Saturday, 4 May 2024
สหรัฐอเมริกา

'ผบ.ทบ.' พร้อม 'อุปทูตสหรัฐ' เปิดการฝึกผสม 'หนุมานการ์เดียน 2022'  เพิ่มพูนประสบการณ์ทางทหาร สานสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ

ที่ศูนย์การทหารราบ จ.ประจวบคีรีขันธ์ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานร่วมกับ นายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในพิธีเปิดการฝึกผสมระหว่างกองทัพบกไทย - สหรัฐฯ รหัส “หนุมานการ์เดียน 2022 ” (Hanuman Guardian 2022) โดยมีคณะผู้บังคับบัญชาของกองทัพทั้งสองประเทศร่วมในพิธี 

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวว่า การฝึกผสมในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 11 ที่กำลังพลสองกองทัพได้เรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ สามารถปฏิบัติร่วมกัน เป็นการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารอันจะนำมาซึ่งความมั่นคงด้านอื่นๆ อีกทั้งการกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ จะเป็นการเพิ่มพูนขีดความสามารถของทหารในระดับบุคคล และเป็นหน่วย โดยกำลังพลทั้งสองกองทัพได้มีโอกาสฝึกปรับพื้นฐานร่วมกัน ณ สหรัฐอเมริกา แล้วเคลื่อนย้ายข้ามทวีปเพื่อมาส่งลง ณ  ประเทศไทย ทั้งนี้  ผู้บัญชาการทหารบกได้เคยเข้าร่วมการกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์ครั้งแรก ในการฝึกผสมรหัส Black Tiger - GeronimoStrike เมื่อปี 2541  

ในขณะที่ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้กล่าวชื่นชมในความทุ่มเทของกำลังพลทั้ง 2 ประเทศที่สามารถจัดการฝึก ภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 ด้วยมาตรการที่รัดกุม การฝึกผสมในครั้งนี้มีรากฐานมาจากความร่วมมืออันดีที่มีมานานกว่า 200 ปีของราชอาณาจักรไทยและสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้จากเจตนารมณ์ของทั้งสองท่านแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ภายใต้ความสัมพันธ์ทั้งในระดับกองทัพและรัฐบาลได้เป็นอย่างดี โดยหลังพิธีเปิด ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบเหรียญที่ระลึกในการฝึกให้กับผู้เข้ารับการฝึกด้วย

สำหรับการฝึกผสม Hanuman Guardian 2022 ในปีนี้จัดขึ้นในระหว่าง  24 ก.พ.-25 มี.ค. 65 ณ พื้นที่ฝึก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.ลพบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถกำลังพลและหน่วยทหาร เสริมสร้างความร่วมมือทางทหารอันจะนำมาซึ่งความมั่นคงด้านอื่นๆ โดยกองทัพบกได้ส่งกำลังกว่า 1,000 นาย ประกอบด้วย    กองทัพภาคที่ 1, กองทัพภาคที่ 4, ศูนย์การทหารปืนใหญ่, ศูนย์การบินทหารบก, กรมสรรพาวุธทหารบก และกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก เข้าร่วมในการฝึก ขณะที่ฝ่ายสหรัฐ ได้จัดกำลังจากกองกำลังทางบกสหรัฐอเมริกาภาคพื้นแปซิฟิก(USARPAC) ประมาณ 600 นาย เข้าร่วมในการฝึก

โดยแบ่งเป็น 4 ช่วงประกอบด้วย การฝึกปรับพื้นฐาน, การฝึกกระโดดร่มทางยุทธศาสตร์, การฝึกแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการฝึกภาคสนาม ลักษณะการฝึกจะเป็นการแลกเปลี่ยน ขยายผลความรู้ด้านเทคนิคและยุทธวิธี ทั้งหน่วยทหารราบ ,หน่วยยานเกราะสไตรเกอร์, หน่วยส่งทางอากาศ ตลอดจนฝึกผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้ง หน่วยทหารปืนใหญ่, หน่วยอากาศยานกองทัพบก,หน่วยทหารสรรพาวุธ และหน่วยทหารวิทยาศาสตร์อีกด้วย ทั้งนี้การฝึกดำเนินไปภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 ของทั้งไทยและสหรัฐฯ เป็นการฝึกระบบปิดและใช้มาตรการกักตัวตามมาตรฐานการฝึกทางทหารอย่างรัดกุม ทุกคนต้องอยู่ในพื้นที่ฝึกตลอด รวมทั้งการเดินทางโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ 

‘ไบเดน’ จี้รัสเซียรับผิดชอบความสูญเสียในยูเครน ลั่นอเมริกาและพันธมิตรจะตอบโต้อย่างเด็ดขาด

สถานทูตสหรัฐฯ เผยแพร่แถลงการณ์ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ระบุ “ปูติน” ต้องรับผิดต่อการตายและความสูญเสียจากการบุกยูเครน ลั่นอเมริกาและพันธมิตรจะตอบโต้อย่างเด็ดขาด ทำให้รัสเซียต้องรับผิดชอบ

วันนี้ 24 ก.พ. เมื่อเวลา 13.06 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ U.S. Embassy Bangkok ของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ในกรุงเทพมหานคร ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ต่อกรณีรัสเซียส่งทหารเข้าปฏิบัติการในยูเครนตะวันออก มีใจความสรุปได้ว่า “ทั่วโลกต่างภาวนาวิงวอนให้กับประชาชนชาวยูเครนในคืนนี้ ขณะที่พวกเขาเผชิญการโจมตีจากกองทัพรัสเซียอย่างไร้ความชอบธรรมทั้งที่ปราศจากการยั่วยุ ประธานาธิบดีปูตินได้เลือกกระทำสงครามโดยไตร่ตรองล่วงหน้า ซึ่งจะนำไปสู่การสูญสิ้นชีวิตและก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวง มีเพียงรัสเซียเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบต่อการตายและความเสียหายที่เป็นผลพวงจากการโจมตีครั้งนี้ สหรัฐฯ พร้อมด้วยพันธมิตรและหุ้นส่วนของเราจะตอบโต้การกระทำดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงและเด็ดขาด โลกจะทำให้รัสเซียต้องรับผิดชอบ”


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000018761
https://www.facebook.com/usembassybkk

ประสบการณ์ยังน้อย!! สหรัฐฯ ชี้ รัสเซีย กำลังพลาด เหตุไร้ประสบการณ์ในการบุกประเทศอื่น

การประเมินการรบของรัสเซียในยูเครนโดยเจ้าหน้าที่ในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ จากการรายงานของรอยเตอร์

เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐฯ กล่าวกับรอยเตอร์ว่า รัสเซียไม่มีประสบการณ์มากนักในการเคลื่อนที่ไปประเทศอื่นที่มีระดับความซับซ้อนและใหญ่ขนาดนี้ โดยชี้ให้เห็นถึงการรุกคืบของรัสเซียที่เชื่องช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

"เราไม่ทราบว่าเป็นความล้มเหลวจากการวางแผนหรือความล้มเหลวในการดำเนินการ"

>> รัสเซียไม่ได้คาดการณ์ถึงระดับการต้านทานที่พวกเขาจะเผชิญหน้าจากยูเครน

>> สหรัฐฯ ประเมินว่ารัสเซียกำลังเริ่มใช้ "กลยุทธ์ปิดล้อม" ในการบุกโจมตีในยูเครน ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและชีวิตพลเรือน

>> กองกำลังรัสเซียยังคงอยู่ห่างจากใจกลางกรุงเคียฟ 30 กม.

>> รัสเซียใช้แสนยานุภาพในการรบในยูเครนประมาณ 2/3 ส่วน

>> รัสเซียยิงขีปนาวุธมากกว่า 320 ครั้งในยูเครน

>> รัสเซียประสบ "ความล้มเหลว" ในการยิงขีปนาวุธบางลูกระหว่างการโจมตียูเครน

ประธานาธิบดียูเครน ซัด 'NATO' อ่อนแอ-ไม่คิดรักษาอิสรภาพยุโรป เหตุเมินคำขอปิดน่านฟ้ายูเครน เหมือนเปิดไฟเขียวให้รัสเซียโจมตีทางอากาศ

ผู้นำยูเครนจวกยับ "นาโต" อ่อนแอ-ไม่มีสักชาติเดียวที่คิดจะรักษาอิสรภาพของยุโรป หลังโดนปฏิเสธคำร้องขอให้ประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้ายูเครน ชี้เท่ากับเป็นการเปิดไฟเขียวให้รัสเซียโจมตีทางอากาศได้โดยสะดวก ขณะที่รมต.สหรัฐฯ อ้างหากนาโตทำเช่นนั้นก็จะทำให้สงครามยิ่งขยายตัว ย้ำไม่ต้องการทำสงครามกับรัสเซีย

5 มี.ค.65 ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์องค์การนาโต ที่ปฏิเสธคำร้องขอให้ประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้ายูเครน เท่ากับเป็นการเปิดไฟเขียวให้รัสเซียโจมตีทางอากาศยูเครนได้โดยสะดวก และระบุว่า การประชุมขององค์การนาโต เป็นการประชุมที่อ่อนแอ สับสน และไม่มีสักชาติเดียวที่คิดจะรักษาอิสรภาพของยุโรป

ปธน.ยูเครนต่อสายคุยไบเดน ขอสหรัฐฯช่วย ทั้งเงินสนับสนุน - มาตรการคว่ำบาตรกดดันรัสเซีย

ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี เปิดเผยในวันอาทิตย์(6มี.ค.) ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อหารือถึงการสนับสนุนทางการเงินและมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานรัสเซีย ในขณะที่ประเทศของเขาต้องเผชิญการโจมตีอย่างหนักหน่วง

"ในฐานะส่วนหนึ่งของการพูดคุยที่มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมได้สนทนาอีกครั้งกับ @POTUS(บัญชีทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ)" เซเลนสกีกล่าว "วาระต่างๆนั้น รวมไปถึงประเด็นด้านความมั่นคง การสนับสนุนทางการเงินสำหรับยูเครนและการเดินหน้าคว่ำบาตรรัสเซีย"

ในถ้อยแถลงของการพูดคุยที่ใช้เวลานานราว 30 นาที ทำเนียบขาวระบุว่าไบเดนเน้นย้ำถึงก้าวย่างต่างๆที่รัฐบาลของเขาและพันธมิตรได้ใช้ "เพื่อให้รัสเซียชดใช้มากยิ่งขึ้นต่อกรณีที่รุกรานยูเครน"

สหรัฐฯ ปรับระดับไทย กลุ่มประเทศเสี่ยงสูงสุดโควิดระบาด แนะ!! ชาวมะกัน เลี่ยงไปเยือน

8 มี.ค. 65 สื่อต่างประเทศรายงานว่า สำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา เสนอข่าว CDC adds former Covid success stories to its highest-risk category for travel ระบุว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2565 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ได้ปรับระดับประเทศไทย, นิวซีแลนด์ และเกาะฮ่องกง ขึ้นไปอยู่ในระดับ 4 หรือระดับสูงที่สุด ด้านความเสี่ยงจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19

โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เวียดนามเพิ่มถูกจัดให้อยู่ในระดับ 4 ส่วนประเทศอื่นๆ ในกลุ่มนี้ ได้แก่ แคนาดา, อียิปต์, ฝรั่งเศส, กรีซ, เปรู และสิงคโปร์ ส่วนสหราชอาณาจักรอยู่ในระดับ 4 มาตั้งแต่เดือน ก.ค. 2564

อย่างไรก็ตาม ไม่มีสหรัฐฯ อยู่ในรายการคำแนะนำ แต่มีการกำหนดรหัสสีไว้อยู่ในกลุ่มระดับ 4 เช่นกัน ซึ่งประเทศที่อยู่ในระดับ 4 นี้ CDC แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปเยือน

สำหรับฮ่องกง และนิวซีแลนด์ ก่อนหน้านี้ได้รับการยกย่องเรื่องความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ไม่มากนัก แต่ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเมื่อต้องเผชิญกับไวรัสกลายพันธุ์สายโอมิครอน ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น บนเกาะฮ่องกง ห้องเก็บศพใกล้เต็ม ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล สินค้าอุปโภค-บริโภคถูกซื้อจนแทบเกลี้ยงซูเปอร์มาร์เก็ต และทางการต้องจำกัดการเดินทางรวมถึงเที่ยวบินขาเข้า ส่วนนิวซีแลนด์ มีแผนการเปิดประเทศรับชาวต่างชาติช่วงปลายปี 2565 และยังคงมาตรการกักตัวอย่างเข้มงวดต่อไป

ขณะที่ไทย ประเทศที่เคยทำรายได้จากการท่องเที่ยวสูงที่สุดในทวีปเอเชีย เมื่อปี 2562 กลับมาเริ่มโครงการ Test & Go อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วเดินทางได้โดยไม่ต้องกักตัวนาน ทั้งนี้ เกณฑ์การจัดระดับความเสี่ยงจะพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศปลายทางเป็นหลัก เช่น ระดับ 4 หมายถึงมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อมากกว่า 500 คนขึ้นไปต่อประชากร 1 แสนคนในช่วง 28 วันล่าสุด โดยก่อนหน้านี้ ทั้งไทย นิวซีแลนด์ และฮ่องกง อยู่ในกลุ่มระดับ 3 หรือความเสี่ยงสูง

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ประเทศหรือดินแดนที่เพิ่งถูกจัดให้อยู่ในความเสี่ยงระดับ 3 หรือเสี่ยงสูง หมายถึงมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อ 100-500 คนต่อประชากร 1 แสนคนในช่วง 28 วันล่าสุด ในวันที่ 7 มี.ค. 2565 ประกอบด้วย แองกวิลลา เคปเวิร์ด ฟิจิ เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งหมดเคยอยู่ในกลุ่มระดับ 4 มาก่อน อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เม็กซิโกมีนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่มีเงื่อนไขด้านการตรวจคัดกรองโรคหรือการฉีดวัคซีนโควิด-19

การปรับระดับความเสี่ยงโควิด-19 ของประเทศต่างๆ โดย CDC รอบล่าสุดนี้ หลายประเทศในทวีปแอฟริกาถูกปรับลดความเสี่ยงจากระดับ 3 ลงไปอยู่ที่ระดับ 2 หรือเสี่ยงปานกลาง หมายถึงมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อ 50-99 คนต่อประชากร 1 แสนคนในช่วง 28 วันล่าสุด ได้แก่ แองโกลา จิบูติ อิเควทอเรียลกินี เอธิโอเปีย แกมเบีย มอริทาเนีย โมซัมบิก นามิเบีย และเซเนกัล

‘ท่านใหม่’ เตือนไทย อย่าหลงเชื่อพวกคนแดนไกล ทำลาย ‘สัมพันธ์ - ต่อต้าน’ และถึงขั้นรบกับจีน 

ไม่นานมานี้ ‘ท่านใหม่’ หม่อมเจ้า จุลเจิม ยุคล ได้โพสต์เฟซบุ๊กเตือนสติคนไทยและรัฐบาลไทย หลังจากระยะหลัง เริ่มวางบทบาทที่อาจจะไปกระเทือนความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีน ด้วยการหลงเชื่อกลุ่มประเทศจากแดนไกล ว่า... 

ประเทศไทยต้องไม่เป็นยูเครนสอง

อย่าคิดทำลายมิตรภาพที่ดีระหว่างประเทศจีน และประเทศไทย ไปหลงเชื่อพวกคนแดนไกล

ขณะนี้ประเทศไทย เรา รัฐบาลเรา ก็ประพฤติปฏิบัติอย่างเดียวกันกับยูเครน นั่นคือ ได้ไปทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ก่อตั้งพันธมิตรตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ในการต่อต้านภัยคุกคามจากจีน โดยจะมีญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์เข้ามาผสมโรงด้วย 

พูดง่ายๆ ก็คือเอาประเทศไทยเข้าเป็นพันธมิตรกับอเมริกา ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ของนาโต้ และสมุนบริวารเพื่อตั้งตัวเป็นศัตรูกับจีน ‘ต่อต้านจีน’ กระทั่งอาจเตรียมที่จะทำสงครามกับจีนด้วย (หวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น)

ไปตั้งความตกลงนี้กันอย่างปกปิดเงียบเชียบโดยคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครรู้เห็น จนกระทั่งสถานทูตสหรัฐฯ นำข้อตกลงนี้ออกมาเผยแพร่ คนไทยจึงเพิ่งรับรู้กันในระยะไม่กี่วันมานี้ จึงมีการกล่าวขานกันอย่างกว้างขวางว่า “นี่คือการกระทำที่ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านอย่างเดียวกันกับยูเครน”

...ไม่สำเหนียกเลยว่าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน นั้นมีแต่ความเป็นพี่น้องกัน 
...ไม่มีครั้งไหนที่ไทยเดือดร้อนแล้วจีนจะไม่ให้ความช่วยเหลือ 
...ไม่ว่าจากศึกเหนือเสือใต้หรือจากภัยพิบัติ หรือจากปัญหาเศรษฐกิจ จีนก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลือตลอดมา 
...ไม่เคยกระทำการใดๆ ที่เป็นภัยต่อประเทศไทยเลย 

แม้กระนั้นก็มิได้สำนึกในบุญคุณ กลับทรยศต่อมิตรไปคบคิดกับคนแดนไกล (อเมริกา) มาก่อความขัดแย้งใหญ่ขึ้นในภูมิภาค ในพระราชอาณาจักรเรา ที่มีแต่ความสงบสุข มาเป็นเวลากว่า ร้อยๆ ปี

สหรัฐฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัสเซีย ยันไม่มีแล็บอาวุธชีวภาพในยูเครน

Reuters รายงานว่า สหรัฐฯ ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของรัสเซียที่ว่าสหรัฐมีห้องวิจัยอาวุธชีวภาพกว่า 30 แห่งซุกซ่อนอยู่ในยูเครน โดยบอกว่าข้อกล่าวหาดังกล่าว “น่าหัวเราะ” และบอกว่ารัสเซียอาจกำลังวางแผนใช้อาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพในยูเครน

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากรัสเซียตอกย้ำข้อกล่าวหาที่มีมาเป็นเวลาหลายปีอีกครั้งว่าสหรัฐฯ ร่วมกับยูเครนพัฒนาอาวุธชีวภาพเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยว่า “ข้อกล่าวหาของรัสเซียนั้นไร้สาระ น่าหัวเราะ...มันไม่มีอะไรเลย มันเป็นโฆษณาชวนเชื่อที่คลาสสิกของรัสเซีย”

ขณะที่ เน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า รัสเซียกำลังสร้างหลักฐานเท็จเพื่อหาความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเองในยูเครน

เวเนซุเอลา ยินดีขายน้ำมันให้สหรัฐฯ แต่ก็ยืนหยัดเป็นพันธมิตรที่ภักดีของรัฐบาลรัสเซีย

เฟลิกซ์ ปลาสเซนเซีย (Felix Plasencia) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเวเนซุเอลา กล่าวว่า รัฐบาลเวเนซุเอลาจะพร้อมที่จะขายน้ำมันให้กับสหรัฐฯ อีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคง “ภักดี” ต่อรัฐบาลรัสซีย

ปลาสเซนเซียบอกกับสำนักข่าว Anadolu ของตุรกีเมื่อวันเสาร์ว่าในงาน Antalya Diplomacy Forum 2022 (ADF) ว่ามันไม่ใช่ “ความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด” ที่รัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลเวเนซุเอลาจะทำงานร่วมกันในด้านน้ำมัน เนื่องจากเวเนซุเอลา "ทำธุรกิจน้ำมันกับชาวอเมริกันมาเป็นเวลานานแล้ว"

ปลาสเซนเซีย แย้งว่า มันจะ “ดีสำหรับทุกคน” หากการส่งออกพลังงานของเวเนซุเอลาไปยังสหรัฐฯ “กลับมาเป็นเหมือนเดิม” และเสริมว่าชาวอเมริกันยินดีต้อนรับในประเทศนี้ ตราบใดที่พวกเขา “เคารพอธิปไตย” ของเวเนซุเอลาและยอมรับประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ในฐานะ “หัวหน้ารัฐบาลเพียงคนเดียวและถูกกฎหมายของเวเนซุเอลา” โดยย้ำว่าเวเนซุเอลามีเพียงรัฐบาลดียว (เนื่องจากที่ผ่านมาสหรัฐฯ และชาติตะวันตกรับรองฝ่ายค้านว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมด้วย) 

'กอบศักดิ์' วิเคราะห์ สหรัฐฯ ใช้ 'นิวเคลียร์เศรษฐกิจ' ต้อนรัสเซียให้จนมุม หวังตัดกำลังพัฒนากองทัพ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

"นิวเคลียร์เศรษฐกิจ" 

อาวุธใหม่ที่พัฒนาขึ้น ระหว่างการทำสงครามกับรัสเซีย
ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในสงครามเศรษฐกิจกับรัสเซีย คือ การนำ "ระบบการค้าและระบบเงินของฝั่งโลกตะวันตก" มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในอดีต เวลาเกิดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ใดๆ ก็จะมีการนำนโยบาย Sanctions มาใช้ เพื่อลงโทษประเทศที่ก่อปัญหา 
แต่สิ่งที่แตกต่างรอบนี้ ก็คือ ระดับความเข้มข้นของนโยบาย ทั้งจาก จำนวน กลุ่มประเทศที่เข้าร่วม และความรุนแรง

ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ รัสเซียได้กลายเป็นประเทศที่ถูก Sanction เยอะที่สุดของโลก ด้วยมาตรการกว่า 3,000 อย่าง!!!! จากประเทศหลักๆ มากกว่า 40 ประเทศ
หลายมาตรการ ต้องบอกว่า เป็นมาตรการไม่ปกติ 

เช่น ยึดเงินสำรองระหว่างประเทศ สั่งไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินด้วย ไม่ให้ระดมทุน ไม่ให้ใช้ระบบการชำระเงิน ยึดสินทรัพย์ ไม่ซื้อสินค้า เร่ง Exit ออกจากธุรกิจและการลงทุนต่างๆ  รวมไปถึง ห้ามใช้เทคโนโลยีทางการทหารและดิจิทัล ที่สหรัฐและโลกตะวันตกพัฒนา

ทั้งหมดนี้ เป็นการนำ "ระบบการค้าและระบบการเงินของโลกตะวันตก" มาเป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ 

ทั้งนี้ เพราะตลาดการค้าของโลกตะวันตกมีขนาดประมาณ 70% ของเศรษฐกิจโลก และเป็นระบบหลักที่ควบคุมการไหลเวียนของการเงินโลกมากกว่า 90% 

(1) ในเชิงการค้า ถ้ารัสเซียถูกตัดออกจากระบบดังกล่าว ก็จะเท่ากับว่า "ถูกปล่อยเกาะ" ให้รัสเซียต้องสู้ด้วยตัวเอง ผลิตสินค้า พัฒนาสินค้าต่างๆ โดยอาศัยรัสเซียและเพื่อนของรัสเซียเท่านั้น ไม่มีคนช่วยผลิต ไม่มีตลาดขนาดใหญ่มารองรับ
กลไกการแบ่งงานกันทำ กลไกการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เคยเป็นหัวใจหลักที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพให้กับระบบการผลิตของรัสเซีย จะถูกทำลายลงไปในพริบตา 

หากจะเปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ ถ้าเราเคยเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว เอารายได้ไปซื้อของอื่นๆ มาใช้ มีความสุขในการใช้ชีวิต แต่วันหนึ่ง ทุกคนไม่ยอมมายุ่งกับเรา ต้องทำก๋วยเตี๋ยวกินเอง และผลิตทุกอย่างใช้เอง ตั้งแต่สบู่ ยาสีฟัน ขนม อาหารต่างๆ ... ประสิทธิภาพของการทำงานจะลดลงแค่ไหน และชีวิตจะลำบากขึ้นแค่ไหน 

(2) ในเชิงการเงิน การถูกขับให้ออกจากระบบการเงินโลก ไม่ให้ใช้ระบบ SWIFT ไม่ให้ชำระเงินผ่านระบบธนาคารของสหรัฐและพันธมิตร การไม่ให้ระดมเงิน รวมไปถึงการ Freeze สินทรัพย์ทุกอย่าง เป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจรัสเซียออกไป 
ทั้งหมดเพื่อให้เกิด Financial System Meltdown ในรัสเซีย

ไม่น่าแปลกใจ ผลที่ตามมา ค่าเงินรัสเซียอ่อนลงไปครึ่ง จาก 70 เป็น 130 รูเบิล/ดอลลาร์ คนรัสเซียที่เคยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของตน เงินหายไปอย่างน้อย 70-80% (จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถเปิดตลาดหลักทรัพย์ได้) ธนาคารพาณิชย์ถูกแห่ถอนเงิน บริษัทหลายแห่งกำลังจะมีปัญหา

นอกจากนี้ สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศ (ETF ต่างๆ) ถูกระงับการซื้อขาย พันธบัตรรัสเซียถูก Downgrade จนเป็น Non-investment grade หรือ Junk Bonds และต่อไปคงไม่ผิดการชำระหนี้ได้

ล่าสุด การไล่ล่าทางการเงิน กำลังจะไปถึงการประกาศห้ามไม่ให้ค้าขายทองคำกับรัสเซีย ที่รัสเซียได้สะสมเอาไว้มากกว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่ผ่านมา 

(3) สุดท้าย สหรัฐและ NATO มุ่งจะตัดรัสเซียออกจาก "ระบบนวัตกรรมโลก" 
เรื่องนี้ แม้ดูว่าไม่น่ามีผลมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเท่ากับว่า กีดกันให้รัสเซียต้องไปคิดค้นทุกอย่างเอง ไม่ให้ใช้เทคโนโลยีที่โลกตะวันตกร่วมกันพัฒนา
โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ การทหาร การบิน การเดินเรือ และดิจิทัล 

ในประเด็นนี้ การพัฒนานวัตกรรมมีต้นทุนสูงมาก การช่วยกันพัฒนาคนละส่วน จะช่วยให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว 
การที่รัสเซียต้องอยู่ในห้อง Lab คนเดียว คิดอยู่คนเดียวจะทำให้ การคิดค้นสิ่งต่างๆ ของรัสเซียช้าลงมาก และจะส่งผลต่อระดับอานุภาพของยุทโธปกรณ์ที่รัสเซียคิดค้น และต่อการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจของรัสเซียด้วย

ทั้งหมดนี้ เรียกได้ว่า จะรุกฆาต เอากันให้จนมุม 
หลายคนถามว่า ทำไปทำไม เป้าหมายจริงๆ คืออะไร
คำตอบ "บั่นทอนเศรษฐกิจของรัสเซีย" 
ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะ "ความเข้มแข็งของประเทศในเชิงเศรษฐกิจ คือพื้นฐานสำคัญของความเข้มแข็งเชิงการทหาร"

ถ้าเศรษฐกิจของรัสเซียอ่อนแอ สุดท้ายรัสเซียก็จะไม่มีเงินมาพัฒนากองทัพ ไม่สามารถแข่งขันทันกับสหรัฐและพันธมิตร NATO ได้
คิดว่า สหรัฐและ NATO คงมีภาพ GDP ของรัสเซียหลังการผนวกไครเมีย อยู่ในใจ
ก่อนเหตุการณ์ดังกล่าว รัสเซียมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น 5 ปีให้หลัง ขนาดเศรษฐกิจรัสเซียลดลงมาเหลือเพียง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงมา 1/4 

อัตราการเจริญเติบโตที่เคยสูงถึง 7-8% ลดลงมาเหลือแค่ 2-3% ผิดจากปกติของประเทศเกิดใหม่
ทั้งหมดทำให้ รัสเซียที่เป็นมหาอำนาจทางการทหาร กลายเป็นประเทศเล็กๆ เชิงเศรษฐกิจ ที่มีขนาดเพียง 1/10 ของสหรัฐ หรือเท่ากับรัฐ Texas เท่านั้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top