Thursday, 9 May 2024
WorldWhy

'สภาภาคยานุวัติ' ประกาศรับรองพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ 'พระเจ้าชาร์ลสที่ ๓' เป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ

พระราชพิธีประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่

พระราชวังเซนต์เจมส์เวลา ๑๐ นาฬิกาตรงตามเวลาในท้องถิ่นวันนี้ ๑๐ กันยายนจะมีพิธีสำคัญเกิดขึ้น ณ ที่นั่นคือการประกาศแต่งตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ของประเทศอังกฤษหรือสหราชอาณาจักร

พระราชพิธีนี้มีขั้นตอนอย่างไร ขอเริ่มจากจุดที่อาจจะเล็กแต่ก็น่าสนใจ คือ ก่อนพิธีจะเริ่มขึ้น จะมีการเปลี่ยนการลดธงครึ่งเสาในการไว้อาลัยการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เก่ามาเป็นการชักธงขึ้นเสาเต็มตามปกติและจะทำเช่นนี้ไปจนถึงวันอาทิตย์จึงจะลดลงครึ่งเสาตามเดิมจนกว่าพระราชพิธีพระศพจะผ่านพ้นไป

ก่อนอื่นขออธิบายว่าพระราชพิธีประกาศแต่งตั้ง Accession Council ในวันนี้ แตกต่างจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก Coronation ซึ่งจะมีขึ้นอีกในเวลาต่อมาเพราะต้องใช้เวลาในการเตรียมการระยะหนึ่งและพิธีการนี้จะจัดขึ้นในวิหารเวสต์มินสเตอร์ ในกรุงลอนดอน

สำหรับพิธีการประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ของอังกฤษในวันนี้เป็นเพียงพิธีประกาศพระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่อย่างเป็นทางการเท่านั้น โดยคณะบุคคลที่เรียกว่า Accession Council หรือภาษาไทยเรียกว่า สภาภาคยานุวัติ กำหนดเดิมคือ ต้องทำภายใน ๒๔ ชั่วโมงหลังการสิ้นพระชนม์ แต่ในกรณีนี้เวลาได้ล่วงผ่านมาแล้ว ตามความเป็นจริงเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมาร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ทันทีหลังการสิ้นพระชนม์ของพระมารดาแล้ว

ขั้นตอนของพิธีที่พระราชวังเซนต์เจมส์ในวันนี้จะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ในส่วนแรก พระเจ้าชาร์ลส์ จะยังไม่เสด็จเข้าร่วม แต่จะเป็นการชุมนุมของสมาชิกสภาองคมนตรีที่มีจำนวนถึง ๗๐๐ คน แต่พิธีวันนี้อาจเชิญมาได้เพียง ๒๐๐ คน ประธานในพิธีหรือ Lord President ประธานสภาองคมนตรีคือนางเพนนี มอร์ด้อน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะอ่านประกาศการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าแผ่นดิน หลังจากนั้นเธอจะให้เจ้าหน้าที่อ่านประกาศการขึ้นครองราชย์ที่ยืนยันพระนามของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่อย่างเป็นทางการที่พระองค์ทรงเลือกก็คือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓

หลังจากนั้นจะเป็นการลงพระนามและลงนามในคำประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ประกอบด้วยพระราชินี, เจ้าชายมกุฎราชกุมาร, พระสังฆราชแห่งแคนเทอเบอรี่, ประธานสภาขุนนาง, อ้าทบิช็อปแห่งยอร์ก และนายกรัฐมนตรี เป็นต้น

เมื่อเสร็จสิ้นการลงนามแล้ว ประธานเพนนี มอร์ด้อนจะบอกให้ที่ชุมนุมเงียบฟังคำประกาศในสาระรายละเอียดของการแต่งตั้งพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อคำประกาศสิ้นสุดลง ประธานเพนนีจะสั่งให้มีการยิงสลุตปืนใหญ่ที่สวนไฮด์ปาร์ก กลางกรุงลอนดอน และหอคอยลอนดอน พิธีการในช่วงแรกนี้ครบถ้วนแล้ว

อย่างไรก็ดียังมีพิธีการที่ต้องทำอีกอย่างคือ การอ่านคำประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินที่ระเบียงที่เรียกว่า Friary Court ของพระราชวังเซนต์เจมส์อีกดัวยและจะมีการอ่านคำประกาศนี้ในเมืองเบลฟาส, คาร์ดีฟ, เอดินเบอเรอะ และสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป

ในช่วงที่สอง พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓ จะเสด็จเข้ามาในห้องซึ่งจะมีเพียงคณะองคมนตรีที่พระองค์ทรงแต่งตั้งเข้าเฝ้าและพระองค์จะประกาศการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีและกล่าวระลึกถึงพระมารดาเป็นการส่วนพระองค์ ต่อจากนั้นให้คำมั่นสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ พร้อมกับแสดงความหวังว่าพระองค์จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในการทรงงานเพื่อประเทศชาติ 

นอกจากนี้จะตรัสสาบานว่าจะปกปักรักษา Church of Scotland อีกด้วยเพราะการปกครองของสก็อตแลนด์ได้แยกศาสนาและการปกครองออกจากกัน และทรงลงพระปรมาภิไธยในเอกสารสองฉบับ โดยมีพระราชินีและเจ้าชายมกุฎราชกุมารเป็นพยานพร้อมกับบุคคลอื่นที่อยู่ ณ ที่นั้น คณะที่ปรึกษาจะลงนามด้วยในระหว่างที่ทูลลาจากพิธี เป็นการเสร็จสิ้นพิธีการประกาศตั้งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ของอังกฤษอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดีตามรายงานข่าวพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๓ ได้ทรงพระกรุณาพระราชอนุญาตให้มีการถ่ายทอดสดพิธีนี้ทางโทรทัศน์ด้วยเป็นครั้งแรก

เลือกตั้งปี 2020 ช่องโหว่ของประชาธิปไตยในสหรัฐฯ เมื่อ 'ทรัมป์' ปลุกระดมกองเชียร์ ด้วยคำอ้างว่า 'ถูกโกง'

ชาวไทยบางกลุ่มชื่นชมประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกามาก ถึงกับเอ่ยปากว่าอยากให้ประเทศไทยมีหลักการปกครองแบบเขา มาลองดูกันว่าประชาธิปไตยแบบสหรัฐฯ นี่ไปถึงไหนกันแล้ว

สหรัฐอเมริกาได้มีการปกครองในระบบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) โดยเลือกตั้งประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่งบริหารประเทศสมัยละ 4 ปี และมีสิทธิ์ปกครอง 2 สมัยหรือ 8 ปี ถ้าได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีก คะแนนเสียงประชาชนไม่ใช่เป็นปัจจัยที่ตัดสินผลเลือกตั้งโดยตรง เนื่องจากสมัยที่ก่อตั้งระบบการปกครองการคมนาคมและการสื่อสารยังไม่เจริญ จึงมีการแต่งตั้งกลุ่มผู้แทน (Electoral College) มาลงคะแนนเสียงแทนประชาชน จำนวนของผู้แทนคะแนนเสียง (electors) แต่ละรัฐจะขึ้นกับจำนวนประชากร รัฐไหนมีประชากรมาก จำนวนผู้แทนก็จะมากตาม รวมแล้วทั้งประเทศมีผู้แทนเสียง 570 คน พรรคเดโมแครตและพรรคริพับลิกันแบ่งกันคนละครึ่งในแต่ละรัฐ ถ้าจำนวนของผู้แทนเสียงของพรรคไหนถึง 270 ก่อน พรรคนั้นก็มีเสียงส่วนมากที่จะมีสิทธิ์เลือกประธานาธิบดี

ตั้งแต่ 'จอร์จ วอร์ชิงตัน' เข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกในปีค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330) การเลือกตั้งได้ถูกปฎิบัติมาอย่างราบรื่น เนื่องจากเหล่าผู้แทนเสียงทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และผู้เข้าชิงตำแหน่งยอมรับผลโดยสดุดี การผลัดเปลี่ยนประธานาธิบดีมีแต่ความสงบและเคารพซึ่งกันและกัน แต่แล้วการเลือกตั้งในปี 2020 (พ.ศ. 2563) ก็เผยช่องโหว่ของประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา

ตั้งแต่ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ลงสมัครประธานาธิบดีในปี 2016 (พ.ศ. 2559) เขาได้ประกาศเป็นศัตรูกับเหล่าสื่อใหญ่ของประเทศ โดยกล่าวหาว่าพวกสื่อเสนอข่าวเท็จ (fake news) เกี่ยวกับเขา และโปรโมตสื่อที่สนับสนุนเขาว่าเป็นสื่อที่น่าเชื่อถือ ประชาชนที่ชอบทรัมป์จึงไม่เชื่อสื่อที่เคยเป็นหน่วยข้อมูลของประเทศ แต่ไปเสพสื่อที่เสนอข่าวเอาใจผู้นำของตนโดยไม่ใช้วิจารณญานแยกแยะข้อเท็จจริง จนกระทั่งถึงขั้นป่วยหรือตายเพราะไปดื่มน้ำยาซักผ้าขาวป้องกันโควิด เพราะในขณะที่ทรัมป์แถลงข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด เขาเอ่ยว่าน้ำยาซักผ้าขาวมีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อไวรัสได้ 

'ยูเรเนียม' ไอเทมลับพา 'เมียนมา' มั่งคั่งยั่งยืน ใต้การ 'โอบอุ้ม-ต่อยอด' จากพี่เบิ้มอย่าง 'รัสเซีย'

ต้องบอกว่า การที่เหล่าชาติตะวันตกต่างรุมบอยคอตเมียนมาในวันนี้ เหมือนยิ่งเป็นการผลักไสให้เมียนมาเดินเข้าไปหาจีนกับรัสเซียมากขึ้น และ 2 มหาอำนาจก็พร้อมเป็นพันธมิตรกับเมียนมาอย่างออกหน้าออกตาในที่สุดด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือความสัมพันธ์อีกระดับของเมียนมากับรัสเซีย ซึ่งเดิมทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันเพียงเล็กน้อยในเรื่องของกองทัพและการลงทุนในธุรกิจพลังงาน แต่หลังจากการยึดอำนาจของกองทัพ นำมาซึ่งการขับไล่ไสส่งเมียนมาด้วยการบอยคอตหรือคว่ำบาตรใด ๆ จากชาติตะวันตกนั้น ได้เป็นแรงผลักให้เกิดความร่วมมือระหว่างเมียนมากับรัสเซียมากขึ้น ไม่ใช่เพียงความร่วมมือในแง่ของกองทัพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการร่วมมือในด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสาธารณสุขและการเข้ามาพัฒนาพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ 

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นการเปิดหน้าอย่างชัดเจนด้วยว่า ขุมทรัพย์ของเมียนมาที่แท้จริงนอกจาก อัญมณีและน้ำมันแล้ว ยังมีแร่ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ด้วย

ว่ากันว่าคนงานเหมืองทราบดีอยู่แล้วว่ามีแร่ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ในการทำเหมืองหลาย ๆ ที่โดยเฉพาะเหมืองทองหลายแห่ง ซึ่งเคยมีรายงานถึงการค้นพบแร่ยูเรเนียม (Uranium) จากเหมืองทองกันอยู่แล้วเป็นระยะ ๆ เพียงแต่ก็ไม่เคยมีใครพูดถึงการนำแร่ยูเรเนียมมาใช้ในประเทศแต่อย่างใดก็เท่านั้นเอง

ดังนั้นการที่รัสเซียก้าวเข้ามาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ให้นั้น จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของเมียนมา เพราะหากสร้างเสร็จจริง ประเทศเมียนมาจะมีเสถียรภาพด้านสาธารณูปโภคไฟฟ้าเพราะวัตถุดิบหาซื้อง่าย ส่วนรัสเซียก็อาจจะได้ส่วนแบ่งแร่กัมมันตภาพรังสีเหล่านี้มาใช้ในการพัฒนาอาวุธต่อก็เป็นได้

คงต้องยอมรับว่าเป็นการเดินเกมที่ผิดพลาดของชาติตะวันตก ซึ่งแทนที่จะทำให้เมียนมาอ่อนแรง แต่กลับทำให้เมียนมาแข็งแกร่งขึ้นและในวันหนึ่งอาจจะยืนได้บนขาของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร และก็ไม่มีประเทศไหนกล้าแหยมกับประเทศเล็ก ๆ นี้ เพราะแร่กัมมันตภาพรังสีในครอบครองมันพร้อมจะนำไปต่อรองกับใครก็ได้ทั้งหมด

‘ซอสศรีราชาตราไก่’ ในสหรัฐฯ ราคาพุ่งพรวด ขายขวดละ 2,000 บาท แพงขึ้นเกือบ 20 เท่า

ศรีราชาตราไก่ หรือซอสพริกศรีราชา ของบริษัท Huy Fong Foods คือแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้น โดยชาวเวียดนามอพยพ และเป็นซอสพริกที่เป็นที่นิยมมาก ๆ ในสหรัฐอเมริกา

ประเด็นคือตอนนี้ ซอสศรีราชาตราไก่ในสหรัฐอเมริกา ขายกันขวดละ 2,000 บาท จากปกติราคาประมาณ ขวดละ 140 บาท
แล้วมันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องนี้ ?

เพจ BrandCase ได้ทำสรุปว่า

Huy Fong Foods หรือซอสพริกศรีราชาตราไก่นี้ ก่อตั้งขึ้นโดยชาวเวียดนามที่อพยพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ชื่อว่า คุณ David Tran 

โดยในสมัยที่เขาอพยพไปนั้น ในสหรัฐอเมริกายังไม่ค่อยมีคนทำซอส ที่มีจุดเด่นคือรสเผ็ด จัดจ้าน เปรี้ยว หวาน ออกมาขาย 

เขาจึงตัดสินใจทำขายเอง โดยทำในปริมาณไม่มาก และเน้นขายคนเอเชียที่อยู่ในละแวกเดียวกันกับเขา 

ต่อมาซอสพริกศรีราชาของคุณ David ก็เริ่มกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะถูกปากคนอเมริกัน รวมถึงชาวเม็กซิโกที่มาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ที่ชอบอาหารรสจัดเหมือนกัน

จนสามารถก่อตั้งบริษัท Huy Fong Foods ขึ้นในปี 1980

หลังจากประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา ซอสพริกศรีราชาตราไก่นั้นก็เริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก 

แม้แต่ในประเทศไทยเอง ก็ยังมีซอสพริกศรีราชาของแบรนด์นี้ วางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ..

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น 

ทำไมตอนนี้ซอสพริกที่ว่านี้ ถึงกำลังขาดตลาด ? 

ต้องเล่าว่า ถึงแม้จะเป็นซอสพริกสไตล์แบบเอเชีย 

แต่สำหรับซอสพริกศรีราชาของ Huy Fong Foods นั้น จะเลือกใช้พริก Red Jalapeno ที่ปลูกทางตอนเหนือของประเทศเม็กซิโก 

ซึ่งปัญหาในตอนนี้ก็คือ ประเทศเม็กซิโกกำลังเจอกับสภาพอากาศแห้งแล้ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

บวกกับปรากฏการณ์ลานีญาที่กำลังเกิดขึ้นในปีนี้ ทำให้พื้นที่แถบนั้นฝนตกน้อยลง ก็ยิ่งส่งผลให้การปลูกพริกเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก 

โดยทางบริษัทเริ่มเจอปัญหานี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว และได้เริ่มหยุดรับออร์เดอร์ใหม่ ๆ มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 แล้ว 

ที่น่าสนใจคือ ในเวลานี้ ซอสพริกศรีราชาของ Huy Fong Foods ขาดตลาดจนถึงขั้นที่ว่า 

ในเว็บไซต์อย่าง Ebay ซอสพริกศรีราชาขวดเล็กขนาด 28 ออนซ์ ราคาพุ่งไปถึง 2,400 บาทต่อ 1 ขวด จากราคาเดิมที่ประมาณ ขวดละ 140 บาท 

หรือราคาขวดใหญ่ในเว็บไซต์ Amazon ก็พุ่งไปสูงถึงประมาณ 4,300 บาท ต่อแพ็ก (แพ็กละ 2 ขวด) 

พูดง่าย ๆ ว่าราคาเพิ่มขึ้นไปเป็นเกือบ 20 เท่า เลยทีเดียว

และมันถึงกับทำให้เกิดเหตุการณ์ ซอสศรีราชาตราไก่ถูกขโมยตามร้านอาหารต่าง ๆ ด้วย

ทั้งนี้ต้องบอกว่าเรื่องของวัตถุดิบขาดแคลนนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่บริษัท Huy Fong Foods เพียงบริษัทเดียว 

แต่กำลังเกิดขึ้นกับหลาย ๆ บริษัททั่วโลก อย่างเช่น General Mills เจ้าของแบรนด์ธัญพืชชื่อดังรายใหญ่ของโลก ก็กำลังเจอปัญหานี้อยู่ 

แล้วพอเป็นแบบนี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาอย่างไรได้บ้าง ? 

ถ้าอ้างอิงจาก เว็บไซต์ Hivecpq สิ่งที่พอจะช่วยได้ เช่น 

1. บริหารสินค้าคงเหลือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 
2. ลดปริมาณวัตถุดิบเหลือทิ้งให้ได้มากที่สุด 
3. รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับ Supplier ต่าง ๆ ไว้

แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็คือ ที่ซอสพริกศรีราชาตราไก่ ขาดตลาด แถมราคาพุ่งสูงขึ้นไปขนาดนี้ ก็อาจจะสะท้อนว่า สินค้าชิ้นนี้ คือสินค้าที่ฮอตจริง ๆ 

เพราะแม้จะขายแพงกว่าเดิมหลายเท่า ก็ยังมีคนยอมจ่ายเงินซื้อ..

‘ค่ายรถเยอรมัน’ ดัชนีความเชื่อมั่นเข้าขั้นวิกฤต หลังโดนค่ายจีนเบียดร่วงเป็น No.3 ส่งออกโลก

ค่ายรถเยอรมัน ส่อเค้าอนาคตมืดมน หลังโดนค่ายจีนเบียดร่วงไปเป็น No.3 ส่งออกโลก แถมดัชนีความเชื่อมั่นร่วงหนักสุดตั้งแต่วิกฤติ 2008

ค่ายรถยนต์สัญชาติเยอรมัน แบรนด์ใหญ่อย่าง Mercedes Benz, BMW และ Volkswagen ที่ขึ้นชื่อหนักหนาว่าเป็นแบรนด์ระดับโลก แต่มาตอนนี้ชักออกอาการเป๋ซะแล้ว

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี (Ifo) ได้เปิดเผยดัชนีความคาดหวังต่ออนาคตของบริษัทรถยนต์เยอรมัน ดิ่ง 5 เดือนซ้อน ส่งผลให้ขณะนี้ ‘ติดลบ’ มากถึง -56.9 จุด ต่ำสุดตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 และไม่แน่ว่าอีกไม่ช้าอาจทำลายสถิติเดิม -67.8 จุด  ก็เป็นไปได้

สิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันสั้นๆ ง่ายๆ คือ ปรับตัวตามเทรนด์ EV ไม่ทันนั่นเอง

สะท้อนได้จากข่าวเหล่านี้

1. ไตรมาสที่แล้ว ‘เทสลา’ ทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยตัวเลข 466,140 คัน (ทั้งหมดเป็น EV)

2. ไตรมาสที่แล้ว ‘บีวายดี’ BYD ของจีนทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยตัวเลข 700,244 คัน (ราวครึ่งหนึ่งเป็น EV และที่เหลือเป็น ‘ไฮบริด’ EV) 

3. ปีที่แล้ว เป็นปีแรกในประวัติศาสตร์โลก ที่ยอดส่งออกรถยนต์จากจีนปาดหน้าเยอรมันขึ้นเป็นอันดับ 2 ขณะที่ตัวเลขล่าสุด ไตรมาสแรกของปีนี้ จีนผงาดยึดบัลลังก์ ส่งออกอันดับ 1 ของโลก แซงญี่ปุ่นเรียบร้อย (จีน 1.1 ล้านคัน / ญี่ปุ่น 9.54 แสนคัน / เยอรมัน 8.40 แสนคัน)

หลังจากนี้ คงต้องติดตามดูว่า ค่ายรถเยอรมัน จะแก้เกมนี้อย่างไร จะเร่งเครื่องไปทาง EV ทันค่ายจีนได้หรือไม่ เพราะออกตัวช้ากว่าพอสมควรทีเดียว

VinFast หุ้นดิ่ง 46% ภายใน 2 วันหลังเข้าตลาด Nasdaq มูลค่าบริษัทหาย 1.5 ล้านล้าน พาเจ้าของอันดับรวยหล่น 16 ไป 57

(18 ส.ค. 66) Reporter Journey เผยว่า หุ้น VinFast (VFS) บน Nasdaq ร่วงลงติดต่อกันสองครั้งโดยถอยกลับไปสู่ 20 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทําให้ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดของเวียดนามอย่าง Pham Nhat Vuong เจ้าของ Vingroup ลดลงเกือบ 20,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 707,610 ล้านบาท

หุ้นของ VinFast ลดลงเกือบ 46% หลังจากช่วงการซื้อขายเมื่อวานนี้ (17 สิงหาคม) จาก 46 ดอลลาร์ต่อหุ้น เหลือ 20 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคา IPO ที่ 22 ดอลลาร์

ขณะที่ปริมาณการซื้อขายหุ้น VinFast ล่าสุดต่อวันลดลงเหลือเพียง 42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งแตกต่างสิ้นเชิงกับการปริมาณการซื้อขายวันแรกที่มีมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ผลลัพธ์นี้ทําให้การประเมินมูลค่าทรัพย์สินของ Pham Nhat Vuong มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดของเวียดนามดิ่งลง ตามการอัปเดตล่าสุดจาก Forbes ประธาน Vingroup Pham Nhat Vuong มีมูลค่าสุทธิ 26,400 ล้านดอลลาร์ หรือ 934,045 ล้านบาท อยู่ในอันดับที่ 57 ของโลก ก่อนหน้านั้นตําแหน่งสูงสุดของเขาถูกบันทึกว่าอยู่ในอันดับที่ 16 ของโลก ที่มูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 44,300 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.56 ล้านล้านบาท


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top