Monday, 20 May 2024
WorldWhy

‘เจ้าชายแฮร์รี’ และ ‘เมแกน มาร์เคิล’ ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ เปิดใจเกี่ยวกับชีวิตในวังบักกิงแฮมของทั้งคู่ที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เมแกนเผย เคยคิดฆ่าตัวตายเพราะถูกปฏิบัติไม่ดีหลังการเสกสมรส และเคยถูกถามเรื่องสีผิวของพระโอรสด้วย

ประเด็นดราม่าระหว่าง ‘ราชวงศ์อังกฤษ’ กับ ‘เมแกน มาร์เคิล’ ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ชายาของ ‘เจ้าชายแฮร์รี’ ดูเหมือนจะยิ่งบานปลายมากขึ้น เมื่อบทสัมภาษณ์ล่าสุดของดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ กลายเป็นการ ‘ทิ้งระเบิด’ ใส่พระราชวังบักกิงแฮมอย่างชัดเจน

เมแกน พระชันษา 39 ปี เปิดใจในการให้สัมภาษณ์ ‘โอปราห์ วินฟรีย์’ ที่สถานีโทรทัศน์ซีบีเอสออกอากาศเทปเมื่อค่ำวันอาทิตย์ (7 มี.ค.) ตามเวลาสหรัฐว่า เธอยอมรับว่าตัวเองไร้เดียงสา ก่อนเข้าเป็นสมาชิกราชวงศ์ในปี 2561

โดยหลังเข้าสู่รั้ววังบักกิงแฮมแล้ว เธอก็กลายเป็นคนคิด ‘อยากฆ่าตัวตาย’ และ ‘อยากทำร้ายตัวเอง’ เพราะไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ แม้เธอร้องขอแล้วก็ตาม

“ตอนนั้น ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว และมันเป็นความคิดชั่ววูบที่ชัดเจนและน่าตกใจมากทีเดียว" เมแกนเปิดใจกับวินฟรีย์ในรายการยาว 2 ชั่วโมงทางช่องซีบีเอส

เมแกนเผยว่า ตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่เธอตั้งครรภ์เจ้าชายอาร์ชี ราชวงศ์อังกฤษไม่ต้องการให้ทายาทของเธอมีพระยศ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ซึ่งจะทำให้ไม่ได้รับการอารักขาตลอด 24 ชั่วโมง

เมแกน ซึ่งมีบิดาเป็นชาวอเมริกันยุโรปและมารดาเป็นชาวอเมริกันแอฟริกันเผยว่า ในวังมีการพูดเรื่อง ‘สีผิวของทายาท’ ที่จะเกิดมาด้วย แต่เธอไม่ยอมตอบว่าใครพูดเรื่องนี้

“มีความกังวลและบทสนทนาในวังด้วยว่า ผิวของเจ้าชายอาร์ชีจะสีเข้มขนาดไหนเมื่อเขาประสูติ”

นอกจากนี้ เมื่อวินฟรีย์ถามว่า เธอเป็นฝ่ายนิ่งเฉยเอง หรือถูกขอให้นิ่งหลังประสบกับเหตุการณ์นี้ เธอตอบว่า “เป็นอย่างหลัง” โดยดัชเชสแห่งซัสเซกซ์กล่าวถึงคนในวังว่า ไม่เพียงไม่ปกป้องเธอที่ถูกให้ร้าย แต่ยังโกหกเพื่อปกป้องสมาชิกราชวงศ์คนอื่น ในวังมีครอบครัวและมีคนที่บริหารสถาบัน เธอย้ำว่าเรื่องนี้ต้องแยกแยะให้ดี เพราะสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีพระกรุณาธิคุณกับเธออยู่เสมอ

ส่วนรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่ว่าเธอทำให้ ‘เจ้าหญิงเคท’ ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์และพระชายาในเจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์ พระเชษฐาของเจ้าชายแฮร์รี ร้องไห้ก่อนพิธีเสกสมรสของเธอในปี 2561 เมแกนปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง

ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์บอกอีกว่า ข่าวนี้เป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับสื่อเปลี่ยนไป และว่าความจริงเป็นคนละเรื่อง ทุกคนในวังต่างรู้ดี

“เจ้าหญิงเคทเพียงไม่พอใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่วันก่อนงาน และคนที่ร้องไห้คือฉัน เพราะถูกทำร้ายความรู้สึก แต่เจ้าหญิงเคทได้ขอโทษแล้ว”

ด้านเจ้าชายแฮร์รีเผยว่า พระทายาทในครรภ์พระชายาเป็นเพศหญิง พร้อมกับเผยเรื่องความสัมพันธ์กับเจ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารและพระบิดาว่า รู้สึกผิดหวังอย่างมาก เพราะพระบิดาทรงเคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันมาก่อน ทรงรู้ถึงความเจ็บปวด

อย่างไรก็ตาม ดยุคแห่งซัสเซกซ์ ตรัสว่า พระองค์จะยังคงรักพระบิดาเสมอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความเจ็บปวดมากมาย พระองค์คงไม่ถอยออกมาจากราชวงศ์หากพระชายาไม่ถูกกระทำ ทรงถูกตัดความช่วยเหลือทางการเงิน แต่ที่ยังอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะสิ่งที่พระมารดา (เจ้าหญิงไดอานา) ทิ้งไว้ให้

บทสัมภาษณ์ของดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์มีขึ้นหลังจากเมื่อต้นสัปดาห์นี้ หนังสือพิมพ์ เดอะไทม์ส (The Times) ของอังกฤษ เผยรายงาน Exclusive ที่อ้างข้อมูลจากอีเมลของข้าราชบริพารผู้หนึ่งซึ่งระบุว่า เมแกน เคยไล่ผู้ช่วย 2 คนออกจากพระราชวังเคนซิงตัน และยังข่มเหงรังแกทำลายความเชื่อมั่นของข้าราชบริพารอีกคนหนึ่ง

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 มี.ค. สำนักพระราชวังบักกิงแฮม แถลงถึงรายงานของเดอะไทม์สว่า รู้สึก “กังวลอย่างยิ่ง” และจะดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง

“เรามีความกังวลอย่างยิ่งต่อข้อครหาต่าง ๆ ที่อดีตข้าราชบริพารของดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ออกมาเปิดเผยผ่านเดอะไทม์ส ทีมงานด้านทรัพยากรบุคคลของเราจะตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้” แถลงการณ์จากสำนักพระราชวังอังกฤษ ระบุ

คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า พระราชวังบักกิงแฮมจะออกแถลงการณ์ตอบโต้ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์หรือไม่ แม้ตอนนี้บรรดาผู้สังเกตการณ์คาดว่าฝั่งราชวงศ์อังกฤษอาจเลือกที่จะนิ่งเฉยมากกว่า ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่กับราชวงศ์อังกฤษ ตกอยู่ในเครื่องหมายคำถามก็ตาม


ที่มา:

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926313?anf=

https://www.cnbc.com/2021/03/08/meghan-says-palace-had-concerns-about-how-dark-her-sons-skin-might-be.html

https://news.sky.com/story/harry-and-meghan-when-is-their-oprah-interview-and-what-will-they-talk-about-12236628

https://www.forbes.com/sites/carlieporterfield/2021/03/07/heres-why-harry-and-meghans-interview-with-oprah-could-be-a-bombshell-for-the-royal-family/?sh=25f6397c6107

สำนักพระราชวังบัคกิงแฮม ออกแถลงการณ์แรก หลังบทสัมภาษณ์ของเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน ว่าด้วยประสบการณ์เลวร้ายในรั้ววังอังกฤษ ออกอากาศไปทั่วโลก ด้าน 'ควีนเอลิซาเบธ' เสียพระทัย ต่อสิ่งที่ 'แฮร์รี - เมแกน' เผชิญในวัง

แถลงการณ์จากสำนักพระราชวังบัคกิงแฮม ระบุในวันอังคารว่า สมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์ ‘รู้สึกเสียพระทัย’ ที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน (เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และเมแกน มาร์เคิล ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์) ในระยะ 2 - 3 ปีที่ผ่านมา โดยประเด็นที่ถูกกล่าวขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเชื้อชาติ เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และจะต้องได้รับการหารืออย่างจริงจังเป็นการภายใน

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าชายแฮร์รี, เมแกน และอาร์ชี ยังคงเป็นที่รักยิ่งของราชวงศ์เสมอ

ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้น ภายหลังจากเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน ได้เปิดอกให้สัมภาษณ์ครั้งแรก กับพิธีกรดังชาวอเมริกัน โอปราห์ วินฟรีย์ โดยบทสัมภาษณ์ดังกล่าวมีความยาว 2 ชั่วโมงเต็ม ออกอากาศทางสถานี CNBC เมื่อวันอาทิตย์ ก่อนที่จะนำมาออกอากาศซ้ำที่สถานีไอทีวี ของอังกฤษ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นการทิ้งระเบิดสั่นสะเทือนราชวงศ์อังกฤษแบบเต็ม ๆ

ไอเดียเจ๋งสุดใน 3 โลก เมื่อทีมพัฒนาเกาหลีใต้ คิดค้นกระบอกฉีดยารุ่นใหม่ Low Dead Space Syringe (LDS) ของเกาหลีใต้ ที่จะเหลือยาค้างเข็มน้อยมาก ๆ สามารถรีดน้ำวัคซีนจากขวดยาได้หมดจนหยดสุดท้าย ทำให้ได้วัคซีนเพิ่มอีก 1 เข็มฟรี ๆ

หมายความว่า จากปริมาณวัคซีน Covid-19 ที่ระบุจากบริษัท Pfizer ว่า 1 ขวด สามารถแบ่งฉีดได้ 6 เข็ม แต่ถ้าใช้กระบอกฉีดยา LDS ของเกาหลีใต้ จะฉีดได้ถึง 7 เข็ม

และยังสามารถใช้กับวัคซีนจาก AstraZeneca ได้ด้วย จากเดิมที่ระบุว่า 1 ขวดแบ่งฉีดได้ 10 เข็ม แต่ด้วยเข็มฉีดยาสัญชาติเกาหลีใต้ รีดได้เพิ่มเป็น 12 เข็มทีเดียว

ปัญหาเรื่องกระบอกฉีดยากับวัคซีน Pfizer มีข่าวมาสักพักแล้ว เนื่องจาก Pfizer ใส่ปริมาณวัคซีนในขวดยาโดยใช้เกณฑ์ว่าต้องฉีดด้วยกระบอกฉีดยารุ่นใหม่ที่เรียกว่า Low Dead Space Syringe จึงจะแบ่งฉีดได้ 6 เข็มต่อขวด แต่ถ้าใช้กระบอกฉีดยารุ่นเก่าจะสามารถดึงวัคซีนออกมาได้เพียง 5 เข็มเท่านั้น

และหลายประเทศก็กำลังเจอปัญหาการขาดแคลนกระบอกฉีดยารุ่นพิเศษ อย่างในญี่ปุ่น เยอรมัน และอีกหลายประเทศในยุโรป ที่อาจทำให้ต้องหันไปใช้เข็มฉีดยารุ่นธรรมดา และต้องเหลือวัคซีนค้างขวดทิ้งอย่างน่าเสียดาย

เกาหลีใต้จึงแก้ปัญหาด้วยการเร่งพัฒนากระบอกฉีดยา LDS ของตัวเองแถมมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเดิม ที่จะช่วยลดปริมาณยาค้างเข็มน้อยกว่าเดิม จนสามารถรีดวัคซีนเพิ่มได้อีกเข็ม

แต่ทั้งนี้ก็มีผู้เชี่ยวชาญหลายคน ออกมาให้ความเห็นทั้ง 2 ด้าน ซึ่งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่าการพยายามแบ่งวัคซีนเพิ่มจากปริมาณที่ทางบริษัทผู้ผลิตระบุไว้อาจมีผลต่อวัคซีนแต่ละเข็มว่าจะได้ตามปริมาตรที่ควรจะเป็นหรือไม่

แต่ทว่า ศูนย์การแพทย์แห่งชาติของเกาหลีใต้ออกมายืนยันว่าทำได้แน่ และปลอดภัยด้วย เพียงแต่การรีดวัคซีนจากขวดให้ได้จำนวนเข็มที่เพิ่มขึ้น ต้องใช้ความใจเย็น และใช้เวลามากกว่าเดิม แต่ก็ได้มอบหมายให้พยาบาลผู้เชี่ยวชาญถึง 2 คน ทำหน้าที่บรรจุวัคซีนลงในเข็มโดยเฉพาะแล้ว

ส่วนหน่วยงานควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลีใต้ หรือ KCDC ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ไม่ได้ออกมาเป็นกฏเกณฑ์มาตรฐานอย่างเป็นทางการ แต่ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าไม่ได้ห้าม

หากการรีดวัคซีนเข็มพิเศษสามารถทำได้จริง ก็จะทำให้เกาหลีใต้มีวัคซีนเพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนไม่น้อย สมมติว่าเกาหลีใต้ได้วัคซีน Pfizer มาจำนวน 10,000 ขวด ที่ระบุว่าแบ่งได้ 60,000 เข็ม 1 คนต้องฉีดวัคซีน 2 เข็ม จะสามารถฉีดได้ 30,000 คน แต่ถ้าใช้กระบอกฉีดยาของเกาหลีใต้ จะแบ่งได้ถึง 70,000 เข็ม ทำให้ฉีดได้เพิ่มถึง 5,000 คนทีเดียว และจะเพิ่มจำนวนผู้รับวัคซีนได้มากกว่านี้อีก หากใช้วัคซีนจาก AstraZeneca

ไอเดียนี้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนอาจไม่ปลื้มเท่าไหร่ แต่สำหรับชาวเกาหลีใต้ บอกได้คำเดียวว่ากำไรเห็นๆ


อ้างอิง:

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/south-korean-hospitals-extract-extra-covid-19-vaccine-doses-from-vials

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/south-korea-hospitals-extract-extra-covid-19-vaccine-doses-vials-14375734

https://www.dailysabah.com/world/asia-pacific/skorea-allows-doctors-to-extract-more-doses-from-covid-19-vials

ซุส (Sost) เมืองชายแดนปากีสถาน ติดพรมแดนจีน กลายเป็นเมืองร้าง ร้านค้ามากมายปิดให้บริการ คนตกงานระนาว จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

คอลัมน์ ริมทางถนนคาราโครัมไฮเวย์

การแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบเมืองซุส (Sost) ประเทศปากีสถานอย่างหนัก จากภาพถนนหลักคาราโครัมย์ ที่มีรถวิ่งไปมาขวักไขว่ ก่อนโควิด วันนี้เป็นได้แค่สนามฟุตบอลให้ชาวบ้านได้ออกกำลังกายคลายหนาวแทน แทบจะเรียกได้ว่าเกือบเป็นเมืองร้าง ร้านค้ามากมายปิดให้บริการ

เหตุใดเมืองซุส (Sost) ถึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนแทบจะกลายเป็นเมืองร้างแบบนี้  ?

เมืองซุส ( Sost) คือ เมืองชายแดนของปากีสถาน ระหว่าง 2 ประเทศ คือ ประเทศปากีสถาน-ประเทศจีน ซึ่งจะมีด่านชายแดนกุลจิราฟ ในการเดินทางข้ามพรมแดนและขนส่งสินค้า แต่หลังจากเหตุการณ์โรคระบาด ด่านพรมแดนแห่งนี้ ก็ถูกปิดไปตั้งแต่ปลายปี 2019 จนถึงทุกวันนี้ (เปิดด่านเฉพาะกิจไปเพียง 2 ครั้ง ในปี 2020 เพื่อให้ทางการจีนส่งเครื่องมือแพทย์มาช่วยเหลือ ช่วงเดือนเมษายน และเดือนกันยายนเท่านั้น )

ชาวเมืองทั้งหมดโซนนี้ ทำงานร่วมกับคนจีน ไม่ว่าจะเป็นล่าม ไกด์นำเที่ยว คนขับรถ บริษัทขนส่ง พนักงานตำแหน่งต่างๆ ในท่าสินค้า ซึ่งมีท่าสินค้าและโกดังสินค้าจากประเทศจีนขนาดใหญ่มาก ชื่อว่า Dry Port เป็นจุดพักสินค้า ก่อนขนส่งลงไปทางตอนใต้

เพราะฉะนั้น ชาวเมืองเกือบทุกคน ที่เป็นอยู่ในวัยแรงงาน ได้รับผลกระทบเต็มๆ เช่น เจ้าของบริษัททัวร์ที่จีน (ซินเจียง) ลูกทัวร์ก็เดินทางข้ามพรมแดนไม่ได้ เพราะด่านปิด กิจการได้รับความเสียหายอย่างหนัก หรือคนที่ทำงานที่ท่าสินค้า ก็ถูกพักงานไปหลายเดือน

จากผลกระทบอย่างหนักในครั้งนี้ ทำให้ผู้นำฝ่ายค้านโซนGB ทำหนังสือส่งไปที่รัฐบาลกลาง ขอให้เปิดด่านพรมแดนกุลจิราฟ ในวันที่1 เมษายน เพื่อผลประโยชน์และกระตุ้นเศรษฐกิจของโซนเหนือ

ถือเป็นความหวังของชาวเมืองเหนือ หากทางการอนุญาตให้เปิดด่านพรมแดน ชาวเมืองก็จะได้กลับไปทำมาหากินกัน

แม้ว่าประเทศปากีสถาน และเมืองซุส (Sost) จะไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด19 แต่พวกเราก็ได้รับผลกระทบ เพราะไม่มีงานทำ ผู้คนที่นี่ตกงานจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานผู้ชาย โดยส่วนใหญ่ผู้ชายปากีสถานเป็นผู้นำครอบครัว มีหน้าที่ทำงานเลี้ยงครอบครัว ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลครอบครัวเท่านั้น ถ้าผู้นำครอบครัวตกงาน ก็หมายถึงความเป็นอยู่ของคนทั้งครอบครัวเช่นกัน

ชีวิตได้อย่างเสียอย่างเสมอ

ทุกวันนี้รอคอยข่าวดีอยู่ทุกวัน

ถึงที่นี่จะไม่มีโควิด แต่โดนผลกระทบจากโควิดหนักที่สุด!!!

รายงานจากคนไทยคนเดียวที่อยู่เมืองนี้


กุลไลล่า

ไกด์สาวชาวไทย​ สะใภ้​ปากี​สถาน จากหัวหิน​พบรักหนุ่มปากีเชื้อสายวาคี อาศัยอยู่เมืองพาสสุ​ ดินแดนเหนือสุดของประเทศปากีสถาน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารริมถนนคาราโครัมไฮเวย์​ ถนนที่ได้รับการขนานนามว่าสูงที่สุดในโลก​ หรือเส้นทางสายแพรไหมในอดีต​

คอยต้อนรับแขกที่ผ่านทางมา​ แวะกินอาหารไทย​และชิมชา​ เบเกอรี่ชื่อดัง​ ทางเหนือของปากีสถานได้​ พร้อมให้บริการท่องเที่ยวปากีสถาน​หลังโควิด​-19 ผ่านไป

สำนักงานยายุโรปเร่งสอบข้อเท็จจริง หลังเกิดกรณีผู้เข้ารับวัคซีนโควิด-19 ‘แอสตราเซเนกา’ ในยุโรปเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน จนเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1 ราย

สำนักงานยายุโรป (EMA) กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วยุโรปมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาให้ประชากรแล้วกว่า 5 ล้านคน แต่มีรายงานว่า 30 คนในนี้เกิดภาวะเลือดแข็งตัวเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดวัคซีน และหนึ่งในนั้นเสียชีวิต

เมื่อมีรายงานดังกล่าวเกิดขึ้น ทำให้หลายประเทศในยุโรปได้ระงับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกา เริ่มจาก ‘ออสเตรีย’ ที่มีหญิงวัย 49 ปีเสียชีวิตเมื่อวันอาทิตย์ (7 มี.ค.) จากภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกา และประกาศระงับใช้วัคซีนเฉพาะล็อต ABV5300 ในวันจันทร์ (8 มี.ค.) ซึ่งมีจำนวน 1 ล้านโดสแจกจ่ายไปใน 17 ประเทศสหภาพยุโรป

หลังจากนั้นยังพบผู้ที่มีภาวะเลือดแข็งตัวเพิ่มขึ้นอีก 3 รายจากวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาล็อตดังกล่าว ทำให้มีอีก 4 ประเทศประกาศระงับใช้วัคซีนโควิด-19 ล็อตดังกล่าว คือ ‘เอสโตเนีย’, ‘ลิทัวเนีย’, ‘ลักเซมเบิร์ก’ และ ‘ลัตเวีย’

ต่อมาในวันพฤหัสบดี (11 มี.ค.) ‘อิตาลี’ ประกาศระงับใช้วัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาชั่วคราว จากความกังวลเรื่องภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีด แต่เฉพาะล็อต ABV2856 เท่านั้น จากนั้น ‘เดนมาร์ก’, ‘ไอซ์แลนด์’ และ ‘นอร์เวย์’ ก็ประกาศระงับการใช้ในวันเดียวกัน แต่เป็นการระงับใช้วัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาทั้งหมด

นอกจากนี้ มีข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า ที่อิตาลีมีชายวัย 50 เสียชีวิตจากภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังเข้ารับวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาเช่นกัน

จาก 9 ประเทศข้างต้นที่ประกาศระงับการใช้วัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกา มีเพียงเดนมาร์กเท่านั้นที่ระบุระยะเวลาการระงับใช้ 2 สัปดาห์ ประเทศอื่นที่เหลือไม่ระบุว่าจะกลับมาใช้วัคซีนดังกล่าวเมื่อใด

ทั้งนี้ บางประเทศเลือกระงับการใช้จากความกังวลถึงรายงานพบผู้รับวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาเกิดลิ่มเลือดอุดตัน แต่บางประเทศก็ตัดสินใจเพราะพบกรณีดังกล่าวด้วยตนเอง

ตัวอย่างเช่น สถาบันสาธารณสุขนอร์เวย์ออกแถลงการณ์ว่า เลือกระงับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาชั่วคราว หลังจากมีรายงานการเสียชีวิตในเดนมาร์ก และนอร์เวย์เองก็พบผู้เข้ารับวัคซีนมีภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่ส่วนใหญ่เกิดในผู้สูงอายุซึ่งมักจะมีโรคประจำตัวอื่น

ขณะที่บางประเทศยังไม่พบเคสที่เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังฉีดวัคซีนแต่รอดูสถานการณ์ก่อน เช่น คณะกรรมการด้านสาธารณสุขสเปนประกาศว่า ได้ชะลอการฉีดวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาให้กับผู้ที่มีอายุระหว่าง 55 - 65 ปี จนกว่าจะมีการตรวจสอบและสรุปผลข้างเคียงทั้งหมดโดย EMA

โดยทั่วไป ผลข้างเคียงวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาที่เคยพบ และหน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกเคยรายงาน ได้แก่ มีไข้ ปวดหัว ปวดบริเวณที่ฉีด อาเจียน ท้องร่วง วิงเวียน ไม่อยากอาหาร ปวดท้อง ต่อมน้ำเหลืองโต มีผื่นขึ้น ฯลฯ แต่ไม่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

ขณะนี้ คณะกรรมการประเมินความเสี่ยงด้านเภสัชวิทยา (PRAC) ของ EMA กำลังดำเนินการตรวจสอบสาเหตุที่แน่ชัดว่าภาวะลิ่มเลือดอุดตันเกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาหรือไม่

ด้านบริษัทแอสตราเซเนกาออกมาชี้แจงว่า บริษัทเห็นความปลอดภัยของผู้รับวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

“หน่วยงานกำกับดูแลมีมาตรฐานด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ชัดเจนและเข้มงวดสำหรับการอนุมัติยาใหม่ ๆ และรวมถึงวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาด้วย ความปลอดภัยของวัคซีนเราได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางในการทดลองทางคลินิกเฟสที่ 3 และข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบโดยผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียยืนยันว่าวัคซีนนี้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป” บริษัทกล่าวในแถลงการณ์

ด้าน EMA กล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ ยังสามารถใช้วัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาต่อไปได้ในระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุภาวะลิ่มเลือดอุดตัน “ประโยชน์ของวัคซีนดังกล่าวยังคงมีมากกว่าความเสี่ยง”

EMA เสริมว่า “ขณะนี้ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งไม่เคยถูกระบุว่าเป็นผลข้างเคียงจากวัคซีนนี้”

สำหรับประเทศไทยซึ่งสั่งจองวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกาไว้ ล่าสุด เช้าวันนี้ (12 มี.ค.) ผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข ประชุมด่วน มีมติเลื่อนกำหนดการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มแรก ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ที่เดิมกำหนดไว้ 09.00 น. วันนี้ ที่สถาบันบำราศนราดูร เพื่อประเมินวัคซีนแอสตราเซเนกา หลังหลายประเทศในยุโรปพบปัญหาผลข้างเคียง


ที่มา:

https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/143621?utm_campaign=ยุโรประงับ&utm_source=line&utm_medium=oa

https://www.bbc.com/news/world-europe-56357760

https://edition.cnn.com/2021/03/11/europe/astrazeneca-vaccine-denmark-suspension-intl/index.html

https://www.theguardian.com/society/2021/mar/11/denmark-pauses-astrazeneca-vaccines-to-investigate-blood-clot-reports

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือน เมื่อรถ EV สัญชาติจีนเริ่มตีตลาดไล่บี้ Tesla ด้วยราคาสุดพิเศษ ถูกใจคนวัย First Jobber ที่เพิ่งเริมชีวิตทำงานได้ไม่นาน แต่ต้องต้องการความคล่องตัว แถมวิ่งได้ในระยะทางไม่ต่างกันมาก

แม้ว่า Tesla Model-3 จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในจีนในเวลานี้ถึงจะมีราคาสูงถึงคันละ 38,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.17 ล้านบาท ต่อคัน) แต่หากมีกำลังซื้อเพียงพอ ชาวจีนก็เลือกที่จะซื้อ Tesla ที่เป็นเหมือนแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก เหมือนกับถ้าพูดถึงสมาร์ทโฟน คนก็จะนึกถึง iPhone เป็นแบรนด์แรก ๆ

แต่ในจีนก็มีกลุ่มผู้ซื้อมากมาย ทั้งที่ไม่สนใจแบรนด์เลย ขอให้ใช้งานได้ ในราคาคุ้มค่า ซึ่งเข้าทางผู้ผลิตรถยนต์จีน พากันออกรถ EV รุ่นใหม่สู่ตลาดในราคาเพียงแค่ 1 ใน 3 ของ Tesla ด้วยสเปคที่ใกล้เคียงกัน เพื่อดึงตลาดระดับกลาง ที่พิจารณาเรื่องราคา และระยะทางที่วิ่งได้เป็นหลัก มากกว่าเอาชื่อเสียงของแบรนด์เป็นตัวตั้ง

ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมาจึงเป็นยุคเฟื่องฟูของตลาดรถ EV ในจีน ที่รถ Tesla มียอดขายโตขึ้นถึง 21% แต่ในขณะเดียวกันผู้ผลิตรถยนต์ EV ของจีนก็เติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน

จีนนับเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก และยังเป็นตลาดรถยนต์ EV ที่มีจำนวนผู้ซื้อมากที่สุดในโลกเช่นกัน การใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนจีน ที่พัฒนารถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้าใช้เองในประเทศอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 1990 แถมรัฐบาลจีนก็สนับสนุนด้วย โดยการบรรจุการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นที่แพร่หลายให้เป็นวาระแห่งชาติในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ 5 ปี ก่อนการมาถึงของรถยนต์ Tesla ในตลาดจีนเสียอีก

และการผลักดันของจีนก็เป็นผล ที่ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนก็สามารถพัฒนารถยนต์ EV ที่มีศักยภาพพอที่จะแข่งขันในตลาดได้ แม้ไม่ใช่อันดับ 1 แต่ก็ไม่ได้ล้าหลังจนทิ้งห่าง

ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนก็มีอยู่หลายค่าย หลายแบรนด์มาก นับสิบเจ้าที่ไล่ราคาตั้งแต่ไม่เกิน 5 แสนบาท จนถึงราคาแค่แสนต้นๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่คุณภาพดี ขับใช้ได้ไม่อายใคร ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดของจีนมองว่า ราคารถ EV ของจีนจะลดลงมาในราคาที่จับต้องได้มากกว่านี้อีก ระดับที่เด็กมัธยมปลายก็สามารถเก็บเงินพอที่จะซื้อได้ ก่อนที่จะมีสิทธิ์ถือใบขับขี่เสียอีก

ในบรรดาค่ายรถยนต์ของจีน มีบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ที่กำลังเป็นที่น่าจับตา เช่น BYD Hozon Wuling Nio Xpeng ที่ยังครองยอดขายในตลาดจีนมากกว่าครึ่ง

และทางค่ายรถยนต์จีนก็ไม่ได้มองแค่ตลาดจีน แต่มีเป้าหมายที่จะขยายตลาดผู้ใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป และอเมริกา ที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากตามกระแสลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเพื่อลดปัญหาโลกร้อน

แต่ก็ต้องยอมรับว่าแบรนด์รถยนต์จากจีนอาจจะไม่ใช่แบรนด์แรกๆ ที่ผู้ใช้รถในต่างประเทศจะเลือก ถึงกระนั้นก็เป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากพอที่จะดึงดูด พ่อมดการเงินอย่าง วอเรน บัฟเฟต ให้เข้ามาร่วมลงทุนถือหุ้น BYD ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีนถึง 8.2% มากกว่าหุ้น GM ที่เขาถือถึงเกือบ 3 เท่า

และ รถ EV แบรนด์ Nio ค่ายรถยนต์น้องใหม่ของจีนก็สร้างความตื่นเต้นในตลาดสหรัฐไม่น้อย ที่นำเสนอบริการรถยนต์ที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลารอที่แท่นชาร์ตแบตเตอรี่เป็นชั่วโมง แค่ขับไปที่สถานีเปลี่ยนแบตเก่าออก เอาแบตใหม่ใส่ใช้เวลาแค่ 5 นาที ขับรถออกได้เลย ซึ่งค่าย Nio บอกกว่าได้เตรียมแบตเตอรี่สำหรับเปลี่ยนให้ลูกค้าแล้วไม่น้อยกว่า 1 ล้านชุด

ซึ่งก็ถือเป็นธุรกิจตลาดรถยนต์ EV ที่กำลังมาแรง และมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะรถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะมาแทนที่รถยนต์ใช้น้ำมันทั้งหมดในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เราไม่อาจปฏิเสธกระแสนี้ไปได้เลย และประเทศที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยี ผลิตเอง ใช้เอง จนสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ก็จะเป็นหนึ่งจุดแข็งที่สร้างความมั่นคงทางเทคโนโนยี และเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมากในโลกทุนนิยมในอนาคต


อ้างอิง:

https://www.straitstimes.com/business/companies-markets/chinas-5700-electric-cars-tap-huge-market-tesla-cant-reach

https://www.cnbc.com/2021/03/10/chinese-electric-carmakers-add-13point65-billion-in-value-as-tesla-surges.html

https://www.cnbc.com/2021/02/09/teslas-china-sales-more-than-doubled-in-2020.html

https://www.cnbc.com/2021/03/01/buffett-owns-more-of-chinese-electric-car-maker-byd-than-general-motors.html

https://cleantechnica.com/2020/12/27/record-electric-vehicle-sales-in-china/

https://www.caranddriver.com/news/a33670482/nio-swappable-batteries-lease/

https://en.wikipedia.org/wiki/Electric_vehicle_industry_in_China

เมื่อต้องมีพ่อ​ 3​ คน​ ใต้นิยามใหม่ของคำว่า "ครอบครัว" ที่ไม่ต้องเป็น "ชีวิตคู่" เสมอไป

เปิดโลกทัศน์สมัยใหม่ กับการใช้ชีวิตคู่ ที่ดูเหมือนจะเป็นกรอบนิยามที่ล้าสมัยไปแล้ว เมื่อการสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องมีเพียงคู่รักหญิง - ชาย สามี - ภรรยา เสมอไป

โดยปัจจุบันคนยุคใหม่เริ่มคุ้นเคยกับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ซิงเกิ้ลมัม ซิงเกิ้ลแดด หรือ คู่รักเพศเดียวกัน มากขึ้น

แต่นี่อาจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้น​ หลังจากมีครอบครัวอีกรูปแบบ​ ผ่าน​ชาย​ 3 และเด็ก 1 ที่อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างมีความสุข และพยายามต่อสู้ให้ชาย​ 3​ คนนั้น​ เป็นพ่อที่ได้รับการรับรองสถานะ "บิดา" อย่างถูกต้องตามกฏหมาย

เรื่องมุมมองครอบครัวสุดพิสดารในสายตาของคนอื่น แต่เป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาในสายตาของพวกเขา เริ่มต้นจาก เอียน เจนคินส์ ปัจจุบันเป็นถึงผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขต ซาน ดิเอโก้

เขาได้เล่าเรื่องครอบครัว 3 หนุ่มลูกติดของเขา ผ่านหนังสือชื่อ Three Dads and a Baby: Adventures in Modern Parenting และการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดของครอบครัว คือการมีลูก และยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ใส่ชื่อพวกเขาทั้ง 3 คนเป็นพ่อในใบเกิดลูก

โดยเริ่มจากชีวิตในวัยเด็กของ เอียน เจนคินส์ ในรัฐเวอร์จิเนีย ที่รู้ตัวว่าเขาเป็นเกย์ แต่เมื่อเขาบอกความจริงออกไป กลับไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมในสมัยนั้น เขาถูกคนรอบข้างต่อต้านอย่างรุนแรง ไม่มีเพื่อนเลย จนกระทั่งเขาย้ายมาเรียนแพทย์ที่บอสตัน เรียนดีจนได้เป็นถึงอาจารย์หมอ และทำให้เขาได้พบกับ อลัน หนึ่งในลูกศิษย์ของเขา ที่เป็นเกย์เช่นกัน

แล้วทั้งคู่ก็ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน และย้ายมาอยู่ที่เมือง ซาน ดิเอโก้ โดยเอียน ยังคงเป็นอาจารย์สอนที่คณะแพทย์ ใน UC San Diego ส่วน อลัน ทำงานเป็นแพทย์ประจำในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

ทั้งคู่ร่วมชีวิตกันนานถึง 10 ปี จนกระทั่ง อลัน เกิดไอเดียแปลก ๆ​ ว่า ทำไมเราไม่ขยายครอบครัว หาคนร่วมชีวิตเพิ่มหล่ะ

และไอเดียแปลก ๆ​ นี้ ก็พาพวกเขามารู้จักกับ เจอรามี สัตวแพทย์หนุ่มในสวนสัตว์ ซาน ดิเอโก้ ที่ยินดีใช้ชีวิตไตรเน็ต ชัดเจนทุกความถี่ร่วมกัน 3 คน

แต่ต่อมา อลันก็มาพร้อมกับไอเดียแปลก ๆ​ อีกครั้ง คราวนี้เขาบอกว่าอยากได้ลูกสักคน

เรื่องนี้ทำให้ทั้ง 3 คน ต้องมานั่งโต๊ะคุยกันอย่างจริงจังในเรื่องการมีลูก ซึ่งสถานะครอบครัวอย่างพวกเขา การขอบุตรบุญธรรมคงไม่มีใครอนุมัติ และพวกเขาก็ต้องการลูกที่เป็นของพวกเขาจริง ๆ

เขาจึงตัดสินใจติดต่อหาผู้ที่ประสงค์บริจาคไข่ และก็ได้เมแกน ที่ยินดีบริจาคไข่ให้ แต่ต้องนำไปฝากไว้ในครรภ์ของคุณแม่อุ้มบุญที่ไม่ประสงค์ออกนาม จนได้ลูกคนแรกออกมาเป็นลูกสาว ชื่อ ไปเปอร์ ซึ่งกลายเป็นนางฟ้าตัวน้อยของบ้าน

แต่ปัญหาที่ตามมาคือ พวกเขาทั้ง 3 คน ต้องการระบุว่าเป็นพ่อเด็กอย่างถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อให้ลูกของพวกเขาได้สิทธิ์ผูกพันทางกฏหมายอย่างเสมอภาคทั้ง 3 คน

แต่ปัญหาคือ ตามกฏหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียจะอนุญาตให้ระบุชื่อพ่อในใบเกิดมากกว่า 1 คนได้ต่อเมื่อ พ่อคนปัจจุบันมีความผิดปกติ ที่อาจเป็นอันตรายต่อครอบครัว

ทำให้ ครอบครัว 3 หนุ่มต้องยื่นคำร้อง ต่อสู้เรียกร้องสิทธิ์ในชั้นศาล ยอมเสียค่าทนายหลักแสนดอลลาร์ และค่าดำเนินการมากมาย จนได้สิทธิ์ระบุชื่อพ่อ 3 คนในใบเกิดลูก ซึ่งเป็นเคสแรกในรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือจะเรียกว่าเป็นเคสแรกในสหรัฐอเมริกาก็ว่าได้

ซึ่งตอนนี้ ครอบครัว 3 หนุ่ม เอียน อลัน เจอรามี ก็มีลูกคนที่ 2 เรียบร้อย เป็นลูกชายที่พวกเขาตั้งชื่อว่า ปาร์คเกอร์ จากผู้บริจาคไข่คนเดิม แต่แม่อุ้มบุญคนใหม่ ที่พวกเขาช่วยกันเลี้ยงลูก แชร์ค่าใช้จ่ายร่วมกัน และออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ เมแกน แม่ผู้บริจาคไข่ ที่อยู่ไกลถึงรัฐเทนเนสซี บินมาเยี่ยมเด็กๆ อย่างน้อยปีละครั้ง

และเพื่อไม่ให้ลูกๆสับสนในการเรียกพ่อ ก็ตกลงกันว่าให้เรียก เอียน ว่า Papa เรียก อลันว่า Dada และเรียก เจอรามี ว่า Daddy

การสร้างครอบครัวชาย 3 ที่มีลูกติด ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต และหน้าที่การงานของพวกเขาแล้วในตอนนี้ เพื่อนร่วมงานของ 3 หนุ่มก็รับได้ และคิดว่าเป็นครอบครัวที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครดี

เอียน เจนคินส์ หวังว่าเรื่องราวของครอบครัวของเขา จะช่วยให้คนทั่วไปมีมุมมองในเรื่องครอบครัวที่กว้างกว่าเดิม และเข้าใจว่าการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมีได้หลากหลายรูปแบบ ไม่จำกัดเฉพาะการมี "ชีวิตคู่" เท่านั้น

ตราบใดที่ครอบครัวอิ่มอุ่นด้วยความรัก ความเข้าใจ บทบาทของพ่อ และแม่ ก็มีได้หลายหลายไม่จำกัดนิยามจริง ๆ


อ้างอิง:

https://edition.cnn.com/2021/03/06/us/throuple-three-dads-and-baby-trnd/index.html?

utm_source=fbCNNi&utm_term=link&utm_content=2021-03-13T11%3A29%3A07&utm_medium=social

สตรีนิยม (Feminism) การต่อสู้บนพื้นฐานของสตรีนิยม... แต่จงเป็นการใช้เสรีภาพและลงมือทำอย่างสร้างสรรค์

ภาพโปสเตอร์นี้มาจากงาน Black Feminist Festival ณ กรุงปารีสในปี 2017 ปรัชญาของ Feminism เกิดขึ้นเมื่อราว 100 ปีก่อน เพื่อให้สตรีมีความเท่าเทียมในสังคม เช่นการมีสิทธิในการเลือกตั้ง แต่สิทธิในการครองสมบัติในนามของตน เมื่อเข้ายุค 1960s จนถึง 1970s การเคลื่อนไหวของสตรีนิยม เน้นการต่อสู้เพื่อขจัดการกีดกันสตรี และการกดขี่ทางเพศ ซึ่งได้รับการเสริมด้วยกระแสด้านสิทธิมนุษยชน และการต่อต้านสงครามเวียดนาม

Don't agonize, ORGANIZE! อย่าโอดครวญด้วยความทรมาน แต่ลงมือทำอย่างสร้างสรรค์

เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1990s สตรีในสหรัฐอเมริกา มีสิทธิต่าง ๆ มากขึ้นจากกฎหมายที่ให้ความคุมครองแก่สตรีเพิ่มขึ้นในหลายมิติ เช่นสิทธิเกี่ยวกับการลางานโดยได้ค่าจ้างช่วงตั้งครรภ์ เมื่อมีอาการป่วยและลาคลอด การเคลื่อนไหวของสตรีนิยมในช่วงที่สตรีมีสิทธิต่าง ๆ มากขึ้น เปิดโอกาสให้สตรี ได้สร้าง อัตลักษณ์ของตนเอง พัฒนาความเป็นปัจเจกบุคคล และแนวคิดนอกกรอบ โดยไม่ต้องหวั่นกระแสสังคมอย่างที่เป็นมาก

การต่อสู้บนพื้นฐานของสตรีนิยม ดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน และกระแสในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จะเป็นการต่อสู้เรื่องการโดนรังแกทางเพศ ที่โยงไปถึงการใช้อำนาจของผู้ชายในด้านอาชีพ เช่นกระแส MeToo และยังเกิดการโจมตีการเคลื่อนไหวของกลุ่มสตรีนิยม ว่าเป็น White Feminism หรือ “สตรีผิวขาวนิยม” เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสตรีผิวดำ และเชื้อชาติอื่น ๆ

บ่อยครั้งการเคลื่อนไหวทั้งในการรณรงค์และโดยพฤติกรรมส่วนตัวของผู้หญิง มีการแสดงออกอย่างก้าวร้าว จนเกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ว่า สตรีนิยมไม่จำเป็นต้องก้าวร้าว พร้อมชนกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว จนคนทั่วไปบางครั้งเข้าใจว่า คนเหล่านี้เป็นทอม หรือเลสเบี้ยน หรือเกลียดผู้ชาย

การแสวงหาความเท่าเทียมยังคงมีอยู่ในกลุ่มคนหลากหลายทุกกลุ่มจึงมีการใช้คำว่า LGBTQ และเป็นสิ่งที่ยังต้องมีต่อไป เพื่อปรับทัศนะของผู้คนในสังคม

กาลเวลาผ่านมา ในหลายประเทศทั่วโลก สตรีมีสิทธิในการศึกษา ได้รับค่าจ้างเท่ากับผู้ชาย ได้รับตำแหน่งบริหารระดับสูงทั้งในรัฐบาลและบริษัท สตรีได้เป็นผู้นำประเทศมากมาย ทั้งในศรีลังกา อินเดีย ปากีสถาน อิสราเอล อังกฤษ เยอรมันนี นิวซีแลนด์ ฯลฯ ศักยภาพเหล่านี้ ยืนยันว่าสังคมไม่ได้คิดว่าผู้หญิงด้อยกว่าเพศชายหรือเพศอื่น ๆ และได้สร้าง "พลัง" และ "ศักดิ์ศรี" ให้กับผู้หญิงโดยรวม ยืนยันสถานภาพความเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยกย่องเช่นเดียวกับเพศชาย

เมื่อมีพลังและศักดิ์ศรีแล้ว การเคลื่อนไหวของแนวคิดสตรีนิยม ก็ต้องทำในสิ่งที่เพิ่มพลังและศักดิ์ศรีแก่สตรีเพศ ดังจะเห็นว่า female empowerment หรือการสร้างพลังให้แก่สตรี นอกเหนือจากด้านกฎหมายแล้ว ยังพัฒนาโอกาสให้ผู้หญิงได้เติบโตและมีบทบาทสำคัญในทุกมิติของสังคม

ไม่ว่าจะอ้าง แนวคิดสตรีนิยมเชิงทฤษฎี แบบ มาร์กซิสต์ เฟมินิสม์ (Marxist Feminism) โซเชียลลิสต์ เฟมินิสม์ (Socialist Feminism) คัลเจอรัล เฟมินิสม์ (Cultural Feminism) หรือ อินเตอร์เซคชันแนล เฟมินิสม์ (Intersectional Feminism) ต้องไม่ทำการเหยียด ความเป็นมนุษย์ผู้หญิง

มาร์กซิสต์ เฟมินิสท์ เป็นแนวปรัชญาที่แตกมาจากเฟมินิสซึม โดยผสมทฤษฏีของมาร์กซิสต์เข้าไว้ เช่นการวิเคราะห์มิติที่สตรีถูกกีดกันในระบบทุนนิยม และการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ส่วนสตรีนิยมแบบสังคมนิยมนั้นต่อยอดจากแนวคิดแบบมาร์กซิสต์เฟมินิสต์เรื่องระบบทุนนิยมที่กดขี่สตรีเพศ และอ้างถึงทฤษฎีเฟมินิสต์ที่ว่าด้วยบทบาทของเพศสภาพ และสถานภาพที่ผู้ชายเป็นใหญ่

Cultural feminism มองสตรีเพศ โดยพิจารณา “ธรรมชาติของเพศหญิง และแก่นแท้ของความเป็นผู้หญิง โดยมีเจตนาที่จะประเมินคุณค่าและศักยภาพของสตรี และให้นิยามใหม่กับความเป็นผู้หญิง โดยแยกลักษณะของเพศหญิงและเพศชายที่แตกต่างกันตั้งแต่เกิด

Intersectional feminism ต้องการวิเคราะห์บทบาทของสตรีในกรอบของสังคมและการเมือง อันทำให้เกิดการกีดกัน และอภิสิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับสตรีเพศ

การอ้างว่า การใช้ sex toy หรือการสนุกทางเพศอย่างสำส่อน ในการชุมนุมเพื่อเรียกร้องทางการเมือง คือ การเหยียด ลบหลู่ และด้อยค่าความเป็นสตรี อย่างชัดเจน เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ ผู้ชาย กะเทย LGBTQ ที่เป็นอารยชน ก็ไม่ทำ

แม้ว่าการกีดกัน หรือเหยียดสตรีเพศ ยังมีอยู่ในสังคมปัจจุบัน ในวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก แต่มนุษย์ที่ อยู่ร่วมสังคมกันโดยยึดถือในบรรทัดฐานอื่น ๆ ไม่ใช่เพียงเพศสภาพ หรือเพศสภาวะเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องจริยธรรมและกาลเทศะ อันเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสตรีเพศ ผู้หญิงไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงใด หากไม่รู้จักกาลเทศะ ขาดจริยธรรม ย่อมไม่ได้รับการยกย่องจากสังคมอารยะ ยิ่งกว่านั้น พฤติกรรมที่ไม่แยแสต่อจริยธรรมและกาลเทศะ ยังเป็นการ “ด้อยค่า” ให้กับสตรีเพศ

การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม และอิสระทางความคิด ไม่สามารถจะไปถึงจุดหมายได้ ถ้าเน้นย้ำแต่เพียงความสนุกทางเพศ เวลาใดก็ได้ ที่ไหนก็ได้ นิทรรศการของกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก ที่จัดขึ้นในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงรัฐบาล ก็ดูเหมือนจะเน้นแต่การสำรวจความเป็นผู้หญิง ผ่านเรื่องเซ็กส์และอวัยวะเพศหญิง ซึ่งเป็นเรื่องที่ล้าสมัย เชย ตกยุค เพราะสังคมปัจจุบัน ไม่ได้รังเกียจอวัยวะเพศหญิง โดยการตีตราให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสกปรกอย่างในอดีตอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต แม้ว่าในบางสังคมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักเพราะมีการบัญญัติไว้ในความเชื่อทางศาสนา

การนำแนวคิด feminism มาอ้าง ต้องทบทวนให้รอบคอบก่อนพูด ก่อนตอบโต้ การแย้งกับค่านิยมของสังคมและเหตุผลขาดน้ำหนัก ยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวของเฟมินิสต์ ดูเป็นเรื่องตลก

ผู้หญิงเก่งในสังคมไทยมีมากมายทั้งในองค์กรของรัฐ และในบริษัทเอกชน และถ้าไม่ต้องการให้สังคมมองเห็นว่า สตรีผู้มีศักยภาพสูงเท่าเพศชาย หรือเหนือกว่าผู้ชายทั่วไป ต้องแสดงให้สังคมเห็นการเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์ เช่นการช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ให้การสนับสนุนแก่เยาวชนหญิง ให้เกิดความมั่นใจในความเป็นเพศหญิงที่ไม่ได้ด้อยกว่าเพศชาติ ให้เกิดความมุ่งมั่น ผ่านความรู้สึกว่าเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพเช่นคนอื่น และจะได้รับความเกรงใจ และความนับถือจากสังคม ด้วยพฤติกรรมที่สังคมมองว่าเป็นคุณค่าที่ควรแก่การยกย่อง ไม่ใช่เพราะมีใจเสรี อยากทำอะไรก็ได้ไม่แคร์

Feminism ที่มีความจริงใจในการเคลื่อนไหวเพื่อให้สตรีเพศมีความเข้มแข็ง มีความสำคัญในสังคมทุกระดับ จะรู้แก่ใจว่า You are what you do การใช้เสรีภาพอย่างสร้างสรรค์ มีพื้นที่อีกมากไม่ใช่แค่บนเตียง

“ชาวจีนจะไม่ยอมให้คนต่างชาติบางกลุ่ม มากินข้าวของคนจีนแล้วทุบชามข้าวของเรา”

"Chinese people will not allow some foreigners to eat China's rice while smashing its bowls"

“ชาวจีนจะไม่ยอมให้คนต่างชาติบางกลุ่ม มากินข้าวของคนจีนแล้วทุบชามข้าวของเรา”

คำกล่าวนี้ หัว ชุนหยิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศ และอธิบดีกรมสารสนเทศของจีน กล่าวในการแถลงข่าวโต้ตอบสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตก ที่กล่าวหาจีนว่า ใช้แรงงานอุยกูร์เยี่ยงทาสในเขตซินเจียง ในไร่ฝ้ายและโรงงานผลิตผ้าผ้าย เมื่อช่วงปลายเดือน มีนาคม 2564

จีนแถลงว่าการกล่าวหาของอเมริกาและประเทศตะวันตก เป็นการโกหกให้ร้ายอย่างไร้ความอาย ส่วนการต่อต้านสินค้าจีนนั้น ถูกพลเมืองจีนตอบโต้โดยการงดซื้อสินค้าระดับแบรนด์ของตะวันตก โดยมีดาราจีนและผู้เป็นพรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียงของประเทศจีนช่วยผลักดัน โดยการยกเลิกสัญญากับแบรนด์ ส่วนผู้บริโภค และผู้ค้าขายออนไลน์ ทำการยกเลิกแอพพลิเคชั่นช้อปปิ้งออนไลน์ ของแบรนด์ต่าง ๆ

แม้ฟังดูจะเหมือนเป็นกิจกรรมบอยคอตต์เชิงสัญลักษณ์ ที่อาจไม่มีผลกระทบมากนัก แต่โดยความจริง จีนมีพลเมือง 1,400 ล้านคน และยอดขายสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ ในตลาดจีนนั้น ล้วนมีมูลค่าแต่ละปี หลายร้อยหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่นตลาดของ H&M ในประเทศจีนใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจาก UK (1), US (2) และเยอรมันนี โดยทำยอดขายจากร้าน H&M ทั่วประเทศจีนกว่า 500 ร้านได้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2019 หากมียอดขายตกไป 10% ย่อมหมายถึง 140 ล้านดอลลาร์

นอกเหนือจาก H&M แล้ว แบรนด์อื่น ๆ ที่เจอกระแสต่อต้านได้แก่ Nike, Adidas และ Burberry โดยมีสาเหตุหลักมาจากการแถลงนโยบายที่จะไม่ใช้สินค้าฝ้ายของจีน หรือแสดงการเห็นด้วยกับคำกล่าวหาของสหรัฐอเมริกา

คำพูดในเชิงโวหาร ของหัว ชุนหยิง นั้น เป็นคำพูดที่ต่อยอดมาจากคำอธิบาย ที่เธอพูดไว้ว่า “ตลาดของประเทศจีนอยู่ตรงนี้ เราต้อนรับบริษัทต่างชาติด้วยความใจกว้าง แต่เราต่อต้านการโจมตีประเทศจีนด้วยความเกลียดชังและใช้วิธีสกปรก ใช้เรื่องโกหกและข่าวลือ อันทำให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของประเทศจีน”

คำพูดชุดนี้ ช่วยให้ความหมายของ “ทุบชามข้าวของเรา” ชัดเจนขึ้น

สำหรับคนจีน คำว่า “ชามข้าว” ไม่ได้มีความหมายตรง ๆ แต่หมายถึง ช่องทางในการทำมาหากิน เช่นเดียวกับที่คนไทยพูดว่า “ทุบหม้อข้าวของตนเอง” จากความหมายดั้งเดิม ที่ชามข้าวหมายถึง “อาชีพ” ความหมายได้ถูกปรับไปตามบริบท คำว่า “ชามข้าว” หรือ rice bowl นั้น จึงรวมถึง ธุรกิจ การค้า การลงทุน และแหล่งรายได้ทุกประเภท และคำว่า “ชามข้าวเหล็ก” นั้นยิ่งเป็นการย้ำในความหมายของ “แหล่งรายได้ที่มั่นคงถาวร”

บรรดาแบรนด์ต่าง ๆ ที่เข้ามาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจในประเทศจีน กอบโกยรายได้มหาศาลจากพลเมืองจีน เปรียบเสมือน เข้ามา “กินข้าวของคนจีน” แต่การไม่ยอมซื้อผ้าฝ้ายของจีน เพราะอ้างว่าเป็นสินค้าจากการใช้แรงงานทาสตามข่าวลือ คือการ “ทุบชามข้าวจีน” นั่นเอง

ชาวจีน มีโวหารมากมายที่เกี่ยวกับ “ข้าว” ที่น่ารู้ เช่น

- ข้าวทุกเม็ดได้มาจากเหงื่อที่หยดมาจากคิ้ว

- ข้าวหุงสุกไปแล้ว ยังไงก็แก้ไขไม่ได้ (อย่าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว)

- พูดมากแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้ข้าวสุกได้ (อย่าดีแต่พูด)

- ภรรยาจะทำอาหารเก่งเพียงใด ก็ทำอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีข้าว (ถ้าเครื่องมือไม่ครบย่อมทำอะไรไม่สำเร็จ)

- เอาข้าวไปล่อจับไก่ ได้ไก่มาแต่ไม่มีข้าวกิน

- ไม่มีจิตใจที่จะดื่มชาหรือกินข้าว (อยู่ในอารมณ์โศกเศร้าอย่างที่สุด)

- จะให้ข้าวสาร 3 ถัง ข้าก็ไม่มีวันก้มหัวให้ (ไม่ยอมแลกเกียรติกับสิ่งของใด)

- ข้าราชการตงฉิน คือคนที่กินข้าวกับเกลือเท่านั้น

- มีเวลาปีเดียว จงปลูกข้าว มีเวลาสิบปีให้ปลูกป่า ถ้ามีเวลาตลอดชีวิตจงให้ความรู้แก่ผู้คน

- ครูคือผู้ทำนาด้วยปากเพื่อให้ได้ข้าวมาใส่ชาม

- คนรอเกี่ยวข้าว ย่อมดีกว่า ข้าวรอให้คนมาเกี่ยว

คำว่า “ทุบหม้อข้าว” ที่คนไทยใช้นั้น จะให้ภาพที่ชัดกว่าสำหรับคนไทย เพราะหม้อเป็นภาชนะที่ใช้หุงต้ม อันเปรียบเทียบให้เห็นว่า หม้อเป็นช่องทางทำมาหากินที่ชัดกว่า อย่างไรก็ตามคนจีน ก็ใช้ทั้ง “ชามข้าว” และ “หม้อข้าว” ตามความคุ้นเคยของแต่ละคน ส่วนคำว่า “ชามข้าวเหล็ก” ซึ่งหมายถึงอาชีพที่มั่นคงถาวรนั้น ยังใช้เรียก ตำแหน่งงานราชการ เพราะมีความมั่นคงระยะยาว ตกไม่แตก ในเกาหลี ข้าราชการจะมีชื่อเปรียบเทียบว่า “ชามข้าวเหล็ก” เพราะมีรายได้ที่แน่นอน มั่นคง

ใช้ชีวิตท่ามกลางโควิดอย่างไร ? เรื่องเล่าจากสถาปนิกสาวไทย ในกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี กับวัคซีนเข็มแรก ‘Sputnik V’ ของรัสเซีย

ฮังการี ถือเป็นประเทศแรกที่สั่งซื้อวัคซีนจากประเทศรัสเซีย ชื่อวัคซีน Sputnik V (สปุตนิก วี หรือ สปุตนิก ไฟว์) วัคซีนนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความรีบเร่ง ขาดความโปร่งใส ไม่ปลอดภัย หรือบางคนก็บอกว่ารู้สึกกลัวมาก ก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หากเราเป็นผู้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงของฮังการี อย่าง บูดาเปสต์ (Budapest) มีประชากรมากที่สุดในประเทศฮังการี อยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านคน และหากกล่าวถึงช่วงสถานการณ์โควิดในบูดาเปสต์แล้ว ตอนนี้พบผู้ติดเชื้อในเมืองบูดาเปสต์ รวม ๆ สะสมอยู่ประมาณแสนกว่าคน แล้วท่ามกลางสถานการณ์โควิดจะใช้ชีวิตอย่างไร ? กับการที่จะได้รับวัคซีน แต่ถูกกล่าวหาว่าไม่ปลอดภัย

คือ อาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยตกใจอะไรง่าย ๆ และอีกเพราะทางนี้ เราระบาดช้ากว่าทางจีน แรก ๆ ก็หาจะข้อมูล เตรียมความพร้อมไว้หลายอย่าง เหมือนก็ได้เตรียมตัวไว้ก่อน ได้อ่านข่าวทุกวัน เตรียมหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ ถุงมือยาง หรือเรียกว่า ตุนไว้ก่อน ซึ่งปกติที่นี่ฝรั่งไม่ค่อยใส่หน้ากากกันในช่วงแรก ๆ แต่ถึงตอนนี้ก็ใส่ทุกคนแล้ว บางคนใส่หน้ากากหนา 2 ชั้น การใช้ชีวิตของเรายังค่อนข้างปกติ ยกเว้นการงดปาร์ตี้ ส่วนอื่น ๆ ยังคงออกไปเดินเล่น ออกกำลังกาย เรื่องอาหารการกิน ถ้าออกไปซื้อของกินที่ Supermarket ก็จะไปอาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดยเฉลี่ย ก็ดูก่อนว่าข้างในมีคนเยอะมากมั้ย ถ้าเยอะมาก ๆ ก็รอวันอื่น ไว้ค่อยไปใหม่วันหลัง เพื่อลดระยะห่างให้ได้มากที่สุด ทางที่ดีจะไม่ไปทานอาหารที่ร้าน จะสั่งมาทานที่บ้าน และทำอาหารทานเองสะส่วนใหญ่ แล้วก็พกข้าวกล่องเพื่อไปทานที่ทำงาน แต่ก็ยังคงไปทำงานทุกวัน ไม่เคย Work from Home เลย

ในขณะที่เราก็ยังป้องกัน ดูแลตัวเองทุกอย่าง ลดระยะห่าง และใส่หน้ากากตลอด ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ บริษัทสถาปนิกญี่ปุ่น ที่ฮังการี ซึ่งแรก ๆ อาจจะกังวลในเรื่องของการเดินทางไปทำงาน เพราะจากที่เคยขึ้นรถสาธารณะไปทำงานก็ต้องหลีกเลี่ยง เนื่องจากเสี่ยงโควิด ก็เปลี่ยนมาปั่นจักรยานไปทำงานบ้าง เดินไปทำงานบ้าง ในเรื่องนี้อาจจะแตกต่างจากสถานการณ์โควิด ตรงที่เรายังสามารถเตรียมตัวรับมือป้องกัน ซึ่งการเดินทางด้วยตัวเองก็ไม่ได้ง่าย ก็กลัวโดนทำร้ายจากการที่ป้องกันตัวเองได้ไม่ทัน เพราะก็มีเหตุการณ์ที่เห็นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ที่คนเอเชียมักจะโดนทำร้ายจากชาวตะวันตก ซึ่งยังไม่เคยเจอกับเหตุการณ์นี้ และหวังว่าจะไม่เกิดขึ้น

ไม่เพียงแต่การความเตรียมพร้อมแค่นี้เท่านั้น ทุกคนอาจจะไม่ได้โชคดี.. แต่เราเองก็รอดมาตลอด 90% เลย เพราะมีคนที่ทำงานใน บริษัท สถาปนิก ทีมเดียวกัน ติดโควิดไปแล้วถึง 3 รอบ เท่ากับที่ผ่านมา 1 ปี เราก็เลยต้องได้ตรวจโควิด ไปถึง 3 ครั้ง ตรวจ Antigen ไป 1 ครั้ง เช่นกัน (แอนติเจน มักเป็นสารที่แปลกปลอมหรือเป็นพิษต่อร่างกาย เช่น ตัวเชื้อแบคทีเรีย) แล้วถ้าเกิดว่าวันนึงเราไม่โชคดีแล้ว…จะยอมรับวัคซีนป้องกันก่อนดีกว่าไหม

เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 เราได้ฉีดวัคซีนมาแล้ว เป็นแข็มแรก และครั้งแรก... วัคซีนที่ได้ฉีดนั้นเป็นของผู้ผลิตจากประเทศรัสเซีย ชื่อว่า “ Sputnik V ” (สปุตนิก ไฟว์) เป็นวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่พัฒนาโดยสถาบันวิจัยและพัฒนากามาเลยา (Gamaleya Research Institute of Epidemiology and Microbiology) ของประเทศรัสเซีย ซึ่งขณะนี้ “ Sputnik V ” (สปุตนิก ไฟว์) ได้รับการอนุมัติให้ใช้แล้วหลายประเทศทั่วโลก อย่าง อาร์เจนตินา เมียนมา ลาว อิหร่าน อินเดีย ตูนิเซีย และปากีสถาน ซึ่งระบุถึงประสิทธิภาพ 91.6% หรือกลม ๆ 92 % โดยไม่มีผลข้างเคียงที่ผิดปกติ ทำให้ Sputnik V นี่ยิ่งได้รับความไว้วางใจมากยิ่งขึ้น ด้วยประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับวัคซีนตัวอื่น ๆ ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อในฮังการีเริ่มลดลงจากระดับสูงสุดที่เคยทำไว้กว่า 6,000 รายต่อวัน ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. มาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2,000 รายต่อวัน และยังได้ถูกตีพิมพ์ผลการทดลองเชิงคลินิคในเฟสที่ 3 ตีพิมพ์ลงในวารสารแลนเซต วารสารการแพทย์ระดับนานาชาติ ถึงประสิทธิภาพในการป้องกันอาการจากการติดเชื้อโควิด-19 “เวลานี้มีวัคซีนชนิดใหม่ในการร่วมต่อสู้ เพื่อลดอาการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว”


ข้อมูลอ้างอิง

https://www.matichon.co.th/foreign/news_2559957

ผู้เขียน : สถาปนิกสาวไทย บริษัท สถาปนิกญี่ปุ่น ในกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top