Monday, 29 April 2024
PRESS

‘ชูวิทย์’ แฉ!! ผู้มีอิทธิพล ‘ข่มขู่-ปิดปาก’ พยาน ยัน!! แม้กฎหมายล่าช้า แต่จะสู้จนวันสุดท้าย

(20 ม.ค. 66) เวลา 15.00 น. ณ โรงแรมเดอะเดวิสบางกอก กรุงเทพฯ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้แถลงข่าวเปิดเผยถึง timeline ในประเด็นสำคัญ คดีทุนจีนสีเทา ที่เริ่มแฉตั้งแต่ ต.ค., พ.ย., ธ.ค. 65 ถึง ม.ค. 66 นายชูวิทย์กล่าวว่าเป็นการแฉเพื่อส่วนรวม ณ วันนี้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติแล้วทำให้อัยการเข้ามาสอบสวนแทนตำรวจได้ 

ต่อมานายชูวิทย์ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับพยานสำคัญ โดยพยานระบุว่า “มีผู้ติดต่อมาแล้วนำเสนอผลประโยชน์ให้ถอนตัว หรือกลับคำให้การ” 

ซึ่งบรรดาพยานล้วนเกรงกลัวผู้มีอิทธิพล จึงขอไม่เปิดเผยชื่อ และอธิบายต่อว่าตู้ห่าว เติบโตมาอย่างไร ซึ่งไม่สามารถดำเนินการแต่เพียงผู้เดียวได้ ต้องมีผู้สนับสนุน และเกิดคำถามว่าใช่ ตม. สน. กรมการปกครอง ที่ละเลยใช่หรือไม่ และกระบวนการการสอบสวนของตำรวจ ใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ยาวนานไปหรือไม่ ซึ่งตู้ห่าวโดนข้อหาฟอกเงินเป็นคนสุดท้าย แต่ลูกน้องโดนข้อหาก่อน กระบวนการยุติธรรมเกิดอะไรขึ้น ประเทศไทยจึงกลายเป็นดินแดนสวรรค์ของอาชญากรข้ามชาติ โดยเฉพาะที่พัทยา และภูเก็ต ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจค้นไม่เจอเงินที่บ้านตู้ห่าว แต่หน่วยงานไม่ออกหมายจับข้อหาฟอกเงิน ซึ่งมีความเคลื่อนไหวล่าช้ามาก ซึ่งความล่าช้าของคดีทำให้เกิดความอยุติธรรมได้

'ชูวิทย์' บุก!! ศาลอาญาใต้ ฟังคดี 'ตู้ห่าว' ขอชมความยุติธรรม ว่าเที่ยงตรงแค่ไหน?

(23 ม.ค. 66) ศาลอาญากรุงเทพใต้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้มาสังเกตการณ์กรณี ศาลอาญากรุงเทพใต้ กำหนดนัดสอบคำให้การจำเลย คดีหมายเลขดำ ย.87/2566 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดี ยาเสพติด 4 ยื่นฟ้องนายตู้ห่าว 

ชูวิทย์ กล่าวว่า ที่นี่ ศาลอาญาใต้เมื่อ 5 ปีก่อน ตนได้รับการพิจารณา ให้ติดคุก ติดตาราง รับใช้กระบวนการยุติธรรมเมื่อตนทําผิด วันนี้ตนก็มาติดตามดูในฐานะประชาชน ว่ากระบวนการยุติธรรมจะให้ความยุติธรรมกับคนไทยอย่างตนไหม วันนี้เป็นวันแรกที่ตนจะมาติดตาม จะมานั่งฟังอย่างเรียบร้อยภายในศาล 

วันนี้เป็นวันแรก ที่ศาลนัดดูพยานหลักฐาน ดูคําให้การ สอบถามจําเลย ว่าจะให้การปฏิเสธหรือรับสารภาพ ตนเข้าใจว่านายตู้ห่าวและเครือข่ายก็คงจะให้การปฏิเสธ เพราะเป็นโทษหนัก 9 ข้อหา อย่างไรก็ดีการต่อสู้ในวันนี้ ก็คงจะนัดดูว่ามีพยานหลักฐานอื่นใด จําเลยมีพยานเท่าไร จะนัดสืบพยานกันยังไง กี่วันนัด


 

สำนักงาน ป.ป.ส. แถลงผลงาน หน่วย AITF จับกุมต่างชาติซุกยาเสพติดร่วม 79,200 เม็ด

(23 ม.ค.66) ณ ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงาน ป.ป.ส. นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส) พร้อมด้วย นายธนากร คัยนันท์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส., นายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส., นายปฤณ เมฆานันท์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส., นางสาวกัญญนันทน์ คงภัสนิธิโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ปส., พล.ต.ณรงฤทธิ์ สุบิน ที่ปรึกษา ผบ.ศรภ, พ.อ.บุรี บุญวรรณ รอง ผอ.สำนักปฏิบัติการข่าว ศรภ., นายจิรวัฒน์ น้อยกลาง หัวหน้าฝ่ายสืบสวนปราบปรามที่ 1 ส่วนสืบสวนปราบปราม 3 กองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร และ น.อ.ชนันนันธ์ รอดกุล ผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมแถลงข่าว หน่วยเฉพาะกิจสกัดกั้นยาเสพติดทางท่าอากาศยานสากล (Airport Interdictoin Task Force : AITF) ประกอบด้วย กรมศุลกากร, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย และสำนักงาน ป.ป.ส. จับกุมชายชาวเอเชียใต้ พร้อมยึดวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 และประเภท 4 รวมของกลางจำนวน 79,200 เม็ด 

โดยเมื่อวันที่ 20 มกราคม เจ้าหน้าที่หน่วย AITF พบการเดินทางของชายชาวเอเชียใต้ต้องสงสัยเดินทางจากเมืองการาจี เอเชียใต้ เข้าไทยที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทราบชื่อว่า นาย ANSARI ANWAR อายุ 57 ปี จึงแสดงตัวขอทำการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระ จำนวน 3 ใบ ผลการตรวจค้น พบวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 และประเภท 4 รวม 5 รายการ ของกลางทั้งสิ้น 79,200 เม็ด 

แม่ร่ำไห้ พาลูกสาววัย 14 ร้องมูลนิธิปวีณาฯ ถูกเพื่อนชายร่วมห้อง ลวงไปรุมโทรม ป่าหลังโรงเรียน

(23 มกราคม 2566) อีกหนึ่งข่าวที่เรียกได้ว่าสะเทือนอารมย์สุด ๆ โดยเฉพาะเหล่าพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มีลูกสาววัยมัธยม เมื่อแม่ชาวพิจิตร ได้จูงมือลูกสาววัย 14 ปี เข้าร้องขอความเป็นธรรม ณ ที่ทำการมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี

โดยเล่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา ลูกสาวได้ถูกกลุ่มเพื่อนนักเรียนชายร่วมห้องเรียน จำนวน 5 คน ล่อลวงไปรุมโทรมข่มขืน พร้อมถ่ายคลิป โดยมีรุ่นพี่ ม.3 เป็นคนชักชวน ตอนพักกลางวัน หลอกให้ไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ให้กลุ่มเพื่อนที่บริเวณป่าหลังโรงเรียน

จากนั้นได้มีการเผยแพร่คลิปในโซเชียล เมื่อแม่ได้เห็น จึงสอบถามเรื่องราวทั้งหมด และเข้าพบครูที่โรงเรียน พร้อมแจ้งความที่ สน.หนองโสน จังหวัดพิจิตร ซึ่งโรงเรียนได้เรียกผู้ปกครองเด็กชายที่ก่อเหตุทั้ง 5 คน มาเจรจา พร้อมแจ้งให้ทั้งหมด (เด็กที่ก่อเหตุและเหยื่อผู้ถูกกระทำ) ย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่น ซึ่งแม่เห็นว่าไม่เป็นธรรม อีกทั้งคดีที่แจ้งความยังไม่มีความคืบหน้า จึงเดินทางมาร้องต่อมูลนิธิปวีณาฯ 

‘ชาติพัฒนากล้า’ จัดหนัก 12 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ รื้อโครงสร้างประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ ‘รวย-จน’

(24 ม.ค. 66) จับตากันให้ดี!! หลังจากที่ก่อนหน้านี้พรรคชาติพัฒนากล้า ได้ทยอยปล่อยนโยบายพรรคด้านเศรษฐกิจ ออกมาแล้วถึง 2 ชุด ซึ่งก็โดนใจประชาชน โดยเฉพาะคนทำงาน กินเงินเดือน

ล่าสุด!! เช้าวันนี้ พรรคชาติพัฒนากล้า จัดใหญ่จัดเต็ม!! เปิดนโยบายพรรคอย่างยิ่งใหญ่ นำโดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค พร้อมด้วยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค ร่วมถึง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค แกนนำพรรค ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และสมาชิกพรรค

ซึ่งนายสุวัจน์ กล่าวเปิดเป็นคนแรกว่า วันที่ 23 มีนาคม 2566 จะครบ 4 ปี จะยุบสภาหรือไม่ยุบก็ถือว่าครบเทอม ทุกพรรคการเมืองเตรียมตัว พรรคชาติพัฒนากล้า ก็เป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ต้องเตรียมความพร้อม อันดับต้น ๆ ที่อยู่ในใจของความเจ็บปวด คือ เรื่องเศรษฐกิจ 35 ปีที่ผ่านมาไม่เกิดเกิดวิกฤตหนักมากเท่าวันนี้ วิกฤตที่น่ากังวลอีกส่วน คือ วิกฤตโลก สงครามการค้า และโควิด-19 สงครามยูเครน-รัสเซีย ปัจจัยหลัก คือ การเกิดสงครามการค้า การขึ้นอัตราดอกเบี้ย เกิดเป็นภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอยหรือไม่ จีดีพีโลกกลับมาไม่ 1% โลกร้อน เทคโนโลยีดิสรัปชั่น วันนี้โลกวุ่นวายมาก และสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ การจัดกลุ่มของประเทศมหาอำนาจใหญ่ เกิดการย้ายฐานการลงทุน

ขณะที่ นายกรณ์ จาติกวาณิช พร้อมด้วยสมาชิกพรรค ได้ร่วมกันเปิดเผยถึง 12 นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า ประกอบด้วย 

- หาเงินให้ประเทศ 5 ล้านล้านบาท ด้วยกลุ่มเฉดสี ดังนี้ สีเขียว ด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ นโยบายทุกบ้านขายไฟฟ้าได้ / สีเหลือง เศรษฐกิจสร้างสรรค์อาทิ กองทุน Soft Power / สีเงิน เศรษฐกิจวัยเก๋า ดูแลสร้างงานผู้สูงวัย / สีเทา นโยบายเปลี่ยนส่วยเป็นภาษี / สีฟ้า เศรษฐกิจสายเทคโนโลยี ลดภาษี Start Up / สีขาว เศรษฐกิจสายมู ให้งบจังหวัดละ 1 พันล้าน สร้างแหล่งท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ / และสีรุ้ง นโยบายผลักดันสมรสเท่าเทียม ให้กลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้

- ลดภาษีบุคคล เงินเดือน 40,000 บาทแรก ไม่ต้องเสียภาษี เพื่อลดภาระให้กลุ่มคนทำงาน โดยถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากรายได้ของภาครัฐ กำลังขยับขึ้น อีกทั้งยังเป็นธรรม จากคำมั่นสัญญาเดิมของพรรคการเมืองใหญ่ ที่ทำไม่สำเร็จ จากการเลือกตั้งครั้งก่อน

- น้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ถูกลง รื้อโครงสร้างพลังงาน โดยปรับราคาขายให้ตรงตามการผันผวนของต้นทุนในแต่ละช่วง ตามราคาตลาดกลางของโลก

‘บช.ปส.’ แถลงจับเครือข่ายยาเสพติด 3 คดี ยึดยาไอซ์ได้ทั้งสิ้น 1,145 กิโลกรัม

(24 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส) ถนนวิภาวดีรังสิต พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รองผบ.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร. และพล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. แถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติด 3 ราย 

คดีแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส 4 ร่วมกับ บก.ขส. จับกุมผู้ต้องหา 3 คน คือนายอาคม อายุ 27 ปี จับกุมได้ที่ปั๊มน้ำมัน PT สาขาท่าแค ถนนเพชรเกษม ตำบลท่าแค อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง, น.ส.แหม่ม อายุ 32 ปี และน.ส.ชญาดา อายุ 35 ปี จับกุมได้ที่ริมถนนสาย 41 ระหว่างกม.128 ถึง กม. 129 ตำบลป่าเว อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

หลังสืบทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลางนำไปส่งให้กับขบวนการค้ายาเสพติดที่ประเทศเพื่อนบ้านทางภาคใต้ พบรถกระบะของกลาง 3 คัน บรรทุกพืชผักทางการเกษตรมาเต็มคัน ขับตามกันมาโดยรถบรรทุกสินค้าจอดแวะที่ปั๊ม PT สาขาท่าแค เมื่อตรวจค้นพบนายอาคมเป็นผู้ขับขี่ สารภาพว่ามียาเสพติดทุกซ่อนอยู่ ใช้สินค้าทางการเกษตรอำพราง ส่วนรถอีก 2 คัน จับกุมได้ที่ริมถนนสาย 41 ตำบลป่าเว อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ยาไอซ์ 688 กิโลกรัม พร้อมยึดโทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง โดยขบวนการดังกล่าวเป็นขบวนการค้ายาไอซ์ข้ามชาติ นำยาเสพติดมาจากทางภาคอีสานส่งต่อกันเป็นทอด ๆ ไปยังปลายทางประเทศที่ 3 

นอกจากนี้ตำรวจ บก.ปส. 4 ร่วมกับตำรวจบก.น. 7 เจ้าหน้าที่ ศรภ.กองบัญชาการกองทัพไทยขยายผลการเครือข่ายดังกล่าวได้ผู้ต้องเพิ่มอีก 4 ผู้ต้องหา คือ น.ส.วรวรรณหรือโรส ได้ที่หน้าบิ๊กซีมินิมาร์ท ถนนเพชรเกษม ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ของกลางยาไอซ์ 3.8 กรัม ยาบ้า 100 เม็ด นายณัฐพงษ์ หรือณัฐ จับกุมได้ที่ซอยจำเนียรสุข 3 ถนนเพชรเกษม แขวงวังท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ พร้อมของกลางไอซ์ 64 กรัม จับกุมนายณัฐวุฒิหรือป็อกและนายนัสหรือมอส ได้ที่หมู่บ้านจรัญวิลล่า 3 ซอยบางแวก 37 แขวงบางแวก เขตภาษีเจริญ ได้ของกลาง 43.285 กิโลกรัม และผงเมทแอมเฟตามีน 660 กรัม โดยเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดผ่านแอปพลิเคชันไลน์

จองที่ชาร์จรถ EV ในจุฬาฯ ผ่านแอปฯ แต่ยามไล่ รู้ทีหลัง ผู้ให้บริการแจ้งห้ามใช้ 06.00-17.00 น.

ไม่นานมานี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า ‘Sira Nakasiri’ ได้โพสต์ข้อความลงในกลุ่ม ‘EV Club Thailand Group’ ถึงกรณีที่ได้ เข้าไปใช้บริการสถานีชาร์จอีวี หรือรถยนต์ไฟฟ้า ใน MEA หรือสถานีชาร์จของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) โดยสถานีชาร์จนี้ได้ตั้งอยู่ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โดยเรื่องพีกคือผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านนี้ ได้จองการชาร์จผ่านแอปพลิเคชันไปเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏว่าเมื่อมาถึงจุดชาร์จ ทาง รปภ. ของจุฬากลับมาไล่ และไม่ให้ชาร์จ โดยอ้างว่าใช้ได้สำหรับผู้บริหารของจุฬาฯ เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในแอป ก็เปิดให้จองชาร์จได้ปกติ 

'หัวหิน' ยกระดับสู่เมือง Smart city ติด CCTV รอบเมือง ตั้งเป้าลดอาชญากรรม 50%

(3 ก.พ. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าประชุมหารือเตรียมความพร้อมโครงการ Smart city HuaHin โดยมีนายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีหัวหิน ให้การต้อนรับ ณ เทศบาลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ชัยวุฒิ กล่าวว่า Smart city เป็นนโยบายสำคัญของท่านนายกฯ ใช้ชื่อโครงการทั้งหมดว่าไทยแลนด์ 4.0 ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ตอนนี้ถือว่าประเทศของเรามาได้ไกลแล้ว ประชาชนมีการเข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ต เข้าถึงการใช้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ในการทำงานทำธุรกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งถือว่าคนไทยคุ้นเคยกับดิจิทัลมาก

Smart city เป็นเรื่องของความสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นประกอบทำให้อาชีพดีขึ้น ตนว่าหัวหินก็เด่นในเรื่องของการท่องเที่ยว การค้าขาย ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ซึ่งตนคิดว่า ถ้าเราได้นำคอนเซปต์ของ Smart city มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ จะทำให้เมืองหัวหินพัฒนาได้ดียิ่งขึ้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองหัวหินมากขึ้น มีคนมาซื้อที่ดินมากขึ้น

Smart city ยังไม่ได้ให้แค่ความเจริญ แต่ลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ต่างจังหวัด ในพื้นที่ห่างไกล การมีโครงการนี้เข้าไปในพื้นที่ จะทำให้เมืองทันสมัยขึ้น ทำให้ประชาชนอยู่สุขสบายมากขึ้น

มองพรรคการเมืองไทย ผ่านเลนส์ ‘ดร.ธีรภัทร์’ หมั่นรับฟัง ปชช. มุ่งทิ้งปมขัดแย้งในพรรค

แม้หมอกควันความขัดแย้งระหว่าง นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะจางลงพร้อมกับหน้าฉากที่หลายคนมองว่า ‘จบสวย’ แต่นั่นก็กำลังสะท้อนภาพความเป็นจริงของเบื้องหลังพรรคการเมือง ที่หากคิดต่างอย่างไม่ลดละ อคติแบบไม่ยอมความ ก็อาจจะนำมาสู่ความเสียหายต่อภาพรวมของพรรคนั้นๆ ทั้งๆ ที่ในโลกแห่งการเมือง ความร้านฉานชั่วขณะ มักมิใช่สิ่งแปลกใหม่อันใด

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์’ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นักวิชาการประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้มองปมประเด็นดังกล่าวพร้อมแนะนำการปฏิบัติตัวของบรรดาพรรคการเมืองในห้วงเวลานี้กับ THE STATES TIMES ไว้อย่างน่าสนใจว่า... 

ในเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะในองค์กรหรือสถาบันใด ย่อมต้องมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้เสมอ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของพรรคการเมือง ที่มักมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ก็มีสิ่งที่หลายคนอาจจะวิตกก็คือ เรื่องของความเห็นที่แตกต่างกันบางครั้ง มันควรจะเป็นเรื่องที่พูดคุยกันในพรรค ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะชน 

กรณีของคุณ ‘พิธา-ปิยบุตร’ สะท้อนให้เห็นว่า พรรคการเมืองควรจะต้องมีกระบวนการในการรับฟังความคิดเห็นกันมากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังดีที่พรรคก้าวไกลนั้นมีผู้นำอย่าง คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค ที่แม้ว่าจะไม่มีสิทธิ์ในการลงสมัครต่างๆ ก็ตาม แต่ตนคิดว่าความคิดเห็นของบุคคลเหล่านี้ ก็เป็นหัวใจสำคัญที่จะผสานความเข้าใจและนำพาพรรคให้เดินหน้าต่อไปได้ 

อุบัติเหตุทางเศรษฐกิจ 2 กูรู ศก.ไทย เชื่อ!! กรณีแบงก์ SVB ล้ม ไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อ ‘โลก-ไทย’

หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสั่งปิดธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) และเข้าควบคุมอุ้มแบบทันทีทันใด เพราะเกรงว่าจะเกิดวิกฤติโดมิโนต่อธนาคารอื่นๆ (ซึ่งเริ่มมีหลายแบงก์ที่ถูกสหรัฐฯ สั่งปิดอีกมาเป็นระลอก) ภายหลัง SVB ประสบภาวะล้มละลาย จากปัญหาวิกฤตสภาพคล่องของกลุ่มธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) และ Startup นั้น ก็พลันให้ทั่วโลกตระหนกหวั่นสถานการณ์ดังกล่าวจะซ้ำรอยวิกฤติซับไพรม์ 2008 หรือไม่?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP ได้วิเคราะห์ปมปัญหาและผลกระทบกับ THE STATES TIMES ว่า... “การที่ธนาคาร Silicon Valley Bank ซึ่งเป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับกลุ่ม Venture Capital และ Startup ได้เข้าสู่ภาวะล้มละลาย เนื่องจากเพิ่มทุนไม่สำเร็จ ส่งผลให้หุ้นของบริษัทร่วง และฉุดหุ้นธนาคารอื่นๆ ร่วงลงไปด้วย ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐแคลิฟอร์เนียได้สั่งปิดกิจการ Silicon Valley Bank และให้อยู่ภายใต้การควบคุมของ US Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) อย่างรวดเร็วในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (10) โดย FDIC จะทำหน้าที่ชำระสินทรัพย์ของธนาคารเพื่อชำระคืนลูกค้า ซึ่งรวมถึงผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้

“ทว่าสิ่งที่น่าสนใจในทัศนะของ ดร.พิพัฒน์ ก็คือ Silicon Valley Bank เป็นธนาคารที่ได้ชื่อว่าค่อนข้างระมัดระวังในการบริหาร มีสินทรัพย์สภาพคล่องอยู่ค่อนข้างมาก โดยครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ ขณะที่ NPL หรือหนี้เสีย ก็ค่อนข้างต่ำมาก (ต่ำกว่า 1%) และปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากคุณภาพสินทรัพย์แบบปัญหาธนาคารอื่นๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดมาจากการที่ ‘เงินฝากเริ่มลดลง’ หรือ ‘โตช้า’ เพราะเงินร่วมลงทุนเริ่มหายาก และบริษัท Startup ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคาร เริ่มมีน้อยลง ทำให้มีปัญหาสภาพคล่อง จนต้องเริ่มขายสินทรัพย์ เช่น ตราสารหนี้ออกมา 

“แต่ปัญหาใหญ่ อยู่ที่เจ้าตราสารหนี้เหล่านี้ ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา พอธนาคารขายตราสารหนี้เหล่านี้ออกมาในเวลาที่ยังขาดทุนอยู่ ทำให้ต้องบันทึกการขาดทุนผ่าน Income Statement และนั่นก็พาให้อัตราส่วนทุนของธนาคาร ได้รับผลกระทบตามไปด้วย จนทำให้ธนาคารต้องเร่งเพิ่มทุนอย่างที่เห็น”

คำถาม คือ “ปัญหาแบบนี้จะเกิดขึ้นกับธนาคารอื่นๆอีกหรือไม่?” 
ดร.พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นปัญหาสภาพคล่องล้วนๆ และไม่คิดว่าประเด็นนี้จะกลายเป็นปัญหาเชิงระบบ และธนาคารใหญ่ๆ คงไม่ได้มีปัญหาอะไรขนาดนี้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับธนาคารอื่นๆ ที่มีวิกฤตศรัทธา แต่ก็ต้องจับตากันดีๆ ครับ เพราะภาวะแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้”

อีกทัศนะหนึ่งจาก รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เกี่ยวกับกรณี SVB ล้มในครั้งนี้ ก็ได้เปิดเผยกับ THE STATES TIMES ว่า สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้   Silicon Valley Bank คือขาดสภาพคล่อง ซึ่งมาจาก 3 สาเหตุสำคัญ ได้แก่…

1. ผู้ฝากเงินขาดความมั่นใจ ต่อให้แบงก์มีความมั่นคงแค่ไหน แต่ถ้ามีคนแห่ไปถอนเงิน แบงก์ก็จะเจอปัญหา
2. หมวดของค่าใช้จ่ายสูงขึ้น เพราะอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นถึง 4% จึงทำให้ต้นทุนเงินฝากสูงขึ้น
3. รายรับ ที่มีปัญหาในปัจจุบัน

“เหตุการณ์ SVB ล้มละลาย ต้องมองเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เป็นตัวตั้งก่อนว่า การที่แบงก์ล้มแบบนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระดับที่ถดถอยรุนแรงหรือไม่? ซึ่งหากเรามองดูในจุดแรก SVB มี Asset (ทรัพย์สิน) อยู่ที่ 2แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 0.1% ของGDP สหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ26ล้านล้านดอลลาร์ หรือก็คือ สเกลยังต่ำ และเครือข่ายของแบงก์ไม่ได้กว้างขวาง รวมถึง SVB ยังลงทุนในธุรกรรมที่เป็นปกติ ไม่ได้มีความเสี่ยงด้วย”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top