Monday, 20 May 2024
WorldWhy

ในขณะที่หลายประเทศในอาเซียนยังคงสงวนท่าทีต่อ “มาตรการตอบโต้การรัฐประหารในเมียนมา” หลังจากที่ทางสหรัฐฯได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าเตรียม “คว่ำบาตรพม่า” พร้อมเชิญชวนชาติพันธมิตรให้ร่วมทำตาม เพื่อตอบโต้การกระทำดังกล่าวของกองทัพ

สิงคโปร์ได้กลายเป็นชาติแรกของอาเซียนที่ออกมาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนถึงเรื่องนี้ โดยรัฐบาลสิงคโปร์ได้ชี้ว่า “ผู้ที่ได้รับผลกระทบย่างแท้จริง" จากมาตรการคว่ำบาตรต่อเมียนมาคือประชาชนทั่วไป ซึ่งเราไม่ขอสนับสนุนแนวทางนี้

รัฐมนตรีต่างประเทศของสิงคโปร์กล่าวเมื่อวานนี้ว่า “แม้ว่าสถานการณ์ในเมียนมาจะเป็นที่น่าตกใจ แต่เราไม่สนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การรัฐประหารที่นั่น เพราะอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป”

วิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสิงคโปร์กล่าวกับรัฐสภาว่า เขาหวังว่าผู้ถูกคุมขังรวมถึงอองซาน ซูจี จะได้รับการปล่อยตัว เพื่อให้พวกเขาสามารถเจรจากับทางทหารได้

สิงคโปร์ถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในเมียนมาร์ และเรามีความกังวลเกี่ยวกับการปะทะกันอย่างรุนแรงในการประท้วง รวมถึงการตัดอินเทอร์เน็ต และการใช้กองกำลังและรถหุ้มเกราะตามท้องถนนในเมือง

“เราหวังว่าพวกเขาจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อยุติสถานการณ์ที่บานปลาย ไม่ควรมีการใช้ความรุนแรงกับพลเรือนที่ไม่มีอาวุธ และเราหวังว่าจะมีการแก้ปัญหาอย่างสันติ”

“การใช้มาตรการคว่ำบาตรในวงกว้างจะส่งผลกระทบต่อประชากรในเมียนมาซึ่งยังมีความยากจนอยู่เต็มไปหมด” เขากล่าวเสริม

แม้ว่าสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ จะเป็นหนึ่งในประเทศที่ประกาศหรือขู่ว่าจะคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การรัฐประหารของเมียนมาร์ รวมถึงเชิญชวนนานาชาติให้มาคว่ำบาตรเมียนมาร่วมกัน

แต่เขากล่าวว่า “เราไม่ควรดำเนินมาตรการคว่ำบาตร เพราะคนที่จะได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดคือประชาชนคนธรรมดาในเมียนมา ไม่ใช่เหล่าผู้มีอำนาจ” เขากล่าวย้ำ

คำกล่าวของเขาเป็นหนึ่งในคำกล่าวจากรัฐมนตรีของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งมีนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก


Source : เพจ Thailand State

https://www.reuters.com/.../us-myanmar-politics-singapore...

ข่าวด่วนจากพม่า วันนี้ 19 กุมภาพันธ์ มีรายงานว่า มยา ตะเว ตะเว คาย หญิงพม่าวัย 20 ปี หนึ่งในผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า ที่ถูกกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงที่ศีรษะ ได้เสียชีวิตลงแล้ว หลังจากที่ทีมแพทย์ได้พยายามยื้อชีวิตไว้นานถึง 10 วัน

ผู้ประท้วงหญิงรายนี้ ทำงานเป็นพนักงานขายที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่งในกรุงเนปิดอว์ ซึ่งได้เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐประหารเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับหน่วยปราบจลาจลของพม่า และมีการใช้กระสุนยางเพื่อสลายการชุมนุม แต่ปรากฏว่า มยา กลับได้รับบาดเจ็บสาหัสจากลูกกระสุนปืนปริศนาเข้าบริเวณด้านหลังของศีรษะ ขณะที่เธอกำลังหลบอยู่หลังป้ายรถเมล์กับกลุ่มผู้ประท้วงคนอื่น แม้ว่าในวันนั้นเธอจะสวมหมวกกันน็อคอยู่ แต่คมกระสุนได้เจาะทะลุหมวกกันน็อคเข้าถึงศีรษะ เป็นเหตุให้เธอล้มลง หมดสติ และอยู่ในอาการโคม่านับจากวันนั้น

ทางกองทัพพม่าออกมายืนยันว่า ใช้เพียงกระสุนยางในการปราบปรามจลาจล และยืนยันว่าจะมีการสอบสวนหาความจริงให้กระจ่าง แต่ภาพข่าวที่มยาได้รับบาดเจ็บจากถูกยิงด้วยกระสุนจริง และภาพหลุดที่มีเจ้าหน้าที่ถือปืนคล้ายปืนกลอูซี เล็งไปที่ผู้ชุมนุม กลายเป็นกระแสร้อนแรงอย่างมากในพม่า และมีการแชร์ออกไปทั่วโลก

ทางโรงพยาบาล และครอบครัวของมยา ได้ออกมายืนยันการเสียชีวิตของเธอแล้วในวันนี้ และจะมีการชันสูตรพลิกศพเพื่อเก็บ.รายละเอียดในการสืบสวนต่อไปถึงที่มาของกระสุนปริศนา และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในวันเกิดเหตุ

มยา ตะเว ตะเว คาย นับเป็นผู้เสียชีวิตรายแรก ในกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร นอกจาก มยาแล้ว มีรายงานเจ้าหน้าที่ตำรวจพม่าเสียชีวิตในหน้าที่อีก 1 ราย ตั้งแต่มีการประท้วงครั้งใหญ่ในพม่าเป็นต้นมา


อ้างอิง

https://www.theguardian.com/global-development/2021/feb/19/myanmar-protester-shot-in-head-during-police-crackdown-has-died-says-brother

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/mya-thwate-thwate-khaing-myanmar-protester-shot-in-head-dead-14234992

เลขาธิการสหประชาชาติร้อง ตั้งคณะทำงานพิเศษ แจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ให้เข้าถึงได้ทั่วโลก ไม่ผูกขาดอยู่เพียงประเทศร่ำรวย แฉ วัคซีน 3 ใน 4 ของโลกอยู่ในมือ 10 ประเทศร่ำรวย มีอีกถึง 130 ประเทศ ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกด้วยซ้ำ

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติระบุว่า มีอยู่ 10 ประเทศที่ฉีดและสำรองวัคซีนโควิด-19 รวมกันไปแล้วถึงร้อยละ 75 ของวัคซีนทั้งหมดที่มีในปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศอีกมากกว่าครึ่งโลก คือ 130 ประเทศยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกด้วยซ้ำ

กูเตอร์เรสกล่าวว่า นี่เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ที่ประเทศไม่กี่ประเทศควบคุมปริมาณวัคซีนโควิด-19 จำนวนมากของโลกไว้ เพื่อจัดการกับความไม่เท่าเทียมกันนั้น เลขาธิการเสนอให้สมาชิก G20 ตั้งหน่วยงานฉุกเฉินเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก

“ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงวัคซีนเป็นการทดสอบศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เขากล่าวในการประชุมกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ทั่วโลกมีผู้ได้รับวัควีนไปแล้วประมาณ 188 ล้านคน กูเตอร์เรสไม่ได้ระบุชื่อ 10 ประเทศที่ถือครองวัคซีนโควิด-19 ถึง 3 ใน 4 ของวัคซีนทั้งหมด แต่คาดว่าบางส่วนคงเป็นประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงอย่างแน่นอน เช่น สหรัฐอเมริกา

คณะทำงานที่เสนอจะประกอบด้วยสมาชิกของกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะสนับสนุนเงินและความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศใน “Global South” หรือประเทศแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา และอเมริกาใต้

หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่คล้าย ๆ กับ COVAX ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มจากองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน Gavi และองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยซื้อวัคซีนโควิด-19 จำนวนมาก และส่งไปยังประเทศยากจนซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่ร่ำรวยในการทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทยารายใหญ่ได้

ปัจจุบัน 10 ประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงสุดได้แก่ สหรัฐอเมริกา 56.28 ล้านคน, จีน 40.52 ล้านคน, อังกฤษ 16.5 ล้านคน, อินเดีย 9.42 ล้านคน, อิสราเอล 6.88 ล้านคน, บราซิล 5.88 ล้านคน, ยูเออี 5.28 ล้านคน, ตุรกี 5.22 ล้านคน, รัสเซีย 3.9 ล้านคน และอิตาลี 3.21 ล้านคน

หนึ่งใน 130 ประเทศที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ยังรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน


ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/142416

https://edition.cnn.com/2021/02/18/world/united-nations-130-countries-no-vaccine-trnd/index.html

https://ourworldindata.org/covid-vaccinations

เทศบาลกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย งัดไม้แข็ง หากประชาชนปฏิเสธรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพราะอาจต้องเสียค่าปรับสูงถึง 10,000 บาท

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เผยว่า นายอาหมัด ริซา ปาเตรีย รองผู้ว่าราชการกรุงจาการ์ตา ได้แถลงถึงการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของประชาชนชาวอินโดนีเซียว่า “เป็นเรื่องที่จำเป็น” หลังพบสถิติผู้ป่วยสะสมสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือมากกว่า 1.2 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วเกือบ 34,000 คน

ทั้งนี้คำแถลงดังกล่าวได้มาพร้อมอำนาจตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี ‘โจโค วิโดโด’ ซึ่งลงนามเมื่อต้นเดือนก.พ.ว่า ชาวอินโดนีเซียที่ปฏิเสธเข้ารับการฉีดวัคซีน อาจไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐบางส่วนได้ หรืออาจต้องชำระค่าธรรมเนียม โดยผู้นำอินโดนีเซียให้อำนาจรัฐบาลท้องถิ่นในการกำหนดบทลงโทษเองนั้น ชาวกรุงจาการ์ตาที่ฝ่าฝืน อาจต้องชำระค่าปรับสูงสุด 5 ล้านรูเปียห์ (ราว 10,715.68 บาท) แต่ ปาเตรีย ยืนยันว่า “จะเป็นทางเลือกสุดท้าย”

ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียต้องการให้จำนวนประชากรเข้ารับการฉีควัคซีนเป็นไปตามเป้าหมาย คือไม่ต่ำกว่า 181.5 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศซึ่งมีอยู่ราว 270 ล้านคน ภายในระยะเวลา 15 เดือน นับตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนที่แล้ว คิดเป็นประมาณ 67% เพื่อให้เพียงพอสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างชาวอินโดนีเซีย 1,202 คน โดยสำนักวิจัยไซฟุล มูจานี เมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ปรากฏว่ามีเพียง 37% ยืนยันจะเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ส่วน 17% ปฏิเสธ แต่กลุ่มตัวอย่างมากถึง 40% ยังตัดสินใจไม่ได้


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/foreign/826313

อเมริกาวิตก!! จีนใช้กฎหมายใหม่ อนุญาตชัดครั้งแรกให้ยามชายฝั่งยิงเรือต่างชาติ

สหรัฐอเมริกามีความกังวลต่อความเคลื่อนไหวของจีนที่เพิ่งบังคับใช้กฎหมายยามชายฝั่งฉบับใหม่เมื่อเร็วๆ​ นี้ ซึ่งอาจขยายข้อพิพาททางทะเล และนำมาซึ่งการกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ที่ไม่ชอบธรรม จากความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาเมื่อวันศุกร์​ (19 ก.พ.)

จีน ซึ่งมีข้อพิพาทด้านอำนาจอธิปไตยทางทะเลกับญี่ปุ่นในทะเลญี่ปุ่น และกับหลายชาติเอเซียนในทะเลจีนใต้ ผ่านกฎหมายใหม่ฉบับหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอนุญาตอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ให้ยามชายฝั่งมีอำนาจยิงเรือต่างชาติ

เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวระหว่างแถลงสรุปว่า วอชิงตัน "รู้สึกกังวลต่อภาษาในกฎหมาย ซึ่งสัมพันธ์อย่างโจ้งแจ้งเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการใช้กำลัง ในนั้นรวมถึงกำลังติดอาวุธ โดยยามชายฝั่งจีน เพื่อเสริมคำกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ของจีน และสหรัฐฯยังคงรู้สึกกังวลต่อข้อพิพาททางอาณาเขตและทางทะเลที่กำลังดำเนินอยู่ ทั้งในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้"

เขาบอกว่าภาษาที่ใช้ในกฎหมายนี้​ อาจถูกใช้ข่มขู่บรรดาเพื่อนบ้านทางทะเลของจีน​ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ​ ยังระบุอีกว่า "เรากังวลยิ่งขึ้นว่าจีนอาจใช้กฎหมายใหม่นี้เพื่อเน้นย้ำคำกล่าวอ้างทางทะเลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในทะเลจีนใต้ ซึ่งถือเป็นการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการในปี 2016" อ้างถึงคำพิพากษาระหว่างประเทศ ที่ให้ฟิลิปปินส์เป็นฝ่ายชนะ กรณีข้อพิพาทในทะเลจีนใต้กับจีน

ไพรซ์ ระบุว่า​ สหรัฐฯ​ ขอย้ำถึงคำแถลงเมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน ซึ่ง ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ณ ขณะนั้น ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของจีน โดยบอกว่าคำกล่าวอ้างของปักกิ่งในการเป็นเจ้าของทรัพยากรนอกชายฝั่งเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้นั้น "ไม่ชอบธรรมโดยสิ้นเชิง"

โฆษกรายนี้บอกว่า "สหรัฐฯ​ ยืนหยัดอย่างหนักแน่นในพันธสัญญาที่มีต่อพันธมิตร ทั้งกับญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์"

สหรัฐฯ​ มีสนธิสัญญากลาโหมร่วมกับญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์หลายฉบับ และบ่อยครั้งที่ลาดตระเวนทางเรือในภูมิภาคแถบนี้ ในการแสดงจุดยืนท้าทายคำกล่าวอ้างทางทะเลอันเลยเถิดของจีน


ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000016907

(รอยเตอร์ส)

หัวเว่ย บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม และผู้จำหน่ายรายใหญ่ที่สุดของจีน ประกาศข่าวเซอร์ไพรส์วงการ​ ด้วยการหันไปจับธุรกิจเกี่ยวกับหมู

เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ และ​ บีบีซี​ รายงานว่าบริษัทหัวเว่ยเทคโนโลยี ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมและผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของจีนกำลังเปิดตัวโครงการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับใช้ในฟาร์มหมูเพื่อมองหารายได้แหล่งอื่นๆ หลังยอดขายสมาร์ทโฟนลดลงภายใต้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าของสหรัฐฯ

โดยจีนมีอุตสาหกรรมฟาร์มหมูที่ใหญ่ที่สุดในโลก และหมูในประเทศจีนคิดเป็นถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนหมูทั้งโลก หัวเว่ยจึงหันมาผลิตเทคโนโลยีเพื่อช่วยปรับปรุงฟาร์มหมูให้ทันสมัย เช่น การนำ AI มาใช้ในการตรวจหาโรค ติดตามและจดจำใบหน้าหมู รวมถึงการตรวจสอบน้ำหนัก อาหาร และการออกกำลังกาย

นอกจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับผู้เลี้ยงหมูแล้ว หัวเว่ยยังทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินอีกด้วย 

โดยเหริน เจิ้งเฟย ประธานกรรมการบริหารของหัวเว่ย ได้ประกาศเปิดตัวห้องปฏิบัติการนวัตกรรมการขุดอัจฉริยะในไท่หยวนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมถ่านหิน 

ทั้งนี้ ยอดขายสมาร์ตโฟนของหัวเว่ยลดลง 42% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2020 ท่ามกลางปัญหาไมโครชิปที่มีอยู่อย่างจำกัด 

นอกจากนี้​ ยังถูกปิดกั้นการพัฒนา 5G ในหลายประเทศรวมถึงสหราชอาณาจักรท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งยังมีรายงานว่าหัวเว่ยจะลดการผลิตสมาร์ตโฟนลงถึง 60% ในปีนี้ 

หัวเว่ยจึงต้องมองหาแหล่งรายได้อื่นโดยหันไปสู่บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง ยานพาหนะอัจฉริยะ และเทคโนโลยีสวมใส่ ตลอดจนมีแผนที่จะสร้างรถยนต์อัจฉริยะด้วย 

โดยเหริน เจิ้งเฟย กล่าวว่าหัวเว่ยยังสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการจำหน่ายสมาร์ตโฟน ขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น 

เจดีดอทคอม เน็ตอีส และอาลีบาบา ก็กำลังพยายามที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าสู่อุตสาหกรรมฟาร์มหมูเช่นเดียวกัน

กลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่ขำไม่ออก กับประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตวัคซีนของโลกอีกแห่งอย่างอินเดีย

โดยปัจจุบันอินเดียก้าวหน้า​ จนสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 เป็นของตัวเอง และกำลังผลิตพร้อมประกาศเป้าหมายว่าจะฉีดวัคซีนให้ชาวอินเดียได้ถึง 300 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคมปีนี้ ซึ่งถือเป็นโครงการฉีดวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไปๆ​ มาๆ​ กลายเป็นว่าชาวอินเดียส่วนใหญ่กลับเมิน ไม่ยอมมาฉีดกันสักเท่าไหร่

มันเกิดอะไรขึ้น?

อินเดียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด Covid-19 ระดับรุนแรง แซงหน้าหลายประเทศขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกหากนับจากยอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศ

ทว่าตอนนี้ประเทศอินเดียก็ได้พัฒนาตนเอง​ จนจัดกลายเป็นผู้ผลิตยา และวัคซีนรายใหญ่ของโลก โดยมีข้อมูลว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 วัคซีนที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกกว่า 60% ผลิตในอินเดีย และยังเป็นฐานการผลิตให้กับบริษัทยาชั้นนำของโลกอีกมากมาย ดังนั้นหากถามเรื่องศักยภาพในการผลิตยา และวัคซีนของอินเดียก็บอกได้เลยว่าหายห่วง

นอกจากนี้ อินเดียยังก้าวหน้าถึงขนาดสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 เป็นของตัวเองได้สำเร็จอีกด้วย นับเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าด้านการแพทย์ที่น่าจับตามองมาก

และทันทีที่มีข่าวว่ามีวัคซีน Covid-19 ในเวอร์ชั่นของอินเดีย รัฐบาลก็ไม่รอช้า ประกาศรับรองวัคซีน Covid-19 ให้ใช้ได้ทันทีถึง 2 ตัว คือ

- Covishield ที่เป็นชื่อเรียกของ วัคซีน Oxford-AstraZeneca ที่ผลิตในบริษัทยาของอินเดีย

- Covaxin วัคซีนของอินเดียแท้ ๆ ที่พัฒนาโดยบริษัท Bharat Biotech

และได้เริ่มโครงการฉีดวัคซีนไปแล้วเมื่อกลางเดือนมกราคม 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลอินเดียประกาศเป้าหมายว่าจะต้องฉีดวัคซีนในได้ 300 ล้านคนภายในเดือนสิงหาคม นับว่าเป็นโครงการวัคซีนใหญ่ที่สุดของโลกในช่วงเวลานั้น

แต่หลังจากที่เดินหน้าโครงการไปได้เพียงแค่เดือนเดียว กลับพบว่าชาวอินเดียมารับวัคซีนเพียงแค่ 8.4 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึง 1 ใน 4 ที่คาดว่าต้องฉีดให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 37.5 ล้านคน เพื่อบรรลุเป้าหมายในเดือนสิงหาคม

แม้ว่ารัฐบาลอินเดียจะสร้างแอปพลิเคชันบนมือถือ เพื่อแจ้งเตือนและติดตามกลุ่มเป้าหมายให้มารับวัคซีน ทำแคมเปญเชิญชวนสารพัด แต่ก็ยังมีคนมาไม่ถึงเป้า และที่รัฐบาลต้องกลุ้มใจหนักกว่านั้นคือ หลังจากที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว มีเพียง 4% เท่านัันที่กลับมารับวัคซีนเข็มที่ 2

สาเหตุดังกล่าง​ เมื่อถามจากความเห็นของกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องเข้ารับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ที่เป็นบุคลากรการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่ต้องสัมผัสกลุ่มเสี่ยงนั้น หลายคนยังลังเลที่จะไปรับวัคซีน ผลัดไปก่อน ไม่รีบ ไม่ร้อน โดยอ้างว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อในอินเดียก็ลดลงเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์คงไม่น่ากลัวแล้ว ไม่ต้องรีบก็ได้ ซึ่งจุดนี้อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ชาวอินเดียตื่นตัวที่จะไปฉีดวัคซีนน้อยลง

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ​ ความเชื่อมั่นในวัคซีนที่ผลิตในอินเดียเอง ที่หลายคนยังกังขาในประสิทธิภาพ เนื่องจากการพัฒนาวัคซีน Covaxin ทำอย่างเร่งรีบ และมีตัวเลขผลการวิจัยออกมาค่อนข้างน้อย บางกระแสบอกว่าวัคซีนยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในเฟส 3 อยู่เลย รัฐบาลอินเดียก็เซ็นอนุมัติรับรองให้ใช้วัคซีนได้แล้ว

นิตยการ Time ได้สำรวจความเห็นของบุคลากรการแพทย์ในอินเดีย และพบว่าหลายคนยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในวัคซีนของอินเดีย ยิ่งศูนย์วัคซีนบางแห่งมีเพียงวัคซีนในประเทศให้เลือก บางคนก็ขอเลือกที่จะไม่ฉีด เมื่อชาวบ้านทั่วไปเห็นว่าขนาดหมอ พยาบาล ยังไม่ยอมไปฉีด ก็ยิ่งสร้างความไม่เชื่อมั่นในตัววัคซีนยิ่งขึ้นไปอีก

เลยทำให้ตอนนี้อินเดียกลายเป็นประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหาที่ไม่เหมือนใครในโลก คือ มีวัคซีน Covid-19 เหลือเฟือ​ แต่ไม่มีคนยอมมาฉีด

สถานการณ์เช่นนี้​ อาจจะเกิดขึ้นในหลายประเทศในอนาคต​ เมื่อวัคซีนเริ่มมีเพียงพอกับความต้องการในท้องตลาด แต่พอตัวเลขการติดเชื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ก็จะทำให้คนมีความตื่นตัวที่จะไปฉีดน้อยลง เพราะเข้าใจว่าว่าการระบาดกำลังจะจบลงในไม่ช้า ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด และยังมีโอกาสที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ได้ทุกเมื่อ

ตอนนี้รัฐบาลหลายประเทศกำลังเร่งกว้านซื้อวัคซีนในท้องตลาด​ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่หากพิจารณาจากสถานการณ์ในอินเดีย​แล้ว อาจพบว่า​ การสร้างความเชื่อมั่น และจูงใจให้คนออกมารับวัคซีนให้ครบตามจำนวน​ อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งกว่าก็ได้


ที่มา: https://time.com/5940963/india-covid-19-vaccine-rollout/

https://www.bbc.com/news/world-asia-india-55748124

นักอนุรักษ์และยูเนสโกหวั่นรัฐบาลกัมพูชาเดินเครื่อง​ ปล่อยเอกชนสร้างสวนสนุกใกล้นครวัด​ หวั่นทำลายมนต์ขลังมรดกโลก

องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ออกแถลงการณ์ถึงแผนการก่อสร้างสวนสนุกใกล้กับนครวัดของกัมพูชาว่า “ความใกล้เคียงกันของโครงการกับพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องของนครวัด รวมทั้งขนาด ขอบเขต และแนวคิดของกิจกรรมต่าง ๆ อาจส่งผลกระทบต่อความโดดเด่นของนครวัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก”

และยังระบุอีกว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์และการพัฒนาที่ยั่งยืนต่างแสดงความกังวลและแนะนำให้ยกเลิกการก่อสร้างสวนสนุกดังกล่าว

เช่นเดียวกับชาวกัมพูชาบางส่วนที่ไม่ต้องการให้มีการก่อสร้าง โดย Leng Chentha ชาวกัมพูชาในกรุงพนมเปญเผยกับ Radio Free Asia ว่า ไม่สนับสนุนการก่อสร้างหากสวนสนุกทำลายความงดงามของนครวัด

เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว รัฐบาลกัมพูชาตกลงให้บริษัท NagaCorp ที่ตั้งอยู่ในฮ่องกง​ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในกัมพูชา เช่าที่ดินใกล้กับนครวัดเป็นเวลา 50 ปี

โดยบริษัทมีแผนสร้างสวนสนุกและโรงแรม Angkor Lake of Wonder ขนาด 750,000 ตารางเมตร ซึ่งอยู่ห่างจากนครวัดเพียง 500 เมตร

ขณะนั้นบริษัทระบุว่า จะโปรโมทโครงการสวนสนุกมูลค่าการลงทุน 350 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีกำหนดการเปิดให้บริการในปี 2025 ร่วมกับนครวัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวคู่แฝดของกัมพูชา

ส่วน พาย สีพัน โฆษกรัฐบาล ยืนยันว่าสวนสนุกแห่งใหม่จะไม่กระทบกับนครวัด

หลังจากนี้ ยูเนสโกมีแผนจะพิจารณาตรวจสอบแผนการก่อสร้างสวนสนุกดังกล่าวในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่จะจัดขึ้นในเดือน มิ.ย.นี้ และจะติดต่อประสานงานกับทางการกัมพูชาเพื่อให้แน่ใจว่าการปกป้องนครวัดคือเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุด

ทั้งนี้ นครวัดสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในยุคจักรวรรดิเขมร และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโกเมื่อปี 1992


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/645881

Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP

โลกปั่นป่วน 'ไบเดน' ประกาศภาวะภัยพิบัติในเท็กซัส หลังเผชิญสภาพหนาวจัดตายแล้ว 30 ราย

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐ ได้ประกาศภาวะภัยพิบัติในรัฐเท็กซัส ภายหลังจากที่มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 30 ราย ขณะที่ประชาชนจำนวนมากไม่มีน้ำใช้ และเมืองต่างๆ ถูกตัดขาดจากกระแสไฟฟ้าเป็นเวลาถึง 7 วัน อันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติในพื้นที่

การประกาศภาวะภัยพิบัติดังกล่าวเปิดทางให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนในเท็กซัส รวมทั้งการจัดหาที่พักพิงชั่วคราว การซ่อมแซมบ้าน และการปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบและความเสียหายจากอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้มีการประกันไว้

ไบเดน เปิดเผยว่า ตนเองวางแผนที่จะลงพื้นที่ในรัฐเท็กซัสสัปดาห์หน้า แต่จะเดินทางลงพื้นที่ก็ต่อเมื่อการเดินทางไปเยือนของตนเองไม่ได้ก่อให้เกิดภาระหรืออุปสรรค

ทั้งนี้ พายุที่รุนแรงในช่วงฤดูหนาวได้ทำให้ไฟฟ้าดับเป็นเวลาหลายวันในเท็กซัส


ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/66973

หลังจากที่รอลุ้นมานาน วัคซีน Covid-19 ล็อตแรกของบริษัท Pfizer-BioNTech ได้ส่งถึงสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ในมาเลเซียเรียบร้อยแล้ว ด้วยสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH604 เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (21 กุมภาพันธ์ 64)

วัคซีนชุดแรกที่มาเลเซียได้รับคิดเป็นจำนวน 312,390 โดส ดำเนินการขนส่งโดยบริษัท MASkargo หลังจากที่เครื่องบินโดยสารขนส่งของมาเลเซีย แอร์ไลน์ ถึงสนามบินในกัวลาลัมเปอร์ ทางการมาเลเซียได้จัดเตรียมรถขนถ่ายสินค้าดำเนินการโดยบริษัท DHL มารับไปจัดเก็บไว้ในสต็อควัคซีนของรัฐบาล โดยจะมีรถตำรวจตามประกบอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงการขนถ่ายวัคซีนจนถึงจุดหมาย

ซึ่งทางรัฐมนตรีสาธารณสุขมาเลเซีย ดาตุก์ เซอรี ด็อกเตอร์ แอดฮัม บาบา รัฐมนตรีฝ่ายประสานงานด้าน Covid -19 แห่งชาติ คาห์รี จามาลัดดิน และรัฐมนตรีคมนาคม ดาตุก์ เซอรี ด็อกเตอร์ วี กา ซง ได้เดินทางมาเป็นสักขีพยานในการรับวัคซีน Pfizer ชุดแรก ที่นับว่าช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

การเดินทางของวัคซีน Pfizer ชุดแรกของมาเลเซีย ได้จัดส่งมาจากประเทศเบลเยี่ยม มาเปลี่ยนเครื่องที่ท่าอากาศยานไลบ์ซิก ในเยอรมัน ก่อนที่จะบินตรงมาลงที่สิงคโปร์ ที่จะเป็นจุดกระจายวัคซีนไปสู่ประเทศอื่นๆในย่านเอเชียแปซิฟิครวมถึงมาเลเซียด้วย

ก่อนหน้านี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขของมาเลเซียได้ทำสัญญาจัดซื้อวัคซีนจาก Pfizer เมื่อวันที่ 11 มกราคมปีนี้ จำนวน 32 ล้านโดส

โดย คาห์รี จามาลัดดิน รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมพ่วง ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายประสานงานด้าน Covid-19 แห่งชาติ ยืนยันว่าการจัดเก็บวัคซีน Pfizer ในอุณหภูมิต่ำถึง - 70 องศานั้นไม่เป็นปัญหา เนื่องจากได้ซื้อตู้แช่ไว้แล้วด้วยงบประมาณมูลค่า 16.6 ล้านริงกิต (ประมาณ 123 ล้านบาท)

ส่วนวัคซีนล็อตที่ 2 คาดว่าจะจัดส่งได้ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ และนอกจากวัคซีนของ Pfizer แล้ว รัฐบาลมาเลเซียยังได้จัดซื้อวัคซีนจากบริษัท Sinovac Biotech ของประเทศจีน ที่มีกำหนดจัดส่งถึงมาเลเซียได้ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์เช่นเดียวกัน

และหลังจากที่ได้รับวัคซีนชุดแรกมาแล้ว มาเลเซียจะเริ่มเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ โดยเริ่มจากบุคลากรทางการแพทย์แถวหน้า และกลุ่มเสี่ยงสูงเป็นลำดับแรก โดยทางมาเลเซียตั้งเป้าหมายที่จะฉีดวัคซีนให้ได้ 80% ของประชากร


อ้างอิง

https://www.thestar.com.my/news/nation/2021/02/21/covid-19-plane-carrying-vaccines-touches-down-at-klia

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/covid-19-malaysia-start-vaccination-drive-early-pfizer-biontech-14248616

https://www.theedgemarkets.com/article/pfizerbiontech-covid19-vaccine-coldchain-delivery


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top