Sunday, 28 April 2024
PRESS

‘สร้างอนาคตไทย - ไทยสร้างไทย’ หารือไม่คืบหน้า เผยเป็นพันธมิตรการเมือง แต่ไม่ชัดเจน ‘ควบรวมพรรค’

(29 ธ.ค. 65) จากกระแสการเมือง ซึ่งเป็นที่น่าจับตา กรณีการนัดหารือ ระหว่างพรรคสร้างอนาคตไทย และพรรคไทยสร้างไทย ในช่วงเช้าของวันนี้ นำโดย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย และ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วยนายโภคิน พลกุล ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยสร้างไทย, นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคไทยสร้างอนาคตไทย ที่ได้ร่วมพูดคุยหารือเกี่ยวกับทิศทางการเมือง 

โดยทันทีที่แกนนำทั้งหมด เดินทางมาถึงร้านอาหาร Corner ซอยสุขุมวิท 26 ได้เข้าไปหารือกันแบบส่วนตัวในห้องอาหาร ก่อนออกมาตั้งโต๊ะนั่งร่วมกันแถลงข่าวให้กับบรรดาสื่อมวลชน จำนวนมากที่มาเฝ้ารอติดตามความคืบหน้า การควบรวมของทั้ง 2 พรรค

โดยนายโภคิน กล่าวเป็นคนแรกว่า ทั้ง 2 พรรคมีการหารือกันมาแล้วเป็นระยะ ในฐานะเพื่อนเก่าที่สนิทคุ้นเคย และทำงานร่วมกันมาตั้งแต่อดีต ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่าบ้านเมืองกำลังมีปัญหา คิดว่า อำนาจเงิน อำนาจรัฐ ระบบราชการ ไม่ตอบสนองต่อประชาชน แต่ตอบสนองผู้มีอิทธิพล นักธุรกิจสีเทา 

ทั้งนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีแต่ความขัดแย้ง ทำให้ประเทศเดินไปไม่ได้ จึงมองว่า หากปล่อยสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป จะทำให้ประชาชนไม่มีอนาคต ประเทศไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ จึงนัดมาพูดคุยหาทางออกให้ประเทศ ควรเอาจริงเอาจริงในการแก้ไขปัญหา และการร่วมแรงร่วมใจ โดยสิ่งแรกที่เห็นตรงกัน คือ การมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ไม่เช่นนั้น ประชาชนจะไม่มีส่วนร่วม หรือมีอำนาจอย่างแท้จริงได้ เพราะไม่อยากเห็นทุกคนจำนนต่ออำนาจรัฐ อำนาจเงิน หากเริ่มต้นตรงนี้ได้ เรื่องอื่นจะตามมาเอง

ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวเสริมว่า ส่วนตัวและนายสมคิด เคยทำงานร่วมกันมานาน หลาย 10 ปี จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และเคยทำนโยบายที่สำคัญให้กับประเทศจนสำเร็จ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ลูกหลานจะอยู่อย่างไร ดังนั้น ภารกิจครั้งนี้ คือ การสร้างพรรคการเมือง เพื่อส่งมอบประเทศไทยให้คนรุ่นต่อไป 

จึงมาหารือร่วมกันว่าจะร่วมงานการเมืองกันต่ออย่างไร ที่ไม่ใช่การแย่งชิงตำแหน่ง แย่งชิงอำนาจ โดยตกลงกันว่า จะพยายามแสวงหาทางออกให้บ้านเมือง และร่วมมือเป็น ‘พันธมิตร’ ยุติความขัดแย้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

ส่วนนายอุตตม กล่าวว่า ความท้าทายที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ทั้ง 2 พรรค ต้องมาผนึกกำลังเป็นพันธมิตรเฝ เพื่อบ้านเมือง เพราะปัญหาบ้านเมืองขณะนี้ใหญ่เกินกว่าที่คนไม่กี่คนจะแก้ได้ จึงต้อง ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ

'เพื่อไทย' สยบข่าวลือ จับมือบางพรรคตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ลั่น!! ขอเดินหน้าโกย 250 เสียง เพื่อตั้งเป็นรัฐบาลเอง

(4 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 9.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรคเพื่อไทย รวมกันตั้งโต๊ะชี้แจงจากกรณีที่สื่อหลายสำนัก ต่างนำเสนอข่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะจับมือ กับพรรคการเมืองบางพรรค เพื่อจัดตั้งรัฐบาลภายหลังสิ้นสุดการเลือกตั้ง โดยทางพรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธชัดเจน พร้อมยืนยันไม่มีการจับมือกับพรรคใดเพื่อตั้งรัฐบาล แต่จะเน้นไปที่นโยบายเดินหน้าแลนด์สไลด์ ซึ่งจำเป็นต้องได้เสียงจากผู้แทนทั่วประเทศมากกว่า 250 เสียง เพื่อตั้งเป็นรัฐบาลเอง ในการอาสาเข้าไปแก้วิกฤตเศรฐกิจให้กับคนไทย 

สำหรับรายละเอียดในแถลงการณ์พรรคเพื่อไทยวันนี้ มี 3 ประเด็นหลักที่น่าสนใจ ประกอบด้วย

สภาเด็กฯ ยื่นหนังสือให้ กทม. ขอมีส่วนร่วมปรับปรุงงบประมาณ พร้อมปรับแนวประชาสัมพันธ์กิจกรรมให้เด็กรู้ทั่วถึง

สภาเด็กฯ ยื่นหนังสือปฏิรูปเด็กกทม. เผยอยากมีส่วนร่วมปรับปรุงงบประมาณ และปรับโครงสร้างการประชาสัมพันธ์ใหม่

(4 ม.ค. 66) สิบเอกดุษฎี ถิรธนกุล ประธานสภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยผู้แทนจากสภาเด็กเยาวชนระดับเขต ได้เข้ายื่นหนังสือกับตัวแทนสำนักงานเลขานุการผู้ว่า กรุงเทพมหานคร ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ในประเด็นเรื่องการนัดหมายหารือ ยื่นข้อเสนอ และแถลงข่าวเกี่ยวกับการปฏิรูปสภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร 

ดุษฎี กล่าวว่า วันนี้เรามายื่นหนังสือเพื่อที่จะเข้าพบกับท่านผู้ว่าฯ เพื่อจะมานั่งพูดคุยหารือแล้วยื่นข้อเสนอ รวมถึงนัดแถลงข่าวร่วมกันในวันที่ 11 ม.ค. ที่จะถึงนี้ เราคาดหวังว่าผู้ว่าฯ จะตอบรับกลับมา ซึ่งเราอยากได้รับคําตอบกลับมาว่าข้อเสนอของเราที่รวบรวมมาทั้งปีจะเป็นอย่างไร ซึ่งพวกเราได้สัมผัสจากประสบการณ์ตรง และพวกเราได้มีการพูดคุยกับเพื่อนเด็กและเยาวชนภายในพื้นที่ จากผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ผ่านมาตลอดช่วงหนึ่งปี เช่น โครงการนิวเจนคลับ, โครงการเวิร์กช็อป และก็ในส่วนที่เป็นสภาเด็กและเยาวชน กรุงเทพมหานคร จากนั้นจึงนำข้อสรุปมารวมกันปรับปรุงข้อเสนอ รวมทั้งได้ศึกษา งานวิจัยของศูนย์นโยบายด้านเด็กและครอบครัว พวกเราก็รวมตัวกันคิดข้อเสนอนี้ออกมา แบ่งออกไปสามหมวดหมู่ นั่นก็คือเรื่องของกระบวนการการสร้างการมีส่วนร่วม ให้เด็กเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สองก็คือเรื่องของการปฏิรูปงบประมาณ และสามก็คือในส่วนของการปฏิรูปอํานาจและบทบาทในการบริหารจัดการนโยบายสาธารณะ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน มีอยู่ด้วยกันประมาณ 10 กว่าข้อ ก็จะปรับปรุงข้อเสนอไปเรื่อย ๆ 

'ชัยวุฒิ' มุ่ง!! สิงห์บุรี เตรียมความพร้อมกิจกรรม 'ข้าวรักษ์โลก' พร้อม 'เยี่ยมเยียน-รับฟังปัญหา' พี่น้องชาวลพบุรี

วันนี้ (5 ม.ค.65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมคณะ ลงพื้นที่ บริเวณ ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โดยเพื่อตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าพื้นที่ก่อสร้างพนังกั้นน้ำ จากนั้นจะออกเดิน ต.น้ำตาล เดินทางต่อไปยังพื้นที่นานำร่อง หมู่ที่ 1 ต.น้ำตาล อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เพื่อตรวจความเรียบร้อยและรอต้อนรับ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะมาเป็นประธานเปิดกิจกรรม 'ข้าวรักษ์โลก' ในวันที่ 6 ม.ค.65 นี้

"วันพรุ่งนี้ถือเป็นวันสำคัญของชาว จ.สิงห์บุรี จึงจำเป็นต้องมีการตรวจความเรียบร้อยเพื่อต้อนรับ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายชัยวุฒิ กล่าว

ผู้เสียหายแฉยับ 'เพชรพันปี' จอมจัดฉากขายสินค้าไม่ตรงปก ด้าน 'หมอดูดัง' ลากไส้ซ้ำ หวังทวงคืนความบริสุทธิ์ให้ 'บิ๊กเอ็ม'

(7 ม.ค. 66) เวลา 12.00 น. โรงแรม TK Palace แจ้งวัฒนะ ห้องไอวี่ 3 คุณฝ้ายหนึ่งในผู้เสียหายจากการซื้อเพชรจากคุณเพชรพันปี หรือร้าน พีดับบลิว เจมส์ แอนด์ ไดมอนด์ ซึ่งร้านนี้กำลังเป็นประเด็นกับ 'ณวัฒน์ อิสรไกรศีล' บอสใหญ่แห่งเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ และ มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเธอออกมาแฉว่าเพชรที่ซื้อมาจากร้านนี้นั้นได้ไม่ตรงตามสเปก

คุณฝ้ายกล่าวว่า ตนรู้จักกับคุณเพชรพันปีมาสิบกว่าปีแล้ว หากหลายคนจะสงสัยว่าทําไมโดนหลอก ตนรู้จักตั้งแต่สมัยทําเบาะรถยนต์ คุณเพชรพันปีมักจะพรีเซนต์ตัวเองเสมอว่า เป็นสะใภ้แสนล้าน เปิดมูลนิธิ ทําบุญช่วยเหลือผู้คน นี่ทําให้ตนยิ่งเชื่อใจตัวเขาไปใหญ่ โดยการสั่งซื้อสินค้าจากทางร้านช่วงแรก ๆ สินค้าสวยจริงตามที่โฆษณา แต่มันเป็นแค่ช่วงแรกเท่านั้น เวลาผ่านมานานตนก็ยังซื้อสินค้าจากทางร้านต่อเนื่อง และไม่ได้เช็กต่อเนื่องด้วยความไว้ใจ หลังจากร้านนี้เกี่ยวโยงกับคดีดังตนเลยนำเพชรที่ซื้อมาจากร้าน ไปตรวจสอบ ผลปรากฏว่าเพชรที่ซื้อมานั้น เป็นเพชรจริงแต่ไม่ตรงตามสเปกตามที่โฆษณาไว้

“ฝ้ายเป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่เป็นคนรวบรวมผู้เสียหาย แล้วก็เป็นคนแรก ๆ ที่ กล้าพูดว่า สินค้าของร้านนี้ ไม่ได้มาตรฐานตามที่โฆษณา ตนมีหลักฐานคือการนําสินค้าที่ได้รับจากร้านไปตรวจ กับสถาบันที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือได้หลายชิ้น ผลปรากฏว่าสินค้าของเขาไม่ตรงตามสเปก” คุณฝ้ายกล่าว

คุณฝ้ายยังเผยอีกว่า ไม่นานมานี้คุณเพชรพันปีเพิ่งจะอัดคลิปอธิบายว่า แหวนนพเก้ารุ่นหนึ่ง พลอยตรงกลางจะต้องเป็นพลอยจากแล็บทั้งหมด เนื่องจากวิธีการฝัง มันฝังไม่ได้ เนื่องจากไม่มีหนามเตย ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่าหากคุณเพชรพันปีพูดแบบนี้ นั่นหมายความว่ารุ่นนี้ จะต้องเป็นพลอยจากแล็บทั้งหมด แต่บังเอิญมีผู้เสียคนหนึ่ง เขานำเพชรรุ่นเดียวกันไปตรวจมาเมื่อวาน (6 ม.ค. 66) ผลปรากฏว่าพลอยตรงกลางมันเป็นพลอยแท้ นั่นหมายความว่าจากที่คุณเพชรพันปีพูดมันย้อนแย้งหรือเปล่า? 

ปชป. ชี้ต้องมีแผนบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อสร้างเสถียรภาพให้ประเทศ ย้ำ ทุกอย่างต้องมีความชัดเจน

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. กล่าวเปิดงานเสวนา "เดินหน้าประเทศอย่างไร ในวันที่โควิด(ยัง) กลายพันธุ์" ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ว่า ประเทศไทยมีบทเรียนจากการต่อสู้กับวิกฤติการณ์โควิดมาแล้ว ทำให้คนไทยได้เรียนรู้ และใช้ชีวิตร่วมกับโควิดได้ในระดับหนึ่งแม้จะมีการกลายพันธุ์อยู่บ้าง ขณะที่เมื่อจีนเปิดประเทศให้ทั้งคนจากประเทศต่างๆ เดินทางท่องเที่ยวในจีน และคนจีนเดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วโลก ทำให้หลายประเทศตั้งเงื่อนไขและมีปฏิกิริยาต่อจีน ซึ่งในวันที่ 12 มกราคมนี้ จะมีคนจีนชุดแรกเดินทางเข้าประเทศไทย และประเทศไทยมีแนวทางปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวจีนเหมือนกับนักท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วโลก ดังนั้นวันนี้จึงชวนทุกคนช่วยกันขบคิดว่าจะเปิดประเทศอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า และทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข 

‘จุรินทร์’ นำลูกพรรคปชป. ออนทัวร์ กทม. ต่อเนื่อง ลงพื้นที่ชุมชนตลาดเก่า วัดพระยาไกร พร้อมเปิดตัว ‘อภิมุข ฉันทวานิช’ ชิง เก้าอี้ ส.ส. เขตบางคอแหลม - ยานนาวา มั่นใจ นโยบายตอบโจทย์คนกรุง

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 8 ม.ค.2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค ลงพื้นที่ชุมชนหลังตลาดเก่า วัดพระยาไกร เขตบางคอแหลม ซอยเจริญกรุง โดยได้พูดคุยทักทายประชาชนที่มารอต้อนรับบริเวณชุมชน พร้อมทั้งแนะนำนโยบายและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขตยานนาวา บางคอแหลม คือ นายอภิมุข ฉันทวานิช  

โดยนายจุรินทร์ กล่าวถึงความพร้อมของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง ส.ส. พื้นที่กรุงเทพฯ ว่า การลงพื้นที่วันนี้เพื่อถือโอกาสสวัสดีปีใหม่ประชาชน และแนะนำ นายอภิมุข ฉันทวานิช  ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตยานนาวา บางคอแหลม ซึ่งเป็นที่อดีต สก. บางคอแหลม 3 สมัย เป็นที่รู้จักของคนในพื้นที่เป็นอย่างดี เพราะเป็นคนที่เกิดในพื้นที่นี้ตั้งแต่เกิด มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาชุมชนเขตนี้ให้มีศักยภาพและความเป็นอยู่ที่สูงขึ้น 

นายจุรินทร์ได้ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวถึงพื้นที่หลักของประชาธิปัตย์ในการหาเสียงว่า กรุงเทพมหานครจะเป็นพื้นที่เป้าหมายอีกพื้นที่หนึ่งของประชาธิปัตย์ เราเพิ่งเสียที่นั่งไปคราวที่แล้ว อย่างน้อยที่สุดพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ก็ต้องเลือกผู้แทนประชาธิปัตย์เข้ามาจำนวนหนึ่ง เพียงแต่คราวที่แล้วมันอาจจะเป็นอุบัติเหตุทางการเมือง แต่เที่ยวนี้ตนมั่นใจว่าเราปักธงได้แน่ 

ตอนนี้วางการเปิดตัวผู้สมัครไว้อย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า ภาคอีสานเคาะไปล่าสุดเมื่อวัน สองวันนี้อีก 90 เขต แล้วจะได้ทยอยสรุป ซึ่งเราจะส่งครบทั้ง 400 เขต ทั่วประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร 33 เขตด้วย เพียงแต่รอการแบ่งเขตให้ชัดเจนจาก กกต. สำหรับทุกพื้นที่ กรุงเทพฯ ก็รออีก 3 เขต ทุกอย่างก็เตรียมพร้อม สำหรับนโยบายภาพรวมเราก็ต้องเน้น “สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ” ซึ่งจะมีรายละเอียดตามมา กรุงเทพมหานครก็เหมือนกัน ภาพรวมของนโยบายกรุงเทพฯ ก็คือภาพรวมของนโยบายประเทศ เพราะกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย ส่วนเรื่องรายละเอียด น้ำท่วม รถติดนั้นเป็นเรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นด้านหลักตอนเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. แต่สำหรับการเลือกตั้งระดับชาติ สำหรับประชาธิปัตย์ นโยบายประเทศก็คือนโยบายกรุงเทพฯ ด้วย

เมื่อถามว่า มองเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะไปเปิดตัวที่ศูนย์สิริกิติ์ อย่างไรนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนไม่ขอให้ความเห็น แต่ถ้าท่านไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคใดพรรคหนึ่งจริง ก็แปลว่าต่อไปนี้ท่านก็สังกัดพรรคการเมืองที่มีความชัดเจนแล้ว ไม่ใช่เป็นแค่คนกลาง ๆ ที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมือง หรือพรรคร่วมรัฐบาล แต่ลงลึกไปถึงท่านเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแล้ว ก็คงมีสถานภาพเหมือนๆ กันกับรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ หลายท่านในคณะรัฐมนตรี ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง หรือดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค หรือเป็นสมาชิกพรรค 

ผู้สื่อข่าวยังถามต่อว่า ถ้า “คนกลางๆ” หายไป จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่อย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ตนตอบล่วงหน้าอะไรไม่ได้ อยู่ที่ท่านนายกฯ ด้วยว่าจะบริหารจัดการกับรัฐบาลผสมในรูปแบบไหนอย่างไร และมีทีท่าอย่างไร อันนั้นก็ต้องนับหนึ่งที่ตัวท่านด้วย

‘ทนายตั้ม’ แง้ม 3 คำใบ้ อดีตรองนายกฯ ‘เป็นชู้’ ย้ำ!! เหตุเกิดปี 65 จึงไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย

กลายเป็นอีกหนึ่งข่าวร้อน ที่มาแรงกลบทุกกระแสข่าวแรง ๆ ในช่วงนี้ไปเลย แถมยังทำพี่น้องชาวเน็ตไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะอยากรู้แล้วว่าใครกันนะ!! คือ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ทนายตั้ม หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพบรรยายไว้อย่างถึงพริกถึงขิง 

ล่าสุด วันนี้ (9 ม.ค. 66) ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาตั้งโต๊ะแถลง ถึงกรณีดังกล่าว ที่สำนักงาน ‘Sittra Law Firm’ โดยเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม 3 ปมหลัก ให้ชาวเน็ตไปสืบกันต่อว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เล่นชู้ นั้นคือใคร? 

ปมข้อที่ 1 เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี
ปมข้อที่ 2 มีความเกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย
ปมข้อที่ 3 ชอบตีกอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์

'ชูวิทย์' ลั่น!! เรื่องทุนจีนสีเทา อภิปรายเอามันส์อย่างเดียวไม่พอ ต้องแสดงข้อมูลชัด ยก 'รังสิมันต์ โรม' ไม่เลว!!

(10 ม.ค. 66) ที่โรงแรมเดวิส นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง แถลงข่าวพร้อมเปิดคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดภายในผับจินหลิง เหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา และ สรุปผลพูดคุยกับนายกฯ วานนี้ 

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เปิดเผยข้อมูลเป็นคลิปวิดีโอซึ่งปรากฏภาพพนักงานไม่น้อยกว่า 10 คน และบุคคลอื่น ๆ เดินไปมาจำนวนมาก แต่ปัจจุบันปรากฏว่าจำนวนพยานในสำนวนคดี เหลือพนักงานเสริฟเพียง 2 คน ไม่มีพยานที่เป็นหญิงขายบริการ หรือบุคคลอื่น ๆ ในที่เกิดเหตุอีก

ส่วนอีกหนึ่งคลิป เป็นคลิปกล้องวงจรปิดบริเวณประตูทางเข้าออกผับจินหลิง มีพนักงานคอยตรวจค้นร่างกาย ซึ่งมีการละเว้นการค้นตัวของหลานชายตู้ห่าว และสิ่งที่นายชูวิทย์ตั้งข้อสงสัยว่าซองสีขาวในมือของหลานชายตู้ห่าวดังกล่าวเป็นซองที่บรรจุยาเสพติด 

ต่อมาชูวิทย์ เปิดแผนผังขบวนการผับจินหลิง ที่มีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าวเป็นหัวหน้าขบวนการ มีผู้ร่วมขบวนการรายสำคัญแยกย่อยออกมารวม 10 คน มีการแบ่งหน้าที่กันดูแลทั้งเรื่องเงิน และเรื่องยาเสพติด

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ได้กล่าวว่าย้อนกลับไปวันที่ได้ทานอาหารร่วมกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สอบถามว่า จากนี้จะดำเนินการกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองต่อไปอย่างไร กระบวนการจะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมหรือไม่ รวมทั้งถามพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วยว่า จะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนสีเทาอย่างไร

“ในวันนี้ผมตั้งใจมาเปิดโปงเครือข่ายทุจริตคอร์รัปชันที่พบว่ามีกลุ่มทุน หน่วยงานรัฐ นักการเมืองคอยร่วมสนับสนุน ถ้าประชาชนสังเกตทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีการจับกุมผับจินหลิง ที่ผ่านมาตำรวจทำงานตามหลังที่ตนออกมาเคลื่อนไหวตลอด และปัจจุบันอัยการสูงสุด ยังไม่ได้สั่งให้คดีนี้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ตนจึงจำเป็นต้องทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อไปสู่เป้าหมาย หากใครจะโทษตนเองก็ยอมรับ” นายชูวิทย์กล่าว

ส่วนเรื่องของวานนี้ (9 ม.ค. 66) ที่ชูวิทย์ได้เข้าไปพูดคุยส่วนตัวกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยหลังจบงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ส่งคำถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ ที่ด้านหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี 2 คำถามคือ พล.อ.ประยุทธ์ทราบหรือไม่ว่าหลานชายมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจบริษัททัวร์ของตู้ห่าว และถ้าพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจริงจะดำเนินการตรวจสอบอย่างไร

'ทิพานัน' เผย ทิศทาง MSMEs ไทยปี 65 ไปได้สวย!! ชี้!! ไม่มี รบ.ไหน ทำได้เหมือน ‘รบ.ประยุทธ์’

(12 ม.ค. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าปีที่แล้ว รัฐบาลได้ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลาง (Micro, Small and Medium-sized Enterprises: MSME) มี 3.21 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 99.55 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมดของไทยที่ประสบความสำเร็จ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.67 

ทั้งนี้ วิสาหกิจรายย่อยในปัจจุบัน แบ่งเป็นรายย่อย (Micro-sized Enterprises) 2,742,416 รายคิดเป็นร้อยละ 85.74, ขนาดย่อม (Small-sized Enterprises) จำนวน 412,962 รายคิดเป็นร้อยละ 12.91, และขนาดกลาง (Medium-sized Enterprises) จำนวน 43,106 รายคิดเป็นร้อยละ 1.35 

โดยมูลค่า GDP ของวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางมีจำนวน 5.60 ล้านล้านบาท และคาดขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 คิดเป็นมูลค่า GDP ของวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางปี 2565 จำนวน 6.02 ล้านล้านบาท

นอกจากมูลค่า GDP ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ในปี 2565 กลุ่ม MSMEs วิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางยังมีจำนวนการจ้างงานสูงถึง 12.60 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 71.75 ของการจ้างงานทั้งประเทศ รัฐบาลจึงเดินหน้าส่งเสริม MSMEs อย่างเต็มที่เพราะเป็นเครื่องจักรสำคัญในด้านเศรษฐกิจของประเทศ จึงมีมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น จัดทำฐานข้อมูล Big Data การสนับสนุนแหล่งทุนในรูปแบบต่าง ๆ การสนับสนุนเชื่อมโยงระหว่างผู้ซื้อรายใหญ่กับผู้ขายรายย่อย และที่สำคัญคือ ความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเอเปค 2022


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top