Monday, 20 May 2024
WorldWhy

นายกรัฐมนตรีมุฮ์ยิดดิน ยัซซิน ของมาเลเซีย กล่าวว่า มาเลเซียจะได้รับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ล็อตแรก ซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐและไบโอเอ็นเทค ของเยอรมนี

ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ และจะเริ่มการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้หลังจากนั้น 5 วันหรือวันที่ 26 กุมภาพันธ์

ทั้งนี้ ตัวเขาจะเป็นคนแรกของประเทศที่เข้ารับการฉีดวัคซีนด้วย

สำหรับการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางนี้ มีเป้าหมายในการทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในชุมชนเพื่อที่จะได้สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในประเทศได้และทำให้การระบาดของโควิดสิ้นสุดลง มาเลเซียพบผู้ติดโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้สามารถควบคุมการระบาดได้ดีในช่วงปีที่แล้ว

รัฐบาลรายงานพบผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 260,000 ราย ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และพบผู้เสียชีวิต 975 ราย มาเลเซียตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 80 ของประชากรที่มีอยู่ทั้งหมด 32 ล้านคนภายใน 1 ปี

และขณะนี้มีข้อตกลงซื้อวัคซีนได้มากเกินความต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายแล้ว นอกจากข้อตกลงซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคแล้ว มาเลเซียยังมีข้อตกลงกับแอสตราเซเนกาของอังกฤษ สถาบันวิจัยกามาเลยา ของรัสเซีย บริษัทซิโนแวค ไบโอเทค และแคนซิโน ไบโอลิจิกส์ ของจีน


ที่มา: https://www.naewna.com/inter/553239

นิตยสาร CEO World จัดอันดับประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมจนทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ประจำปี 2021 ได้ให้ประเทศไทย #Thailand อยู่ในอันดับที่ 5 และเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย เป็นรองแค่อินเดียเท่านั้น

โดยใช้หลักเกณฑ์การวัดจาก สถาปัตยกรรม, มรดกทางศิลปะ, แฟชั่น, อาหาร, ดนตรี, วรรณกรรม, ประวัติศาสตร์, สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และ ความสามารถในการเข้าถึงทางวัฒนธรรม

พร้อมระบุว่า... #ประเทศไทย : เมื่อเราพูดถึงประเทศที่ร่ำรวยด้วยมรดกทางวัฒนธรรม ชื่อแรกที่ปรากฏในใจของเราคือ “ประเทศไทย” แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นที่ตั้งของชายหาดที่สวยงาม มีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ และสถานบันเทิงยามค่ำคืน แต่ก็ยังมีความโดดเด่นในด้านมรดกทางวัฒนธรรมที่สวยงาม

เพราะมีสถานที่มากมายทั่วประเทศไทยที่มีความอุดมสมบูรณ์ของวิถีชีวิตในหมู่บ้าน อิทธิพลของประเพณีท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่สวยงามยังหลงเหลืออยู่ ตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา จนถึงบ้านเชียง นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลไปยังสถานที่เหล่านี้เพื่อชื่นชมประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของวัฒนธรรมไทย


Cr: ภาพจากเพจ Asian SEA Story

https://ceoworld.biz/2021/01/31/best-countries-for-cultural-heritage-influence-2021/

ทางการท้องถิ่นกรุงปักกิ่ง ใจป้ำ เจียดเงินราว 31 ล้านบาท จ่ายแรงงานต่างถิ่นประมาณ 1.7 หมื่นคน ที่เลี่ยงเดินทางกลับบ้านเกิด ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน

ทางการท้องถิ่นกรุงปักกิ่งของจีน เปิดเผยว่า ปักกิ่งมอบเงินอุดหนุนราว 6.8 ล้านหยวน (ประมาณ 31 ล้านบาท) แก่แรงงานก่อสร้างต่างถิ่นประมาณ 17,000 คน ซึ่งตัดสินใจหลีกเลี่ยงการเดินทางกลับบ้านเกิดและพักอาศัยอยู่ในเมือง ระหว่างวันหยุดเทศกาลตรุษจีน

ทั้งนี้ แรงงานต่างถิ่น จะได้รับเงินอุดหนุน 400 หยวน (ประมาณ 1.800 บาท) ต่อคน จากคณะกรรมการเคหะและการพัฒนาเมือง - ชนบทเทศบาลนครปักกิ่ง

นอกจากนั้น คณะกรรมการฯ ยังจัดกิจกรรมหลากหลายสำหรับกลุ่มแรงงาน อาทิ การแข่งขันกีฬา พร้อมกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) อันเข้มงวดในบริเวณสถานที่ก่อสร้าง ตลอดจนกระชับงานรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินด้วย


ที่มา : https://www.xinhuathai.com/china/178050_20210216?fbclid=IwAR3dzWgfOzIG0mNHPOx1DQhDbJtMt7p6xOYiMSW5Mthkwl8GPXV80DXYeIc

เว็บไซต์มิเรอร์ เผยรายงานว่า หญิงสาวรัสเซียนาม Christina Ozturk ในวัย 23 ปี ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับ มหาเศรษฐีเจ้าของโรงแรม ในเมืองบาทูมิ ประเทศจอร์เจีย ได้มีลูกด้วยกันมากถึง 11 คน

แต่ก่อนหน้านี้ พวกเขายังเผยเรื่องสุดเซอร์ไพรซ์มากกว่านั้น เมื่อได้พูดพึงตัวเลขเล่นๆ ผ่านโซเชียลมีเดียว่าอยากมีลูกด้วยกันอย่างน้อย 105 คน แต่ก็ยอมรับในเวลาต่อมาว่า ตัวเลขดังกล่าวแค่พูดสุ่มๆ ขึ้นมา ส่วนตัวเลขจริงๆ จะเป็นไปได้มากขนาดนั้นไหมพวกเขาก็ยังไม่ทราบเช่นกัน แต่ยังไม่คิดจะปิดอู่อยู่แค่ 11 คนแน่นอน

อย่างไรก็ตาม Christina เผยว่า ตอนนี้เธอมีลูก ๆ ที่เกิดจากการตั้งครรภ์แล้วถึง 10 คน และแผนที่จะมีลูกคนต่อ ๆ ไปอาจจะใช้วิธีจ้างแม่อุ้มบุญมาช่วยเติมเต็มความต้องการในการมีลูก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ขอเป็นฝ่ายตั้งครรภ์เองหลังจากนี้ โดยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเวลา และเธอก็ไม่ทราบเช่นกันว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีลูกๆ มาเติมสีสันในบ้านรวมทั้งสิ้นกี่คนกันแน่ เพราะในตอนนี้เธอกับสามียังไม่พร้อมที่จะพูดถึงตัวเลขสุดท้าย

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะทำเด็กหลอดแก้วโดยใช้พันธุกรรมของพวกเขา ซึ่งทางคลินิกก็จะเป็นฝ่ายติดต่อแม่อุ้มบุญมาให้เลือก โดยคู่รักจะเลือกแต่แม่อุ้มบุญที่ยังสาว เคยผ่านการตั้งครรภ์มาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง และไม่มีสารเสพติดในตัว จากนั้นผู้ที่ได้รับเลือกก็จะต้องผ่านขั้นตอนการให้คำปรึกษา และเซ็นเอกสารยินยอมทางกฎหมายอีกด้วย

ทั้งนี้ Christina ยอมรับว่า การเลี้ยงดูครอบครัวขนาดใหญ่เป็นเรื่องยากกว่าที่คิด ซึ่งส่วนใหญ่หลายคนคิดว่าเธอคงจะจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาเป็นกองทัพเพื่อช่วยเลี้ยงดูลูก ๆ แต่จริง ๆ แล้วเธอได้ทุ่มเทเวลาทั้งวันไปกับการเลี้ยงดูและอยู่กับลูก ๆ ไม่ได้นั่งสบายเป็นคุณนายแต่อย่างใด


ที่มา: https://www.tnews.co.th/foreign/541682/คุณแม่ยังสาว-อายุแค่-23-มีลูกแล้ว-11-คน-ยังอยากปั๊มเพิ่มอีก

สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน เตรียมปรับรูปแบบความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียใหม่ โดยจะหารือประเด็นทางการทูตกับสมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ โดยตรง แทนที่จะผ่านทางเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารผู้ทรงอิทธิพล

คำประกาศจาก เจน ซากี โฆษกหญิงทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ (16 ก.พ.) ถือเป็นการปรับนโยบายครั้งสำคัญของสหรัฐฯ จากเดิมที่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ผ่านทาง เจเร็ด คุชเนอร์ บุตรเขยและที่ปรึกษาคนสนิท

“เราได้บอกชัดเจนไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะมีการปรับรูปแบบความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียใหม่” ซากี บอกกับสื่อมวลชน

ในขณะที่ส่งสัญญาณหักหน้ามกุฎราชกุมารซาอุฯ สหรัฐฯ ก็เริ่มที่จะผ่อนคลายบรรยากาศอึมครึมในส่วนของความสัมพันธ์กับ “อิสราเอล” โดยโฆษกทำเนียบขาวยืนยันว่า ไบเดน จะต่อสายตรงเพื่อพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู เร็วๆ นี้

เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน หรือที่คนมักจะเรียกพระนามโดยย่อว่า MbS นั้น ทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 ของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานวัย 85 พรรษา และตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ทรงรับหน้าที่ดูแลกิจการบ้านเมืองเสมือนผู้ปกครองโดยพฤตินัยของซาอุฯ อยู่แล้ว กระทั่งมาเกิดเหตุฆาตกรรมนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ ‘จามาล คาช็อกกี’ เมื่อปี 2018 ซึ่งทำให้พระเกียรติยศเสื่อมถอยลงมากในสายตานานาชาต

ทำเนียบขาวในยุคของ ไบเดน พยายามกดดันซาอุฯ ให้แก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชน รวมถึงปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีและนักโทษการเมืองอื่นๆ ที่ถูกคุมขัง แตกต่างจากรัฐบาล ทรัมป์ ที่แสวงหาความร่วมมือหลายด้านกับริยาดผ่านทางเจ้าชายพระองค์นี้ ซึ่งรวมถึงการคลี่คลายความบาดหมางระหว่างกาตาร์กับเพื่อนบ้านริมอ่าวเปอร์เซีย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ไบเดน จะยังเจรจากับเจ้าชายโมฮัมเหม็ดอยู่หรือไม่ โฆษกทำเนียบขาวก็ตอบว่า สหรัฐฯ จะใช้รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ “ระหว่างบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งเทียบเท่ากัน (counterpart to counterpart engagement)”

“ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเทียบเท่ากับประธานาธิบดีก็คือสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน และดิฉันเชื่อว่าประธานาธิบดีคงจะได้หารือกับพระองค์ในเวลาที่เหมาะสม แต่ยังไม่สามารถให้กรอบเวลาที่ชัดเจนได้”

ซากี ระบุด้วยว่า ซาอุดีอาระเบียมีความจำเป็นในด้านการป้องกันประเทศสูงมาก และสหรัฐฯ ยังพร้อมที่จะทำงานร่วมกับริยาดในด้านนี้ “แม้จะมีอีกหลายประเด็นที่เราแสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยและรู้สึกกังวลก็ตาม”

โฆษกหญิงทำเนียบขาวยืนยันว่า เนทันยาฮู จะเป็นผู้นำคนแรกในตะวันออกกลางที่ได้รับสายจากไบเดน และการพูดคุยจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูว่าการที่ ไบเดน ทำเฉยเมยไม่รีบติดต่อ เนทันยาฮู หลังสาบานตนรับตำแหน่ง เท่ากับหักหน้าอิสราเอลซึ่งเป็นชาติพันธมิตรเบอร์หนึ่งของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง

“แน่นอนว่าอิสราเอลคือพันธมิตรของเรา อิสราเอลเป็นประเทศที่เรามีความสัมพันธ์ในด้านความมั่งคงทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก และทีมงานของเราพร้อมจะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างเต็มที่ แม้จะยังไม่ใช่ระดับผู้นำรัฐ แต่ก็จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แน่นอน”


ที่มา: รอยเตอร์

https://mgronline.com/around/detail/9640000015716

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่าคณะผู้เชี่ยวชาญนานาชาติในภารกิจติดตามต้นกำเนิดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในนครอู่ฮั่นของจีน เป็นคณะผู้เชี่ยวชาญ “อิสระ” ที่ไม่อยู่ภายใต้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

“ผมได้ยินหลายครั้งว่านี่เป็นการศึกษาหรือการตรวจสอบขององค์การฯ ซึ่งมันไม่ใช่ความจริง” ดร. ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การฯ แถลงข่าวจากนครเจนีวา พร้อมกล่าวย้ำว่าภารกิจข้างต้นเป็นการศึกษาอิสระที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญอิสระจาก 10 สถาบัน

ด้านปีเตอร์ เบน เอ็มบาเร็ก หัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญนานาชาติในอู่ฮั่น ระบุว่ารายงานของพวกเขาจะเป็นเอกสารฉันทามติ โดย “คณะผู้เชี่ยวชาญนานาชาติและฝ่ายจีนได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับรายงานสรุปแล้ว”

เอ็มบาเร็ก กล่าวว่า คณะผู้เชี่ยวชาญที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ 17 คน และนักวิจัยจากจีน 17 คน กำลังดำเนินงานร่วมกันเพื่อเผยแพร่รายงานร่วม ซึ่งจะมีบทบาท “มอบคำแนะนำสำหรับการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต”

ขณะเดียวกันเอ็มบาเร็กมองว่า จำเป็นต้องมีการศึกษาต่อไป เพื่อ “สำรวจสมมติฐานบางอย่างและเพิ่มพูนความเข้าใจเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส”

ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารโครงการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขององค์การฯ เตือนถึงความยากลำบากในการหาข้อสรุปแบบสมบูรณ์ กล่าวว่า “การหาข้อสรุปแท้จริงในทุกประเด็นนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เราทำได้คือการบรรลุข้อสรุปตามหลักฐานที่เรามีอยู่ตรงหน้า”

ทั้งนี้ คณะผู้เชี่ยวชาญนานาชาติสรุปผลการวิจัยระยะหนึ่งเดือนในอู่ฮั่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และนำเสนอผลวิจัยเบื้องต้นที่งานแถลงข่าวในจีน โดยตัดทอนสมมติฐานกรณีไวรัสหลุดจากห้องปฏิบัติการออกไป

แหล่งข่าวขององค์การฯ กล่าวว่าคณะผู้เชี่ยวชาญกำลังดำเนินการจัดทำรายงานสรุปที่คาดว่าจะเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ ส่วนรายงานฉบับสมบูรณ์จะถูกเผยแพร่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า


ที่มา: https://www.naewna.com/inter/553258

อิสราเอล พบ ตัวอ่อนในครรภ์ อายุ 25 สัปดาห์ ดับจาก โควิด-19 ครั้งแรก

สำนักข่าวกานนิวส์ของรัฐบาลอิสราเอล รายงานเมื่อวันอังคาร (16 กุมภาพันธ์ 2564) กรณีตัวอ่อนในครรภ์เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ครั้งแรกในอิสราเอลหลังรับเชื้อจากแม่

รายงาน ระบุว่า หญิงวัย 29 ปี ซึ่งตั้งครรภ์อายุ 25 สัปดาห์ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเมืองแอชดัดทางตอนใต้ หลังจากไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ต่อมาแพทย์พบว่าเด็กในครรภ์เสียชีวิตแล้ว จึงทำคลอดร่างของทารกออกมา

หญิงรายดังกล่าวมีอาการไข้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นบวกที่โรงพยาบาล ขณะการทดสอบเพิ่มเติมบ่งชี้ว่าทารกในครรภ์ก็มีผลตรวจโรคเป็นบวกเช่นกัน

โรงพยาบาล เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวเป็นหนึ่งในไม่กี่กรณีในโลกที่ตัวอ่อนเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ขณะอยู่ในครรภ์ของผู้เป็นแม่


ที่มา: https://www.xinhuathai.com/high/178188_20210217

โดนแล้ว!! ผู้ใช้งาน Facebook ในออสเตรเลียไม่สามารถเข้าถึง และแชร์เนื้อหาข่าวของสำนักข่าวทุกแห่งบนโลก ไม่เว้นแม้แต่สื่อในประเทศตัวเอง เช่นเดียวกันกับผู้ใช้งานในต่างประเทศ ที่จะไม่สามารถเข้าถึง และแบ่งปันเนื้อหาของสำนักข่าวจากออสเตรเลีย

นี่ถือเป็นการตอบโต้รัฐบาลแคนเบอร์รา (เมืองหลวงของเครือรัฐออสเตรเลีย) ที่ผลักดันกฎหมาย 'เก็บค่าข่าว' จาก Facebook

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เพจบน Facebook ของหน่วยงานรัฐหลายแหงในออสเตรเลีย รวมถึงสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ และสำนักงานสาธารณสุขของหลายรัฐ ไม่สามารถเข้าถึงได้เช่นกัน

ขณะที่สำนักข่าวทุกแห่งในออสเตรเลียพร้อมใจกันวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหนัก ต่อมากระทรวงการสื่อสารในกรุงแคนเบอร์รา ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลออสเตรเลียไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าว่า Facebook จะตัดสินใจแบบนี้ และเรียกร้องอีกฝ่ายกลับมาเชื่อมต่อระบบโดยเร็วที่สุด

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ Facebook เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่สภาผู้แทนราษฎรของออสเตรเลีย ‘อยู่ในขั้นตอนสุดท้าย’ ของการพิจารณาและลงมติรับรองกฎหมายว่าด้วยการที่บริษัทเทคโนโลยีต้องบรรลุข้อตกลงเรื่องผลตอบแทนกับสำนักข่าว หรือบริษัทผู้ผลิตเนื้อหาในประเทศ ก่อนนำข้อมูลไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยกฎหมายมีแนวโน้มได้รับความเห็นชอบสูงมาก เมื่อพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ส่งสัญญาณสนับสนุน

นอกจาก Facebookแล้ว ในอีกด้านหนึ่ง ‘อัลฟาเบ็ต’ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ก็ได้ขู่ว่าจะระงับการให้บริการในออสเตรเลียเช่นกัน แต่ต่อมามีรายงานว่า ผู้บริหารของกูเกิลบรรลุข้อตกลงกับ นิวส์ คอร์ปอเรชั่น อาณาจักรสื่อสารมวลชนของตระกูลเมอร์ด็อก ซึ่งเป็นเจ้าของสื่อใหญ่หลายแห่ง รวมถึง ฟ็อกซ์ นิวส์ และ เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล เกี่ยวกับการซื้อขายข่าวแล้ว

อย่างไรก็ตามรัฐบาลสหรัฐยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการต่อการดำเนินการของ Facebook กับรัฐบาลออสเตรเลียในครั้งนี้ มีเพียงก่อนหน้าที่รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประสานมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของออสเตรเลีย เพื่อขอมีการให้ระงับการพิจารณากฎหมายนี้เท่านั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/foreign/826081

เป็นเวลาเกือบ 1 ปี ที่ทั่วโลกต่างพยายามพัฒนาวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส Covid-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก ให้มนุษย์สามารถก้าวข้ามวิกฤตินี้ไปให้ได้ และอาจนับได้ว่าเป็นการพัฒนาวัคซีนด้วยระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา

จนในวันนี้โลกเราก็ประสบความสำเร็จ เริ่มผลิตวัคซีน Covid-19 ออกมาใช้งานได้จริง และมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจมาก จากตัวเลขการติดเชื้อที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในหลายประเทศที่เริ่มโครงการวัคซีนไปแล้ว

แน่นอนว่าหนึ่งในทีมพัฒนาวัคซีนที่ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าชื่นชมอย่างมาก คือ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด จับมือร่วมกับ AstraZeneca ซึ่งเป็นบริษัทยาชั้นนำที่ร่วมทุนกันระหว่างอังกฤษและสวีเดน

จุดเริ่มต้นโครงการพัฒนาวัคซีน Oxford/AstraZeneca ริเริ่มโดย ‘ด็อกเตอร์ แอนดี้ พอลลาร์ด’ และ ‘ด็อกเตอร์ ซาราห์ กิลเบิร์ท’ ที่ประจำอยู่ในศูนย์วิจัยวัคซีนของมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด หลังจากพบว่ามีเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดคร้้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ในประเทศจีนเมื่อช่วงปลายปี 2019 และเริ่มแพร่ระบาดในต่างประเทศได้ไม่นาน

ทีมวิจัยอ็อกซฟอร์ดได้เริ่มต้นโครงการพัฒนาวัคซีน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2020 จากข้อมูลของเชื้อไวรัสของ ‘ด็อกเตอร์ จาง หย่งเจิน’ นักไวรัสวิทยาจากสถาบันวิจัยเซี่ยงไฮ้ที่ได้ถอนรหัสโครงสร้างพันธุกรรมของ Covid-19 ได้เป็นครั้งแรก

และด้วยประสบการณ์ที่เคยทำงานวิจัยวัคซีนป้องกัน ‘ไวรัสอีโบร่า’ และ ‘ไวรัสเมอร์ส’ ที่เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของไวรัสโคโรน่าเช่นเดียวกัน จึงเป็นเหมือนทุนความรู้เดิมที่ช่วยให้ทีมงานรู้ขั้นตอนในการพัฒนาวัคซีนเป็นอย่างดี

แต่การแพร่ระบาดไปไกลกว่าที่ทีมวิจัยได้คาดคิดไว้มาก ด็อกเตอร์พอลลาร์ด เล่าว่า การแพร่ระบาดที่ขยายวงกว้างและรุนแรงเป็นข่าวร้ายของทีมวิจัยที่ต้องทำงานแข่งกับเวลายิ่งกว่าเดิม และต้องเปลี่ยนแผนการทำงานที่เคยวางไว้ เช่น การเพิ่มบุคลากรในทีม การร่นเวลาในการทดลองในแต่ละเฟส การขยายกลุ่มอาสาสมัครที่มากกว่าเดิม และนั่นก็หมายความว่าทีมงานต้องใช้ทุนวิจัยมากกว่าเดิมหลายเท่า

และก็ได้บริษัทยา AstraZeneca เข้ามาร่วมทุนสนับสนุน ที่ทำให้ทีมงานของทั้ง 2 ด็อกเตอร์จากสถาบันวัคซีนแห่งอ็อกซฟอร์ด สามารถเดินหน้าโครงการวิจัยได้ในที่สุด

ด็อกเตอร์พอลลาร์ดยอมรับว่าการทำงานแข่งกับเวลา และแรงเสียดทานจากกลุ่มคนผู้ไม่หวังดี สร้างแรงกดดัน และบั่นทอนกำลังใจทีมงานอยู่หลายครั้ง เช่นเมื่อคราวที่ทางทีมงานได้เริ่มทดลองฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัครกลุ่มแรก เพียงไม่กี่วัน หลังจากนั้นก็มีข่าวปลอมกระจายทั่วออนไลน์ว่ามีกลุ่มทดลองเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนจากทีมของอ็อกซฟอร์ด

ถึงแม้จะเป็นข่าวปลอม แต่ก็สร้างความกดดันให้กับทีมงาน และกลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนชุดแรกไปแล้วไม่น้อย ทางทีมวิจัยต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมาย ทั้งยังต้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง และต้องทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนให้รายงานข่าวได้อย่างถูกต้อง

ปัญหาของกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีน ก็สร้างความปวดหัวให้กับทีมวิจัยเช่นกัน ด็อกเตอร์พอลลาร์ดได้กล่าวว่า ค่อนข้างเป็นกังวลกับกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีน อาจจะด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เชื่อมั่น หรือ ไปเชื่อข้อมูลแปลกๆ ที่ทำให้คิดว่าการฉีดวัคซีนเป็นอันตราย และยังไม่ป้องกันตัวเอง ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ทำให้เชื้อไวรัสยังคงแพร่กระจายอยู่ ซึ่งก็ต้องเป็นหน้าที่ของทีมวิจัยที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้คนกลุ่มนี้

หลังจากผ่านการทดลองมาหลายขั้นตอน ในที่สุดทีม Oxford/AstraZeneca ก็สามารถบรรลุการทดลองเฟสที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย ที่ได้ประสิทธิภาพในระดับที่น่าพอใจที่จะเริ่มฉีดให้กับคนทั่วไปได้แล้ว แต่งานของทีมวิจัยยังไม่จบเพียงแค่นี้

การได้รับการรับรองจากรัฐบาล และองค์กรสากล เป็นสิ่งที่การันตีความน่าเชื่อถือของวัคซีน ซึ่งที่ผ่านมาวัคซีน Oxford/AstraZeneca ก็เคยได้รับผลตอบในแง่ที่ไม่ดีบ้าง แม้แต่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส แอมานูเอล มาครง เคยตั้งข้อสงสัยถึงประสิทธิภาพของตัววัคซีนจากอังกฤษนี้ แต่ในที่สุดวันนี้ วัคซีน Oxford/ AstraZeneca ก็ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากองค์การอนามัยโลกเรียบร้อยแล้ว

ด็อกเตอร์พอลลาร์ดกล่าวว่า ทีมงานของเขามีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ในราคาไม่สูง บริหารจัดการได้ง่าย ทั้งการจัดเก็บ และการขนส่ง ที่จะทำให้วัคซีนของเราสามารถเข้าถึงได้กับประชาชนทั่วทุกมุมโลก และก็ได้วัคซีนที่ตอบโจทย์ตรงตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ

ปัจจุบันอังกฤษได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้วถึง 14 ล้านคน ทั้งจากวัคซีนของอ็อกซฟอร์ด และ Pfizer นับเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในโครงการฉีดวัคซีนเป็นอันดับต้นๆของโลก

แต่นั่นยังไม่ทำให้ทีมวิจัยจากอ็อกซฟอร์ดพอใจ เพราะโอกาสที่จะเกิดโรคระบาดครั้งใหม่จากเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายในอากาศมีความเป็นไปได้ในอนาคต และยังมีเชื้อไวรัสชนิดใหม่ที่เรายังไม่ค้นพบอีกมากมาย

ด็อกเตอร์กิลเบิร์ท จึงได้ผลักดันให้เกิดศูนย์วิจัยนวัตกรรมวัคซีนแห่งชาติขึ้นในอ็อกซฟอร์ดไชร์น ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลอังกฤษถึง 158 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6,320 ล้านบาท) เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขให้กับประเทศอังกฤษในการป้องกันภัยจากโรคระบาดชนิดใหม่ คาดว่าศูนย์วิจัยแห่งใหม่นี้จะสร้างเสร็จภายในสิ้นปี 2021 นี้


อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/world/2021/feb/14/life-savers-story-oxford-astrazeneca-coronavirus-vaccine-scientists

J&T Express Malaysia ออกประกาศแถลงการณ์ขอโทษ หลังพนักงานขนส่งก่อเหตุประท้วง ขว้างปาพัสดุของลูกค้าและไม่ยอมนำจ่ายในวันถัดมา เหตุไม่พอใจในเรื่องของผลตอบแทนโบนัส

คอลัมน์ สายตรงเคแอล

พนักงานขนส่ง J&T Express Malaysia ก่อเหตุประท้วง

คลิป https://www.tiktok.com/@nonihassan7/video/6926033858936769793?is_copy_url=1&is_from_webapp=v2

วิดีโอบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวแพร่สะพัดไปในโลกโซเชียลทั้ง Facebook, Tiktok และ Twitter ซึ่งมีผู้พบเห็นชายหลายคนแสดงอาการไม่พอใจ โยนพัสดุของลูกค้าอย่างไม่แยแส โดยในคลิปปรากฎภาพกองพัสดุเป็นภูเขาที่ถูกโยนกองรวมกันไว้ไม่ได้ทำการแยกจำแนกแจกจ่ายแต่อย่างใด

ภายหลังพบข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นศูนย์คัดแยกพัสดุของ J&T Express ในเขตเปรัค เหตุจากพนักงานเกิดความไม่พอใจในเรื่องของผลตอบแทนโบนัส จึงก่อเหตุรุนแรงขว้างปาพัสดุของลูกค้าและไม่ยอมนำจ่ายในวันถัดมา ทาง J&T Express Malaysia ได้ออกประกาศแถลงการณ์ขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

พร้อมกับปรากฎวิดีโอความยาว 57 วินาที พนักงานชายที่ก่อเหตุทั้ง 7 คนยืนเรียงแถวเพื่อแสดงการขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น และทาง J&T จะดำเนินการจัดส่งพัสดุให้กับลูกค้าโดยเร็วที่สุด ส่วนพัสดุที่เกิดความเสียหายหรือสูญหายทางบริษัทก็จะแสดงความรับผิดชอบตามขั้นตอนต่อไป

ทั้งนี้ทางบริษัท J&T ไม่ได้ระบุว่าจะมีบทลงโทษอย่างไรกับพนักงานที่ก่อเหตุพวกนี้ แต่คงเดาได้ไม่ยาก ต้องชดใช้หัวโต ไม่ก็หางานใหม่เร็ว ๆ นี้แน่นอน!


Credit info news

https://www.nst.com.my/news/nation/2021/02/663924/seven-perak-jt-workers-apologise-violent-sorting-parcels

https://www.therakyatpost.com/2021/02/07/jt-express-protests-whats-going-on-how-to-claim-your-money-back/

Tiktok nonihassan7


"ผิงกั่ว"

สาวเมืองชล ตั้งรกรากอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามสามีชาวจีนมาเลย์ ชีวิตท่ามกลางคนจีน แขกมาเลย์ และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรม ส่องมุมมองจากประเทศเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top