำสั่งซื้อ ยกเลิกการประชุม ยกเลิกนัด ในความหมายของ cancel culture นั้น หมายถึง “ตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ทั้งการพูดคุย การสนับสนุน และการติดตามผลงาน”

ดังนั้นคำว่า cancel ที่ใช้ใน cancel culture นั้นจึงหมายถึงการ boycott, ban และ sanction 

การที่ร้านค้า หรือผลิตภัณฑ์แบรนด์ใด ออกมาแสดงพฤติกรรมที่สวนทางกับบรรทัดฐานของสังคม เช่น เรื่องการอนุรักษ์สภาพแวดล้อม ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟต่อต้านการใช้หลอดกระดาษแทนหลอดพลาสติก นอกเหนือจากกระแสโต้แย้งจากสังคมที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์ โดยการตำหนิผ่านสื่อโซเชียลแล้ว อาจนำไปสู่ cancel culture คือการเลิกซื้อกาแฟจากร้านนั้นอย่างพร้อมเพรียง หรือตัวอย่างเช่นขนมปังแบรนด์ดัง ที่เน้นผลิตภัณฑ์ขนมปังจากธัญพืช เมื่อมีกระแสว่าไม่ยินดีขายให้กับลูกค้าที่จุดยืนทางการเมืองแตกต่างจากแบรนด์ ก็เกิดการพร้อมใจกันงดซื้อขนมปังแบรนด์นั้น ลูกค้าบางรายเมื่อกาลเวลาผ่านไป ก็อาจกลับมาซื้อสินค้าและสนับสนุนบริการเช่นเดิม แต่มีลูกค้าอีกไม่น้อยที่หันไปเลือกแบรนด์อื่นแล้ว และชีวิตดำเนินไปเป็นปกติสุข จนไม่หวนกลับมาหาแบรนด์ที่แคนเซิลไปแล้ว ยิ่งมีแบรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่อสูญเสียความภักดีต่อแบรนด์ (loyalty) ไปแล้ว ก็ยากที่จะดึงลูกค้ากลับมา

ขอบคุณภาพจาก truthforyou

ตัวอย่างของ cancel culture ที่ส่งผลเสียหายชัดเจนในช่วงไม่นานนี้ คือการ call out ของกลุ่มนักแสดงไทย ที่ได้ออกมาด้อยค่าวัคซีนจีน ในลักษณะ “รวมพลัง” โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะดิสเครดิต การทำงานของรัฐบาลในเรื่องที่ไม่จัดหาวัคซีนอเมริกันมาให้เป็นตัวเลือกได้ และได้ทำการเหยียดประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค และซิโนฟาร์ม โดยตั้งฉายาว่า “วัคซีนเสิ่นเจิ้น” ซึ่งไม่เมคเซนส์มากนัก เพราะเสิ่นเจิ้น เป็นเมืองที่ทันสมัยกว่าทุกจังหวัดในเมืองไทย ในขณะที่กรุงเทพฯ มีตึกสูงที่อยู่ในระดับ supertall (สูงกว่า 300 เมตร) เพียง 4 ตึก เสิ่นเจิ้น มีตึกซุปเปอร์ทอลล์ 18 ตึก และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี อีกทั้งยังมีตึกที่สูงที่สุดในอันดับ Top 5 ของโลกอีกด้วย การด้อยวัคซีนจากประเทศจีน จึงเป็นพฤติกรรมที่ขาดการไตร่ตรอง และไม่ได้คาดคิดว่าการกระทำดังกล่าวจะนำความเสียหายในลักษณะทุบหม้อข้าวตัวเอง

การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของนักแสดงไทย อยู่ในสายตาและการรับรู้ของแฟนคลับชาวจีน ที่ชื่นชอบดาราไทยตลอดเวลา มีการตั้งกลุ่ม FC ของดาราไทย ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ‘เวยป๋อ (Weibo)’ ของจีน ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก แฟนคลับชาวจีนเหล่านี้ ติดตามชมละคร ซีรีส์ และภาพยนตร์ ที่มีนักแสดงไทยทั้งชายหญิงร่วมแสดง นักแสดงไทยหลายคน ได้มีงานแสดงในซีรีส์ของจีน เช่น ไมค์ พิรัชต์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในประเทศจีน ได้แสดงในซีรีส์ดังหลายเรื่อง ได้ขึ้นแท่นเป็นพระเอกเต็มตัว ออกอากาศที่ช่องใหญ่ของประเทศจีน ซีรีส์ที่เขาเล่นยังมีเรตติ้งสูงอันดับ 1 และครองอันดับ 1 ในการจัดอันดับดาราเอเชียที่ได้รับความนิยมสูงในจีน และยังมีนักแสดงไทยอีกหลายสิบคน ที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างมากมายในประเทศจีน เช่น ปอย ตรีชฎา, หญิง รฐา, พิช วิชญ์วิสิฐ, นน ชานน, ออม สุชาร์, ต่อ ธนภพ, บี้ KPN, เนเน พรนับพัน และ ไมค์ พิรัชต์

ส่วนนักแสดงไทย ที่แม้จะไม่ได้มีผลงานในซีรีส์จีนยอดนิยม ก็ยังมี FC ชาวจีนนับร้อยล้านเฝ้าติดตามจากซีรีส์ไทย โดย WeTV ซึ่งขยายตลาดมาจาก Tencent VDO วิดีโอสตรีมมิงแพลตฟอร์มอันดับ 1 ของประเทศจีน ซีรีส์ไทยสร้างสถิติยอดวิวผ่านแอปพลิเคชั่นได้มากถึง 50 ล้านวิว ทั้งแบบพากย์จีน และมีซับจีน ซึ่งละครไทยที่ออกอากาศจบแล้ว เมื่อขายให้กับจีน มีมูลค่าหลักแสนบาทต่อตอน และหากเป็นการออกอากาศพร้อมกัน (simulcast) บางเรื่องมีมูลค่าถึงหลักล้านต่อตอน

จีนมีประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคน เพียง 5 เปอร์เซนต์ของพลเมืองที่ชมซีรีส์ไทย ก็มีจำนวนถึง 65 ล้านคนแล้ว เมื่อปี 2556 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการมูลค่าตลาดค่าลิขสิทธิ์ซีรีส์ไทย ที่ค้าขายกับจีนอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอาจจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของตลาดลิขสิทธิ์ซีรีส์โดยรวมของจีน แต่นี่คือธุรกิจที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถต่อยอดรายได้จากนักแสดง การนำเสนอวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของไทย เวลาที่ผ่านมา 8 ปี ซีรีส์ไทยจากช่องต่าง ๆ ได้ทำเงินจากตลาดซีรีส์ของจีนนับไม่ถ้วน

ด้วยเหตุนี้นักแสดงไทย จึงสามารถต่อยอดรายได้ผ่านการไปพบ FC ในเมืองจีน ในลักษณะ meet and greet ดาราไทยที่ได้ค่าตัวในการแสดงละครแต่ละตอน อยู่ในช่วง 80,000 - 150,000 บาท (ยกเว้นบางคนได้มากกว่าสองแสนบาทต่อตอน) เมื่อต้องเดินทางไปพบ FC ในประเทศจีน ค่าตัวย่อมมากกว่าแสดงละคร 2-3 ตอนแน่นอน

ขอบคุณภาพจาก truthforyou

การคอลเอาต์ ของนักแสดงไทย ที่ใช้วาจาเหยียดวัคซีนจีน ทำให้ FC ชาวจีนสะเทือนใจเป็นอย่างมาก จึงมีการติดตาม และเก็บบันทึกอย่างเป็นระบบ โดยการแบ่งเป็นกลุ่มพฤติกรรม เช่น นักแสดงที่ร่วมสนับสนุนการแยกฮ่องกงออกจากจีน นักแสดงที่สนับสนุนให้ไต้หวันเป็นประเทศอิสระ ผ่านการกด Like หรือคำพูดในโซเชียลมีเดีย กลุ่มนักแสดงที่ใช้คำพูดด้อยค่าวัคซีนจีน และบันทึกชื่อของนักแสดงเหล่านี้ไว้ จากนั้นเปิดให้ FC จีน ได้เข้ามาคอมเมนต์ ซึ่งเป็นการตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้า เช่น

>> “โดยเนื้อแท้แล้วคนไทยคลั่งไคล้ญี่ปุ่น เกาหลี เทิดทูนยุโรป และอเมริกา ดังนั้นจึงอยากเป็นสุนัขของยุโรปอเมริกา แต่พวกนั้นไม่เห็นคุณค่า จึงเป็นได้เพียงนางบำเรอของพวกนั้น การแพร่ระบาดครั้งนี้ สารพัดถ้อยคำเหน็บแนมว่า Sinovac เป็นยาหลอกลวง ขอโทษนะ เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว นั่นคือคุณดูถูกประเทศของฉัน”
>> “ฉันอยากบอกว่า ฝรั่งมาหาเมียที่เมืองไทย มีลูกเป็นลูกครึ่ง ผลักดันเข้าวงการบันเทิง เป็นการลุงทุนที่คุ้ม”
>> “ติดตามดาราไทยคนนี้มาหลายปี ในที่สุด ฉันก็ไม่อาจรับข้อความแบบนี้ได้ ดาราทำงานของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว ไปยุ่งอะไรกับงานของรัฐบาล Sinovac จงอย่าร่วมมือกับประเทศไทยอีกต่อไป”
>> “นึกว่าเป็นดาราเรียนจบปริญญาโทแล้วจะมีสมอง พอแล้ว เลิกติดตาม”
>> “ชอบนางมาหลายปี ผิดหวังมาก แอดมินแฟนคลับจีนทำเพื่อนางมาหลายปีแล้ว ฉันทนไม่ไหวแล้วที่นางเป็นแบบนี้”
>> “เมื่อก่อนชอบแต้ว แต่พอนางออกมา call out ครั้งนี้ผิดหวังมาก สิ่งที่บุคคลสาธารณะควรทำคือ รณรงค์ป้องกันโรคระบาด ไม่ใช่ลงไปคลุกกับการเมือง”
>> “เมืองไทยมั่วแล้ว call out แก้ปัญหาอะไรได้หรือ แต่ไหนแต่ไรมา เบลล่าไม่เคยพูดเรื่องการเมือง”

คอมเมนต์ในโทนผิดหวัง และขอ cancel จากนี้ไป มีนับร้อยนับพัน แต่ในขณะเดียวกัน การเก็บข้อมูลของ FC ชาวจีน เป็นไปอย่างละเอียดและไม่เหมาว่าปลาเน่าทั้งเข่ง ดังจะเห็นได้จากคอมเมนต์ชื่นชม เช่น 
>> “อั้ม เป็นดาราไทยส่วนน้อยที่สนับสนุน Sinovac และตัวเธอเองก็ยังฉีด Sinovac ด้วย”
>> “ออกมา call out แล้วยังไง ชาวบ้านเดือดร้อน ท้องไม่อิ่ม ต้องการให้มีชีวิตรอดเท่านั้น ดูอย่างอั้ม อย่างชมพู่ บ้างสิ ไม่กลัวว่าติ่งของพวกเธอจะพาทัวร์มาลง คนไทยควรดูอั้มกับชมพู่เป็นตัวอย่าง”

นักแสดงไทย นักร้องไทย ที่ได้ออกมา call out ตลอดมา เมื่อมีผู้เห็นต่างเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์การ call out ของพวกเขา ส่วนใหญ่จะต่อปากต่อคำ มี FC ที่เหนียวแน่น ช่วยออกมาต่อกร ปะทะคารม และได้เนื้อข่าวต่อไปอีก พูดง่าย ๆ คือ ดาราไทยมีความยะโสโอหัง อย่ามาสอน อย่ามาวิจารณ์ฉัน แม้ว่าชื่อเสียงและความร่ำรวยของฉันมาจากผู้ชมก็ตาม!!

แต่ Cancel Culture ของ FC ชาวจีนในครั้งนี้ เล่นเอาดาราไทย แย่งกันรับบทในละคร เตมีย์ใบ้กันอย่างพร้อมเพรียง หุบปากสนิท หยุด call out อย่างฉับพลัน ไม่ทราบว่า เกิดสำนึกขึ้นได้ว่า การ cancel นั้นไม่ใช่แค่หยุดชมซีรีส์ฟรี ๆ ทางยูทูปเท่านั้น หรือว่าถูกสังกัดเรียกไปตบปากแบบลูกหมา หรือตีมือเบา ๆ แบบเด็กชั้นอนุบาล

ถ้า call out ทำให้สิ่งที่เป็นบรรทัดฐาน และกฎเกณฑ์ที่สังคมส่วนรวมยอมรับ ก็จะได้แรงสนับสนุน แต่การโจมตีวัคซีนของจีนนั้น ฝรั่งมีสำนวนว่า Barking at the wrong tree หรือ สุนัขเห่าต้นไม้ผิดต้น คือการไม่มองที่สาเหตุสำคัญ ว่าในการจัดการสถานการณ์โควิด-19 คือการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ทั้งการใส่หน้ากาก การล้างมือ การเว้นระยะห่าง การไม่มั่วสุม และการฉีดวัคซีนที่จัดหามาได้เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันและบรรเทาอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิต

Cancel Culture ครั้งนี้ ตีราคาแทบไม่ได้ เมื่อกาลเวลาผ่านไป เมื่อโควิด-19 บรรเทาไปจากโลก สังขารของนักแสดงเหล่านี้ ก็เปลี่ยนไป หน้าใหม่ก็ขึ้นมาแทน การจะลบล้างความพลั้งเผลอสิ้นคิด ด้วยการแจกอาหารให้กับบุคลากรทางแพทย์ หรือผู้ประสบความลำบากในเมืองไทย ถ้าเป็นข่าวในประเทศจีน FC ก็ดูออกว่าเป็นการกระทำล้างผิด อีก 3-5 ปี ถ้าแฟนคลับจีนให้อภัย ตอนนั้นก็อาจจะเล่นบท พ่อแม่ ลุงป้า กันแล้ว....

แต่ถ้าสนใจการเมืองจริง ไม่ได้ไปจีน ก็เริ่มทำงานให้กับพรรคการเมืองไทยได้


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มรดกโลก “อเลิท์ซ กลาเซียร์” (Aletsch Glacier) มหาธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์

“Aletsch glacier” (ธารน้ำแข็งอาเล็ทช์ กลาเซียร์) เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ (Alps) อยู่ในรัฐ Wallis (วาลิส) มีความยาวถึง 23 กิโลเมตรกินพื้นที่ตั้งแต่ Jungfrau มาจนถึง Valias (Wallis) ช่วงที่หนาที่สุดของธารน้ำแข็งคือลึกประมาณ 900 เมตรเลยนะ แถมเจ้าธารน้ำแข็ง Aletsch ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 200 เมตรต่อปี แบบที่เราไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ 

การเดินทางก็สามารถเลือกได้หลายเส้นทาง  
>> 1.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Fiesch ไปที่ Fiescheralp และต่อไปที่ยอดเขา Eggishorn จากตรงนี้ถ้าอากาศดีจะสามารถมองเห็น Jungfrau Joch (ยุงเฟรา Top of Europe) และ Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น) ได้ด้วย 
>> 2.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Mörel (เมอเรล) ไปที่ยอดเขา Riederalp ตรงนี้สามารถ Hiking เส้นทางง่าย ๆ ได้ เส้นทางป่าตรงนี้สวยงามมาก จุดนี้ไม่มีร้านอาหารมีแต่เป็นเหมือนรถตู้เก่า ๆ เปิดให้เราสามารถซื้อเครื่องดื่มต่าง ๆ มีโต๊ะวางกลางแจ้งอยู่ 2-3 โต๊ะ แต่จะเปิดเฉพาะอากาศดีเท่านั้น 
>> 3.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Betten (เบทเท่น) ไปที่เมือง Bettmeralp (เบทเมอร์อัล์ป) แล้วต่อกระเช้าไปที่ยอดเขา Bettmerhorn (เบทเมอร์ฮอร์น) ตรงนี้มีร้านอาหารให้นั่งดื่มกาแฟดูวิวสวย ๆ ชิล ๆ ได้ด้วย ซึ่งวี่เลือกแบบที่ 3 เพราะหลงรักเมืองเล็ก ๆ บนภูเขาที่ชื่อ Bettmeralp มาก และมาบ่อยมาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

“Bettmeralp” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ปลอดมลพิษคล้าย ๆ Zermatt เพราะมีแต่รถไฟฟ้าวิ่งเท่านั้น ไม่มีรถยนต์ที่เป็นเครื่องเบนซินหรือดีเซลเลย ช่วงหน้าหนาวที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการเล่นสกี แต่หน้าร้อนก็สวยไม่แพ้กัน ที่วี่ชอบมากเพราะบ้านจะเป็นบ้านไม้แบบสมัยก่อน แม้กระทั่งโรงแรม หรือ airbnb ก็จะทรงเดียวกันหมดเลย ที่สถานี Betten สามารถซื้อตั๋ว 3 days pass ได้ในราคา 45 ฟรังค์ (ถ้ามีบัตรครึ่งราคา) ถ้าไม่มีราคาเต็มคือ 65 ฟรังค์ สำหรับวี่ว่าราคาเหมาะสมนะ เพราะสามารถขึ้นกระเช้าในระแวกนั้นฟรี และขึ้นรถบัส-รถไฟระแวกนั้นฟรีทั้งหมด

ที่วี่มาคราวนี้ไม่ใช่แค่มาชมความยิ่งใหญ่และสวยงามของธารน้ำแข็ง Aletsch เพียงเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่ามาหลายครั้งมากแล้ว ครั้งนี้ตั้งใจเพื่อมา Hiking โดยเฉพาะ และว่ากันว่ามีหลายเส้นทางที่สวย แต่วี่สนใจอยู่ 2 เส้นทาง คือ 

>> เส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) เส้นทางสันเขา ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) กับเส้นทางที่เรียบขนานธารน้ำแข็งหรือเส้นทาง 360 องศา ‘Panorama’ เป็นเส้นทางที่เราจะเดินใกล้ธารน้ำแข็งได้มากที่สุด มีระยะทาง 12.2 กิโลเมตร แต่เดินจริง GPS จับได้ระยะทางประมาณเกือบ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินรวมกับการพักเกือบ 6 ชั่วโมง วี่เองก็กลัวไม่ไหว...ประกอบกับดูพยากรณ์อากาศบอกว่าสักช่วงบ่ายสามจะมีพายุฝน เลยชั่งใจอยู่ว่าจะไปทางไหน ซึ่งเส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) คือเดินบนสันเขาได้วิวมุมสูง ระยะทางแค่ 3-4 กิโลเมตร แต่เป็นการเดินขึ้นและลงแบบสุดแรง และถ้าฟ้าไม่เปิดจะมองไม่เห็นอะไร ส่วนอีกทางมีระยะทางยาว และเส้นทางช่วงต้น ๆ จะเดินยากนิดหน่อย ใช้เวลานาน ซึ่งไม่รู้จะทันบ่ายสามก่อนพายุเข้าไหม ถ้าไม่ทันจะไม่สนุกแน่เพราะจะเจอพายุบนเขา สรุปวี่เลยเลือกเส้นทางนี้ เพราะวี่มีความต้องการที่จะเข้าใกล้ธารน้ำแข็งให้มากที่สุด

>> เส้นทาง ‘360 องศา panorama’ เริ่มจาก Bettmerhorn ที่ความสูง 2,858 เมตรจากระดับน้ำทะเล อ้อมไปด้านหลังของยอดเขา Eggishorn (เอกิสฮอร์น) ผ่านทะเลสาป Vordersee มาจบที่สถานีกระเช้า Fiescheralp ที่ความสูง 2,212 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อลงมาที่เมือง Fiesch และนั่งรถบัสหรือรถไฟ ก็ได้กลับมาที่เมือง Betten เพื่อมานั่งกระเช้าขึ้นมาที่ Bettmeralp เพราะโรงแรมอยู่ที่นี่ ถึงแม้ระยะทางมันจะยาวแต่วิวมันว๊าวมันสวยสะกดมากกกกก!! มีล้านให้เต็มล้านเลยแหละ 

ส่วนคำเตือนของเส้นทางนี้คือไม่เหมาะกับคนที่เวียนหัวง่าย เพราะบางช่วงบางตอนทางแคบ ตัดจากทางเดินคือเป็นผาและตัดตรงลงพื้น ด้วยความสูงขนาดนี้คงไม่ต้องบอกเนาะว่าตกมาจะเป็นไง... ดังนั้นจึงมีป้ายเตือนก่อนตรงจุดตั้งต้น และแนะนำควรใส่รองเท้า Hiking เพราะพื้นผิวของเส้นทางมีความหลากหลายสำหรับผู้ไม่คุ้นชิน ต่อมาก็ลงมาถึงสถานีกระเช้าช่วง 4 โมงเย็น พายุกำลังโหม ทำให้กระเช้าเล็กที่นั่งเกิดการแกว่งไปมาเพราะลม เดินสัก 2 กิโลเมตรสุดท้าย ก็เกิดลมแรง ทั้งฝน ทั้งเหนื่อย ทั้งเปียก ทั้งหนาว ความรู้สึกของขาเรามันเหมือนหนักสักร้อยกิโล ยกเหมือนจะไม่ขึ้น เหมือนจะเดินไม่รอด แต่ในที่สุดวี่ก็ทำได้สำเร็จและกลับมาถึงโรงแรม นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไปในวันนี้ มันเติมเต็มความรู้สึกดีมาก และมีความสุขมากจริง ๆ

วี่รักบรรยากาศหมู่บ้าน Bettmeralp รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายและสบายใจ ชอบขึ้นไปนั่งดูธารน้ำแข็ง นั่งดูได้ทีละนาน ๆ ไม่รู้จักเบื่อเลย ยังนึกไปด้วยซ้ำว่าเราเป็นแค่คนซึ่งถ้าเทียบกับธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่เราก็ตัวเล็กนิดเดียว และเราไม่สามารถที่จะงัดข้อกับธรรมชาติที่แสนจะยิ่งใหญ่ได้เลย ธรรมชาติบางครั้งก็ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน แต่บางคราก็อาจจะน่ากลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน...


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

วัดกันที่ “Chilbi” (คิลบี้) เทศกาล ‘งานวัด’ สไตล์สวิส

งาน Chilbi (คิลบี้) ในภาษาสวิสหรือ Kirchweih (เคีรยคไวห์) ในภาษาเยอรมัน เป็นอารมณ์คล้าย ๆ งานวัดของไทยเรา เป็นเทศกาลที่น่าจะมีมาตั้งแต่ยุคกลางปี 1330 โอ้โห! 690 ปีแล้วนะ ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ Wetzikon จากครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งคั่งและมีอำนาจในสมัยนั้น เป็นผู้ที่สืบทอดโบสถ์โดยการนำเอาญาติพี่น้องในตระกูลมาเป็นบาทหลวงเพื่อรักษาอำนาจให้คงอยู่ ได้มีการเฉลิมฉลองการรับบาทหลวงเป็นครั้งแรกสำหรับโบสถ์นี้ และนับแต่นั้นก็มีการเฉลิมฉลองแบบนี้ทุก ๆ ปีจนถึงปัจจุบัน

ส่วนในปี 1334 Bischof von Konstanz เป็นผู้มีตำแหน่งสูงทางศาสนาในภูมิภาค Konstanz ก็ได้ทำการเฉลิมฉลอง Chilbi ขึ้นหลังจากที่มีการสร้างโบสถ์เสร็จสิ้น โดยทำการเฉลิมฉลองในวันอาทิตย์หลังจากวันที่พระแม่มาเรียขึ้นสู่สวรรค์ หรือวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนสิงหาคม ซึ่งเมือง Wädenswil (แวเดนสวิล) เมืองแถวบ้านวี่ก็ยังจัดงานในช่วงเวลานี้อยู่ 

แต่ก่อน Chilbi เป็นเพียงแค่การเฉลิมฉลองธรรมดา ๆ เท่านั้น และ Chilbi Wetzikon เริ่มเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ผู้คนจากหมู่บ้านโดยรอบจะแห่แหนมาเที่ยวงาน ในปี 1877 เป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกว่าในงานมีม้าหมุน และในปี 1947 เริ่มมีรถบั๊มพ์เข้ามา ต้นศตวรรษที่ 20 วิวัฒนาการต่าง ๆ เริ่มเข้ามามีบทบาท งาน Chilbi ก็มีการพัฒนาเช่นกัน มีเครื่องเล่นเครื่องร่อนมากมาย เครื่องเล่นต่าง ๆ ก็เริ่มมีความเร็ว แรง และน่าหวาดเสียวมากขึ้น 

วี่มาสวิตเซอร์แลนด์ครั้งแรกในปี 2001 ตอนที่ได้มางานวัดครั้งแรกรู้สึกตื่นเต้น นึกไปถึงงานวัดหลวงปู่อี๋ที่บ้านที่สัตหีบ บรรยากาศคล้าย ๆ กัน เพียงแต่ตัวแสดงเปลี่ยนไปเป็นคนสวิส วัยเด็กก็ตื่นเต้นกับม้าหมุน วัยรุ่นก็สนุกสนานกับเครื่องเล่นหวาดเสียวต่าง ๆ กลุ่มเพื่อนสาวที่สนุกสนานเจี๊ยวจ๊าว คู่แฟนที่เดินจับมือเคียงกัน วัยทำงานก็จะมาหาอะไรกิน นั่งดื่มพูดคุยสังสรรค์กันตามประสา

งานที่เมือง Wädenswil จัดงาน Chilbi ติดกับทะเลสาบซูริคและบริเวณสถานีรถไฟ วี่จะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ทุก ๆ ปีเป็นธรรมเนียมที่ทำตั้งแต่มาสวิสปีแรกจนถึงตอนนี้ เดินวนไปโดยรอบหาของกิน เล่นเกมปาลูกโป่งบ้าง ยิงปืนบ้าง ปีแรก ๆ ได้ตุ๊กตามาเต็มบ้านเลย เมื่อเดินจนเมื่อยขาก็จะมีซุ้มงานอยู่หลายจุด มีที่นั่งให้คนมานั่งกินนั่งดื่มสังสรรค์พูดคุยกันแต่อาจคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างนะเพราะเสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวมาก ๆ สมัยก่อนงานอาจมีเพียงแค่วันอาทิตย์ แต่ในปี 1958 ก็เริ่มจัดงานเป็นวันเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ซึ่งในวันเสาร์งานอาจมีถึงตีสองตีสามเลยทีเดียวกว่าคนจะซา ตามเต็นท์นั่งบางทีมีคนนั่งดื่มกันถึงตีสี่ตีห้าเลยทีเดียว 

ส่วนปีที่แล้วเป็นปีที่แปลกใหม่สำหรับพวกเรามาก เพราะไม่มีงาน Chilbi อย่างเช่นปกติ จะมีเพียงชิงช้าสวรรค์เพื่อเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของงานเท่านั้น ปีนี้ก็เช่นกันแต่อาจจะมีร้านขนม ร้านยิงปืน ร้านปาลูกโป่งอยู่สองถึงสามร้านเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้ว เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดนั่นแหละ บางงานที่ใหญ่หน่อยเค้าจะจัดงานไว้ 2 โซน คือโซนร้านค้าซึ่งเปิดใครเข้าไปก็ได้ กับโซนเครื่องเล่น ซึ่งโซนเครื่องเล่นนี้ต้องมีใบ certificate ว่าฉีดวัคซีนแล้ว แต่ถ้าไม่มี เขามีจุดบริการตรวจโควิดฟรีหน้างานด้วยนะ 

บางครั้งวี่ก็รู้สึกว่าโลกใบนี้แม้จะกว้างใหญ่แค่ไหน แต่หลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่าง มันช่างคล้ายกันอย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ เพราะแม้เอเชียและยุโรปจะห่างไกลกันแค่ไหน แต่ก็มีสิ่งที่คล้ายกันอยู่หลาย ๆ อย่าง เช่นอย่างงาน Chilbi ที่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับโบสถ์และศาสนา ซึ่งก็คล้ายกับไทยเราที่งานวัดก็เกี่ยวข้องกับวัดและศาสนาเช่นเดียวกัน โลกที่ดูเหมือนกว้างใหญ่และมีความแตกต่างในหลาย ๆ ด้าน หรือที่จริงแล้วมันมีความเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่มาตลอด…


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

หนังเลียนแบบคน หรือ คนเลียนแบบหนัง ?

เมื่อใดที่จัดรายการกับคุณวารินทร์ สัจเดว เรื่องภาพยนตร์ คุณวารินทร์ จะตั้งคำถามแบบไม่ต้องการคำตอบเสมอว่า “ตกลงหนังเลียนแบบชีวิต หรือชีวิตเลียนแบบหนัง?”

คำถามนี้ เป็นคำถามในรูปแบบของ “ไก่กับไข่ อันไหนเกิดก่อนกัน” ? 

จุดประสงค์ของภาพยนตร์ คือการให้ความบันเทิง ความบันเทิง ไม่ได้หมายถึงความร่าเริง สนุกสนาน ตลกโปกฮา เท่านั้น! ผู้ชมได้รับความบันเทิงจากการร้องไห้จนตาบวม เมื่อได้ชมเรื่องโศกเศร้า หรือตื่นเต้นจนต้องยกขาขึ้นจากเก้าอี้ หรือส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ การได้ปลดปล่อยทางอารมณ์คือความบันเทิง ความบันเทิงของภาพยนตร์ จึงหลากหลาย รวมไปถึงภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวสำคัญในประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่เปิดโลกทัศน์ให้ชาวโลก เรื่องราวที่ชวนให้ผู้ชมคิดตาม ทั้งในแง่จิตวิทยา สังคม วัฒนธรรม ศรัทธา และความเชื่อ เรื่องราวทั้งเรื่อง หรือเพียงบางช่วง ฝากข้อคิดและกระตุ้นให้ผู้ชมวิเคราะห์ด้วยเหตุผล

การสร้างภาพยนตร์โดยเสนอความคิดรวม (Theme) หรือพล็อต (Plot) ที่ตรงกับอารมณ์สาธารณะในช่วงเวลานั้น เป็นแนวทางของการสร้างภาพยนตร์ ที่สามารถทำเงินได้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน เช่น ในยามที่สังคมส่วนใหญ่ รู้สึกคับข้องใจ เก็บกด แค้นเคือง อยากได้พลังวิเศษที่ใช้ปราบทรราช หรือปราบนักการเมืองที่เหมือนปีศาจร้าย ภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ สามารถทดแทน คลายความเก็บกดได้ ภาพยนตร์แนวเทพนิยาย แอนิเมชัน แฟนตาซี และมิวสิคัล เป็นหนทางหนีจากความวุ่นวายในโลกจริง (Escapism) ภาพยนตร์กลุ่มนี้ จะออกมาในช่วงที่ผู้คนในสังคม หรือทั้งโลกเผชิญอุปสรรคที่ยืดเยื้อ ไม่จบสิ้น และปัญหาที่แก้กันไม่จบ 

ในช่วงของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ ออกมาถึง 33 เรื่อง ทั้งในแบบแอ็กชันแฟนตาซีจริงจัง และแบบแอ็กชันปนตลก เช่น Batman, Superman, Aquaman, Wonder Woman, Spiderman, Deadpool, Captain America, Dr. Strange, Suicide Squad, Fantastic Four, Guardians of the Galaxy, Justice League, Raknarok, Black Panther, Ant Man, Avengers, Captain Marvel และอีกมากมายรวมทั้งซูเปอร์ฮีโร่ในแบบแอนิเมชัน ซูเปอร์ฮีโร่ในภาพยนตร์ เผชิญหน้ากับอำนาจชั่วร้าย เพื่อปกป้องโลก ปกป้องประชาชนไร้เดียงสาที่ตกเป็นเหยื่อของสิ่งเลวร้าย

เมื่อหนังจบ ฝ่ายชั่วร้ายถูกทำลาย นำความพึงพอใจมาให้ผู้ชม ความรู้สึกหนักอึ้งที่สะสมอยู่ในใจ ได้ถูกปลดปล่อยออกไป แม้ว่าในโลกจริงนั้น สถานการณ์รอบตัวยังไม่เปลี่ยนแปลง

Black Panther เป็นซูเปอร์ฮีโร่ผิวดำ เป็นชนเผ่าที่ผดุงไว้ซึ่งความชอบธรรม และปกป้องโลก Wonder Woman และเผ่าพันธุ์ของเธอ ก็เช่นกัน ตัวละครเหล่านี้เกิดจากความต้องการที่ซ่อนอยู่ในจิตสำนึก อยากให้โลกมีคนเก่งเช่นในหนัง มาช่วยกอบกู้สถานการณ์ในยามที่สภาพความเป็นอยู่มืดมน

หนังเป็นช่องทางหลีกหนีจากความจริง เพราะหนังชดเชยในสิ่งที่อยากให้มี อยากให้เป็น แต่เป็นไปไม่ได้ในโลกจริง ผู้คนสานต่อจินตนาการของภาพยนตร์ได้เพียง คอสเพลย์ แต่งแฟนซีเป็นซูเปอร์ฮีโร่ไปงานปาร์ตี้ หรือสร้างความสนุกสนานในโอกาสต่าง ๆ

นอกจากซูเปอร์ฮีโร่แล้ว ภาพยนตร์ยังถ่ายทอดเรื่องราวในมุมอื่น ๆ ของชีวิตมนุษย์ เช่นเรื่องการคอร์รัปชันในองค์กรทั้งของรัฐ และเอกชน การเสียสละและต่อสู้เพื่อส่วนรวม การเหยียดชนชั้นและสีผิว ไปจนถึงเรื่องการล่วงเกินทางเพศของนักบวชในศาสนาต่าง ๆ เป็นเรื่องราวของหนังเลียนแบบชีวิต

แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง สังคมเห็นว่าผู้คนเลียนแบบหนัง โดยกล่าวโทษว่าหนังเป็นต้นเหตุของการใช้ยาเสพติด อาชญากรรมประเทศต่าง ๆ ทั้งจี้ ปล้น ข่มขืน เพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน สังคมที่มี LGBTQ เพิ่มขึ้น การฆ่าตัวตาย การหย่าร้าง และพฤติกรรมไม่สร้างสรรค์สารพัดรูปแบบเกิดจาก คนเลียนแบบหนัง

ด้วยเหตุที่เชื่อกันว่า หนังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมเลียนแบบหนัง จึงต้องมีการตรวจตราเนื้อหาที่หนังจะนำเสนอ

มหัศจรรย์แห่ง “น้ำตกไรน์” (Rheinfall) 1 ใน 3 น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป!!

วันนี้วี่จะมาเล่าเรื่อง “น้ำตกไรน์” (Rheinfall) ให้ฟัง ไม่ว่าใครจะไปจะมาวี่จะต้องพามาที่น้ำตกนี้เสมอ เหตุผลไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่เพราะว่ามันอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ เดินทางง่าย - ค่าตั๋วถูก ซึ่งปกติวี่จะนั่งรถไฟไปลงที่สถานี “Schloss Laufen am Rheinfall” ตรงฝั่งปราสาทจะมีเส้นทางเดินเลียบน้ำตกจากตัวปราสาท จุดนี้เป็นจุดที่เราจะได้อยู่ใกล้น้ำตกที่สุด เสียค่าเข้า 5 ฟรังค์ (ประมาณ 180 บาทไทย) ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพงเลยถ้าแลกกับความประทับใจของบรรยากาศตลอดเส้นทาง ส่วนอีกทางเป็นทางที่จะมาลงที่ป้าย Neuhausen Rheinfall ซึ่งเส้นนี้จะเป็นทางที่เห็นวิวด้านหน้าน้ำตก 

น้ำตกไรน์ (Rheinfall) เป็นน้ำตกที่เกิดจากแม่น้ำไรน์ ไปทางเหนือของ Zürich บริเวณพรมแดนระหว่างรัฐ Schaffhausen และรัฐ Zürich เป็น 1 ใน 3 น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อีกสองที่คือ Sarpsfossen ที่นอร์เวย์ และ Dettifoss ที่ไอซ์แลนด์ 

น้ำตกไรน์ อยู่ระหว่างเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Neuhausen am Rheinfall (นอยเฮาเซ่น อัม ไรน์ฟอล) กับ เมือง Laufen-Uhwiesen (เลาเฟ่น-อูฮ์วีเซ่น) ใกล้ ๆ เมือง Schaffhausen (ชาร์ฟเฮ้าเซ่น) ทางตอนเหนือของสวิส น้ำตกไรน์มีความพิเศษตรงที่มีน้ำเป็นสีเขียวมรกตไหลค่อนข้างเชี่ยวกระทบกับแก่งหินจนเป็นฟองสีขาวและเกิดเป็นละอองน้ำที่กระเซ็นไปทั่ว เป็นภาพที่สวยจับใจมาก ๆ บางครั้งยังมีรุ้งกินน้ำแสนสวยมาอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนได้ถ่ายภาพที่น่าประทับใจ และยังได้สูดอากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์จากต้นไม้ใหญ่ที่เรียงรายอยู่ทั่วบริเวณอีกด้วย

แม่น้ำไรน์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 14,000 ถึง 17,000 ปีก่อนในช่วงยุคน้ำแข็ง มีความสูง 23 เมตรและกว้าง 150 เมตร เกิดจากการละลายของหิมะ ในฤดูหนาวมีกระแสน้ำไหล 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนในฤดูร้อนมีกระแสน้ำไหล 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเลยทีเดียว เห็นน้ำเชี่ยวแบบนี้มีปลาด้วยนะ แต่มีแค่ปลาไหลเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวไปตามซอกหินในน้ำที่เชี่ยวแบบนี้ได้ ถ้าใครอยากสัมผัสบรรยากาศน้ำตกไรน์อย่างใกล้ชิด ก็สามารถขึ้นเรือข้ามไปเกาะกลางน้ำตก ที่มีธงชาติสวิสอยู่บนยอดโขดหินได้ 

‘เพลงรักชาติ’ น้ำมนต์ หรือ อาหารใจ ?

เพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” เป็นกระแสดนตรี ที่มีการรับรู้เป็นกระแสการเมือง จากเนื้อหาที่ปลุกสำนึกรักชาติ โดยนำเพลงซึ่งคนรุ่นกลางและรุ่นใหญ่ รู้จักกันในฐานะ “เพลงสุนทราภรณ์” ที่เผยแพร่ครั้งแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2488 ผู้ที่มีส่วนตั้งแต่ครั้งที่เพลงนี้ชนะการประกวด “การแต่งเพลงปลุกใจ” ครั้งนั้น ได้แก่ มัณฑนา โมรากุล, ชวลีย์ ช่วงวิทย์, สุปาณี พุกสมบุญ และเพ็ญศรี พุ่มชูศรี แต่ยังไม่ได้มีการบันทึกเสียงไว้ ต่อมาเมื่อได้มีการบันทึกเสียง มีนักร้องซึ่งเป็นดาวเด่นของวงสุนทราภรณ์ เป็นผู้ขับร้องได้แก่ ศรีสุดา รัชชตวรรณ, มาริษา อมาตยกุล, บุษยา รังสี และวรนุช อารีย์

แม้ว่าจะเป็นเพลงปลุกใจผู้คนในอดีตส่วนใหญ่ ไม่ได้โยงเพลงเข้ากับการเมืองอย่างจริงจัง เพราะโดยสภาพทั่วไป แม้ว่าจะมีอิทธิพลของลัทธิการเมืองแทรกแซงอยู่ในสังคม แต่ภาพโดยรวมคือ คนไทยย่อมรักชาติ เกิดเมืองไทย โตเมืองไทย ไม่รักชาติแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” ในอดีตที่ผ่านมา จึงเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกที่ดี เป็นเพลงที่มีทำนองไพเราะ ชวนให้ร้องตาม

แต่เมื่อเพลงถูกนำกลับมาเสนอใหม่ โดยสร้างสรรค์ในสไตล์ดนตรีแตกต่างกัน รวม 4 เวอร์ชัน เพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” ไม่ได้เป็นแค่เพลง ไว้ฟังให้ Feel Good เท่านั้น แต่ทำหน้าที่เหมือนเป็น “น้ำมนต์” หรือเป็น “กระบอง” ไว้ฟาดฝ่ายตรงข้าม

ฝ่ายตรงข้าม คือ กระแสการด้อยค่าประเทศไทย อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน มีการเปิดเพจเฟซบุ๊ก เชิญชวนให้คนทุกรุ่น ย้ายภูมิลำเนาไปแสวงหาอนาคตในประเทศอื่น และเสนอข้อมูลที่เกลี้ยกล่อม ถึงสังคมที่ขาดความเท่าเทียม ขาดความยุติธรรมในกลไกต่าง ๆ เช่น ด้านกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ และสวัสดิการที่รัฐพึงจัดให้แก่ประชาชน แต่เนื่องจากข้อมูลที่นำเสนอนั้น ไม่ตรงกับสภาพที่ผู้คนในสังคมไทยได้สัมผัสเสมอไป วาทกรรมที่ปรากฏทั้งในลักษณะคำพูด และตัวอักษร จึงถูกมองเห็นว่าเป็นลักษณะ “ชังชาติ” และการรับมือกับพฤติกรรม “ชังชาติ” คือ การแสดงความรักชาติ รักแผ่นดินไทย

การโต้ตอบระหว่างฝ่ายด้อยค่าประเทศไทย และฝ่ายรักประเทศ มีมากมายทั้งทางโซเชียลมีเดีย และสื่ออื่น ๆ เช่น รายการทีวี อินโฟกราฟิก และคลิปยูทูบ และเครื่องมือที่เชื่อว่าจะใช้ตอบโต้ได้ดี คือ ดนตรี ดังนั้นจึงเกิดโปรเจกต์ “บ้านเกิดเมืองนอน 2564” ที่ดึงคนดนตรีมาร่วมงานกันมากมายถึง 22 คน โดยนำเสนอในสไตล์ Rock, Pop, Jazz และ Piano 

สไตล์ดนตรีหลากแนว สนองต่อรสนิยมดนตรีของคนฟัง ค่อย ๆ ทยอยปล่อยแต่ละเวอร์ชันออกมาตาม ๆ กันเกิดเป็นกระแส เกิดเป็นข่าว เกิดเป็นพลังในการโต้ตอบกับการด้อยค่าประเทศชาติ แต่คำถามคือ เป็นกลยุทธ์ตอบโต้ ที่มีความยั่งยืน หรือเป็นเพียงการแลกหมัดเฉพาะเหตุการณ์ ?

เทศกาลประกวดวัว “Viehschau” ประเพณีที่น่าหวงแหนของ...สวิตเซอร์แลนด์

เทศกาลประกวดวัว จริง ๆ แล้วสมัยก่อน เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงยุคกลางตอนปลายจนถึงยุคสมัยใหม่ การเลี้ยงวัวเป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่โดดเด่นในภาคกลางของสวิตเซอแลนด์ ดังนั้นตลาดปศุสัตว์ในท้องถิ่นจะมีบทบาทเป็นอย่างมาก รวมถึงสหกรณ์การเพาะพันธุ์โคนมในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น งานเทศกาลประกวดวัวนี้ แต่ละที่จะจัดในช่วงเวลาที่แตกต่างกันเริ่มจากกันยายน ไปจนถึงตุลาคม 

งาน Vieh Ausstellung (ฟี เอ๊าซชเตลลุ่ง) หรือ Viehschau (ฟีเชา) ในภาษาเยอรมัน ส่วนในภาษาสวิสไม่มีภาษาเขียน พวกเราชาวนาเรียกกันว่า “เฟ อู๊ซชเตลลิค” (วีวี่พูดคำนี้ ในกลุ่มที่ทำงานเพื่อน 5 คน ซึ่งมีวีวี่กับเพื่อนอีกคนเท่านั้นจะรู้ว่าหมายคืออะไร จึงอาจจะเป็นส่วนน้อยหรือชาวนาที่อาจจะทราบความหมายของมัน) 

ซึ่งงานนี้หลัก ๆ สมัยก่อนนอกจากจะเป็นตลาดซื้อ - ขายแม่วัวพันธุ์ดี หรือลูกวัวที่มาจากแม่พันธุ์ดี ๆ หรือพ่อวัวเพื่อเอามาไว้ผสมพันธุ์แล้ว ยังมีการแข่งขัน ‘โชว์วัว’ คือเอาวัวของตัวเองมาโชว์กันในงาน เพื่อตามหาแม่พันธุ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย แม้ว่าการเกษตรจะสูญเสียความสำคัญไปมากตั้งแต่ช่วงปี 1950 แต่ “เฟ อู๊ซชเตลลิค” ก็ยังคงเป็นที่พบปะทางสังคมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ได้รับความนิยมอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทของสวิตเซอร์แลนด์ตอนกลาง ซึ่งปัจจุบันไม่เพียงแต่ดึงดูดใจชุมชนชาวเกษตรกรรมเท่านั้น แต่รวมไปถึงส่วนอื่น ๆ ของประชากรด้วย 

ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในการเพาะพันธุ์วัวในสวิตเซอร์แลนด์ คือตลาดวัวที่รัฐ Zug (ซูก) ที่มีลูกวัวตัวผู้มากถึงประมาณ 250 ตัวเลยทีเดียว จัดขึ้นโดย Braunviehzuchtverband (คล้าย ๆ สหกรณ์ในไทยบ้านเรา) ตั้งแต่ปี 1898 และจะจัดขึ้นวันพุธ และวันพฤหัสบดีในสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน ซึ่งจะมีเกษตรกร ชาวนา ตัวแทนจำหน่ายและผู้ซื้อ หลั่งไหลมาจากทุกส่วนของประเทศรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน และถึงแม้จะมีการเปิดตัวของการผสมเทียมในปี 1960 ตลาดซื้อขายเพาะพันธุ์วัวจะสูญเสียความสำคัญเชิงหน้าที่บางอย่างสำหรับพ่อพันธุ์ - แม่พันธุ์ แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นเทศกาลที่สำคัญในปฏิทินของชาวรัฐ Zug ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อ นายธนาคาร พ่อค้า หรือชาวนา 

หากไทยรั้งท้าย!! อันดับ ‘การสื่อสารภาษาอังกฤษ’ ด้อยค่าประเทศหรือไม่ !!?

ENGLISH PROFICIENCY RANKING อันดับทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ

“ก่อนอื่น จะเชื่อการจัดอันดับทักษะการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ที่ทำขึ้นมานี้เพียงใด ต้องรู้จักผู้จัดทำอันดับเสียก่อน...”

EF ย่อมาจาก “Europeiska Ferieskolan” ซึ่งเป็นภาษาสวีดิช การที่ย่อเหลือ “EF” ไม่ใช่มหาวิทยาลัย หรือสถาบันวิชาการ แต่เป็นโรงเรียนสอนภาษา ที่เป็น “บริษัท” ดำเนินธุรกิจเชิงพาณิชย์ ก่อตั้งขึ้นในยุค 60s โดย “Bertil Hult” นักเดินทางท่องโลกวัย 24 ปี ที่ได้พบว่าการเรียนภาษาอังกฤษเป็นสิ่งจำเป็น และได้ใช้แนวคิด การเดินทางเพื่อเรียนรู้ภาษา (Language Travel) จึงเปิดบริษัทขึ้น และพานักเรียนมัธยมในสวีเดน ไปเรียนภาษาอังกฤษในประเทศอังกฤษ

แนวคิดดังกล่าวใช้เป็นแนวทางในการขยายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันนอกจากสอนภาษาอังกฤษในระดับต่าง ๆ ทั้งในกลุ่มนักเรียน (อายุ 13-18 ปี) จนถึงผู้ทำงาน และนักธุรกิจ ยังเป็นเอเยนต์ในการติดต่อ หาที่เรียน ให้กับผู้ต้องการเรียนภาษาและด้านอื่น ๆ ในต่างประเทศ จัดทัวร์ และจัดหาโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ไปเรียนในต่างประเทศ

ปัจจุบัน EF เป็นสถาบันการศึกษา ที่สอนทั้งภาษาและความรู้สาขาอื่น ๆ และ EF ที่ยังหมายถึง Education First  มีสาขาใน ไมอามี่ - ซูริค - ดูไบ - ลอนดอน นอกจากหลักสูตรต่าง ๆ แล้ว ยังได้ทำงานวิจัยโดยได้รับความร่วมมือจาก มหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และมหาวิทยาลัยปักกิ่ง 

>> การจัดอันดับของ EF มาจากการสำรวจออนไลน์
การสำรวจออนไลน์ กับโลกแห่งความเป็นจริง ไม่เหมือนกันเสมอไป ดังนั้น เราจึงไม่ต้องปักใจเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราได้เดินทางไปสัมผัสโลกกว้างมาแล้ว และได้ประสบมาด้วยตนเองว่าทักษะภาษาอังกฤษของผู้คนในประเทศต่าง ๆ เป็นอย่างไร ลองนึกถึงร้านสะดวกซื้อในฮ่องกง หากจะไปซื้อซิมการ์ด หรือหากาวสักหลอด พนักงานจะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ขณะที่พนักงานวัยรุ่นร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพฯ จะประกอบประโยคง่าย ๆ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นคนต่างชาติ

ส่วนที่ญี่ปุ่น ไม่ต้องพูดถึง ใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น Telephone, Sim card, Charger, Toothbrush พูดช้า ๆ พนักงานที่เป็นวัยหนุ่มสาวยังเรียนหนังสืออยู่ก็ไม่เข้าใจ ขอบคุณ Google Translate ที่ทำให้พนักงานเข้าใจความต้องการของลูกค้าต่างชาติ

เมื่อ 5 ปีก่อน EF Efficiency Index อธิบายว่า ประเทศในทวีปเอเชีย มีระดับทักษะภาษาอังกฤษต่ำ เพราะหลาย ๆ ประเทศ ให้เรียนภาษารัสเซีย เป็นภาษาที่สอง มากกว่าภาษาอังกฤษ... จริงหรือ? ประเทศใด?

ในการเก็บข้อมูล EF ทำการสำรวจกับประชากร ประมาณ 2 ล้านคน จาก 112 ประเทศ โดยแต่ละประเทศ ใช้กลุ่มตัวอย่าง อย่างน้อย 400 คน และใช้คะแนนเฉลี่ยเป็นดัชนีชี้วัดทักษะภาษาอังกฤษของแต่ละประเทศ การสำรวจในปี 2020 มีผู้ทำข้อสอบเป็นเพศหญิง 53% อายุเฉลี่ยของผู้สอบคือ 26 ปี ผู้ที่เข้าสอบ เลือกสอบด้วยตนเอง EF ไม่มีค่าตอบแทนหรือรางวัลใด ๆ ให้กับผู้สมัครเข้าสอบ แรงจูงใจของผู้สอบคือต้องการทราบระดับทักษะภาษาอังกฤษของตนเอง และเป็นการสอบ Online ดังนั้นผู้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไม่ว่าอยู่ส่วนใดของประเทศสามารถเข้าสอบได้ 30% ของผู้เข้าสอบ ทำการสอบด้วยโทรศัพท์มือถือ

แม้ว่าในการสมัครเข้าสอบ ผู้สมัครจะต้องระบุว่าเรียนจบแล้ว แต่การคัดเลือกดังกล่าว หมายถึงผู้เข้าสอบที่มีระดับความรู้ภาษาอังกฤษต่ำมาก แต่ต้องการวัดระดับทักษะของตนเอง ในขณะที่ผู้มีทักษะภาษาอังกฤษดี หรือดีมาก หรือใช้ได้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ไม่สนใจที่จะสมัครสอบ ไม่มีเวลาและคะแนนจาก EF ไม่ได้นำไปใช้สำหรับการศึกษาต่อหรือสมัครงาน เช่น IELTS, TOEIC หรือ TOEFL

>> ความน่าเชื่อถือของการจัดอันดับ
ประเทศจีนมีประชากร 1.4 พันล้านคน 1% คือ 140 ล้านคน 0.1% เท่ากับ 1.4 ล้านคน EF ไม่ได้ประเมินผลการสอบ จากกลุ่มตัวอย่าง 1 ล้านคน และอาจจะไม่ถึง 1 แสนคน 

ผลการจัดอันดับของ EF ชี้ให้เห็นว่า ผู้คนในประเทศจีน มีทักษะภาษาอังกฤษระดับปานกลาง เช่นเดียวกับ อินเดีย เกาหลีใต้ และมาเก๊า คนที่เคยเดินทางไปประเทศจีน คงทราบดีว่า เมื่อออกไปพ้นเมืองใหญ่ พ้นจากเขตธุรกิจแล้ว ประชาชนจีนพูดภาษาอังกฤษได้ระดับใด ดังนั้นผลสอบ จึงไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดทักษะภาษาอังกฤษของคนกว่าพันล้านคนได้ และการจัดให้ประเทศจีนมีระดับทักษะเท่ากับฮ่องกง และมาเก๊า หรืออินเดีย ยิ่งไม่น่าเชื่อถือ

ประเทศในเอเชีย ที่มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับต่ำ ได้แก่ ญี่ปุ่น ปากีสถาน บังกลาเทศ อินโดนีเซีย เวียดนาม และศรีลังกา ส่วนประเทศที่ EP ชี้ว่า มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับต่ำมาก ได้แก่ ไทย เมียนมา กัมพูชา อัฟกานิสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และ คีร์กีซสถาน 

‘Christmas Market’ ตลาดคริสต์มาส บรรยากาศที่น่าหลงใหลแห่งปี

เดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ ถ้าจะไม่พูดถึงเทศกาลคริสต์มาสก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เราจะได้กลิ่นอายของเทศกาลนี้ที่เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนมา ในดินแดนสวิสทุก ๆ ที่ก็จะมีตลาดคริสต์มาส ขนาดเล็กหรือใหญ่แตกต่างกันไปตามแต่ละหมู่บ้านหรือตามแต่เมืองจะรังสรรค์ วันที่จัดก็จะกระจายแตกต่างกันออกไป วี่อาจไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวตลาดคริสต์มาสที่อื่น ๆ มากเท่าไหร่ เพราะส่วนมากจะทำงานและสิบปีหลังมานี่วี่ขายของเองในตลาดคริสต์มาสของหมู่บ้าน เลยอยากมาเล่าจากประสบการณ์ของตัวเองให้เพื่อน ๆ ฟัง

Concept ของตลาดคริสต์มาสก็น่าจะเป็นร้านรวงต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกงานแฮนด์เมด ขนมอบ หรือเป็นของขึ้นชื่อของพื้นที่นั้น หรือจะเป็นเครื่องดื่มร้อน ๆ ทั้งหลาย ทั้งมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อที่สุดก็น่าจะเป็นไวน์ร้อนนี่แหละ 

ในออสเตรีย กรุงเวียนนา เริ่มมีตลาดคริสต์มาสมาตั้งแต่ปี 1296 และที่เยอรมัน เมืองมิวนิก เกิดขึ้นในปี 1310 ส่วนที่สวิสวี่หาข้อมูลไม่เจอว่าเริ่มมีตั้งแต่เมื่อไหร่ ถามชาวนาอินดี้ (สามีของวี่) ได้ความว่า “ผมจำไม่ได้ว่ามีตั้งแต่เมื่อไหร่แต่น่าจะหลังจากปี 1990 ตอนผมเป็นเด็ก ๆ ที่หมู่บ้านเรายังไม่มี” (ชาวนาอินดี้เกิดปี 1961) แต่ตลาดคริสต์มาสที่สถานีรถไฟซูริค ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 1994 ซึ่งมีต้นคริสต์มาสสูง 15 เมตรที่ประดับตกแต่งด้วยคริสตัล Swarovski มากถึง 7,000 ชิ้น ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์และเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมถึงมีร้านค้ามากมายถึง 150 ร้านเลยทีเดียว เรียกว่าเดิน ดื่ม กิน ช็อปกันให้มันสุด ๆ ไปเลย

ส่วนตลาดคริสต์มาสแถวบ้านวี่เป็นงานเล็ก ๆ มีร้านรวงเพียง 25 - 35 ร้านเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกของ Hand Made ประเภทงานไม้ งานถัก เครื่องประดับ มีอาหารประจำท้องถิ่น เช่น ไส้กรอก แฮม แยมผลไม้ ซอสสำหรับสปาเกตตี้ต่าง ๆ และนอกเหนือจากนี้ยังมีอาหารขายหลากหลาย เช่น Raclette (รัคเรท) ชีสร้อน ๆ ยืด ๆ และไส้กรอกย่าง

ตัววี่เองเริ่มขายมาตั้งแต่ปี 2011 ตอนแรกใจเพียงแค่นึกสนุก ในปีแรกเลยเริ่มต้นขายแค่ข้าวแกง พะแนง ปอเปี๊ยะทอด กาแฟ และเหล้าร้อนอย่างที่เขาฮิต แต่ในปีถัด ๆ มาไม่ได้แค่นึกสนุกอย่างเดียวสิ เพราะรายได้โอเคมาก (ฮ่า ๆ ๆ ๆ) เลยเริ่มจริงจังมาขายเป็นอาหาร 4 อย่าง ปอเปี๊ยะ เหล้าร้อน และไวน์ร้อน โดยหมู่บ้านวี่ตลาดนี้จะมีแค่วันเดียว ตั้งแต่เวลา 12:00 - 19:00 น. แต่หกโมงเย็นคนก็เริ่มเก็บร้านกันแล้ว เรียกว่าขายหมดเกลี้ยงทุก ๆ ปี ที่สำคัญเลยคือคนที่นี่ชอบกินอาหารไทยกันมาก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top