'กอบศักดิ์' วิเคราะห์ สหรัฐฯ ใช้ 'นิวเคลียร์เศรษฐกิจ' ต้อนรัสเซียให้จนมุม หวังตัดกำลังพัฒนากองทัพ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

"นิวเคลียร์เศรษฐกิจ" 

อาวุธใหม่ที่พัฒนาขึ้น ระหว่างการทำสงครามกับรัสเซีย
ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในสงครามเศรษฐกิจกับรัสเซีย คือ การนำ "ระบบการค้าและระบบเงินของฝั่งโลกตะวันตก" มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในอดีต เวลาเกิดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ใดๆ ก็จะมีการนำนโยบาย Sanctions มาใช้ เพื่อลงโทษประเทศที่ก่อปัญหา 
แต่สิ่งที่แตกต่างรอบนี้ ก็คือ ระดับความเข้มข้นของนโยบาย ทั้งจาก จำนวน กลุ่มประเทศที่เข้าร่วม และความรุนแรง

ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ รัสเซียได้กลายเป็นประเทศที่ถูก Sanction เยอะที่สุดของโลก ด้วยมาตรการกว่า 3,000 อย่าง!!!! จากประเทศหลักๆ มากกว่า 40 ประเทศ
หลายมาตรการ ต้องบอกว่า เป็นมาตรการไม่ปกติ 

เช่น ยึดเงินสำรองระหว่างประเทศ สั่งไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินด้วย ไม่ให้ระดมทุน ไม่ให้ใช้ระบบการชำระเงิน ยึดสินทรัพย์ ไม่ซื้อสินค้า เร่ง Exit ออกจากธุรกิจและการลงทุนต่างๆ  รวมไปถึง ห้ามใช้เทคโนโลยีทางการทหารและดิจิทัล ที่สหรัฐและโลกตะวันตกพัฒนา

ทั้งหมดนี้ เป็นการนำ "ระบบการค้าและระบบการเงินของโลกตะวันตก" มาเป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ 

ทั้งนี้ เพราะตลาดการค้าของโลกตะวันตกมีขนาดประมาณ 70% ของเศรษฐกิจโลก และเป็นระบบหลักที่ควบคุมการไหลเวียนของการเงินโลกมากกว่า 90% 

(1) ในเชิงการค้า ถ้ารัสเซียถูกตัดออกจากระบบดังกล่าว ก็จะเท่ากับว่า "ถูกปล่อยเกาะ" ให้รัสเซียต้องสู้ด้วยตัวเอง ผลิตสินค้า พัฒนาสินค้าต่างๆ โดยอาศัยรัสเซียและเพื่อนของรัสเซียเท่านั้น ไม่มีคนช่วยผลิต ไม่มีตลาดขนาดใหญ่มารองรับ
กลไกการแบ่งงานกันทำ กลไกการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เคยเป็นหัวใจหลักที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพให้กับระบบการผลิตของรัสเซีย จะถูกทำลายลงไปในพริบตา 

หากจะเปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ ถ้าเราเคยเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว เอารายได้ไปซื้อของอื่นๆ มาใช้ มีความสุขในการใช้ชีวิต แต่วันหนึ่ง ทุกคนไม่ยอมมายุ่งกับเรา ต้องทำก๋วยเตี๋ยวกินเอง และผลิตทุกอย่างใช้เอง ตั้งแต่สบู่ ยาสีฟัน ขนม อาหารต่างๆ ... ประสิทธิภาพของการทำงานจะลดลงแค่ไหน และชีวิตจะลำบากขึ้นแค่ไหน 

(2) ในเชิงการเงิน การถูกขับให้ออกจากระบบการเงินโลก ไม่ให้ใช้ระบบ SWIFT ไม่ให้ชำระเงินผ่านระบบธนาคารของสหรัฐและพันธมิตร การไม่ให้ระดมเงิน รวมไปถึงการ Freeze สินทรัพย์ทุกอย่าง เป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจรัสเซียออกไป 
ทั้งหมดเพื่อให้เกิด Financial System Meltdown ในรัสเซีย

ไม่น่าแปลกใจ ผลที่ตามมา ค่าเงินรัสเซียอ่อนลงไปครึ่ง จาก 70 เป็น 130 รูเบิล/ดอลลาร์ คนรัสเซียที่เคยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของตน เงินหายไปอย่างน้อย 70-80% (จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถเปิดตลาดหลักทรัพย์ได้) ธนาคารพาณิชย์ถูกแห่ถอนเงิน บริษัทหลายแห่งกำลังจะมีปัญหา

นอกจากนี้ สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศ (ETF ต่างๆ) ถูกระงับการซื้อขาย พันธบัตรรัสเซียถูก Downgrade จนเป็น Non-investment grade หรือ Junk Bonds และต่อไปคงไม่ผิดการชำระหนี้ได้

ล่าสุด การไล่ล่าทางการเงิน กำลังจะไปถึงการประกาศห้ามไม่ให้ค้าขายทองคำกับรัสเซีย ที่รัสเซียได้สะสมเอาไว้มากกว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่ผ่านมา 

(3) สุดท้าย สหรัฐและ NATO มุ่งจะตัดรัสเซียออกจาก "ระบบนวัตกรรมโลก" 
เรื่องนี้ แม้ดูว่าไม่น่ามีผลมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเท่ากับว่า กีดกันให้รัสเซียต้องไปคิดค้นทุกอย่างเอง ไม่ให้ใช้เทคโนโลยีที่โลกตะวันตกร่วมกันพัฒนา
โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ การทหาร การบิน การเดินเรือ และดิจิทัล 

ในประเด็นนี้ การพัฒนานวัตกรรมมีต้นทุนสูงมาก การช่วยกันพัฒนาคนละส่วน จะช่วยให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว 
การที่รัสเซียต้องอยู่ในห้อง Lab คนเดียว คิดอยู่คนเดียวจะทำให้ การคิดค้นสิ่งต่างๆ ของรัสเซียช้าลงมาก และจะส่งผลต่อระดับอานุภาพของยุทโธปกรณ์ที่รัสเซียคิดค้น และต่อการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจของรัสเซียด้วย

ทั้งหมดนี้ เรียกได้ว่า จะรุกฆาต เอากันให้จนมุม 
หลายคนถามว่า ทำไปทำไม เป้าหมายจริงๆ คืออะไร
คำตอบ "บั่นทอนเศรษฐกิจของรัสเซีย" 
ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะ "ความเข้มแข็งของประเทศในเชิงเศรษฐกิจ คือพื้นฐานสำคัญของความเข้มแข็งเชิงการทหาร"

ถ้าเศรษฐกิจของรัสเซียอ่อนแอ สุดท้ายรัสเซียก็จะไม่มีเงินมาพัฒนากองทัพ ไม่สามารถแข่งขันทันกับสหรัฐและพันธมิตร NATO ได้
คิดว่า สหรัฐและ NATO คงมีภาพ GDP ของรัสเซียหลังการผนวกไครเมีย อยู่ในใจ
ก่อนเหตุการณ์ดังกล่าว รัสเซียมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น 5 ปีให้หลัง ขนาดเศรษฐกิจรัสเซียลดลงมาเหลือเพียง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงมา 1/4 

อัตราการเจริญเติบโตที่เคยสูงถึง 7-8% ลดลงมาเหลือแค่ 2-3% ผิดจากปกติของประเทศเกิดใหม่
ทั้งหมดทำให้ รัสเซียที่เป็นมหาอำนาจทางการทหาร กลายเป็นประเทศเล็กๆ เชิงเศรษฐกิจ ที่มีขนาดเพียง 1/10 ของสหรัฐ หรือเท่ากับรัฐ Texas เท่านั้น

ล่าสุดจากค่าเงินที่อ่อนลงครึ่งในสองสัปดาห์ ทำให้ขนาดของรัสเซียในรูปดอลลาร์ได้ลดลงเหลือเพียงเท่ากับรัฐ Ohio หรือรัฐ Georgia เท่านั้น 
อย่างที่บอกไปข้างต้น เมื่อเงินน้อย โอกาสการพัฒนาแสนยานุภาพก็จะจำกัด
แล้วนัยคืออะไร

หากเป้าหมายของสหรัฐและ NATO คือ "การบั่นทอนรัสเซียและเศรษฐกิจรัสเซีย" 
ทั้งหมดหมายความว่า แม้สงครามรัสเซีย-ยูเครนจบลง การ Sanctions จะยังคงอยู่อีกนาน เพื่อให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะปรับ Balance of Power ของโลก ใน 10-20 ปีให้หลังต่อไป 

สงครามเศรษฐกิจกับรัสเซียจะมีความยาวนานกว่าที่ทุกคนคิด
ผลกระทบต่อน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ก็จะยาวนานกว่าที่คิดเช่นกัน
ดังนั้น การที่เราจะเตรียมรับผลพวงจากความขัดแย้งของพญาหมีขาวกับพญาอินทรีและพวก ก็คงต้องเตรียมการยาวเช่นกัน  

หมายความว่า ทุกคนก็จะต้องรับผลจากสงครามครั้งนี้ กันพอสมควร
ที่เห็นชัดๆ ก็ราคาน้ำมัน ราคาอาหาร เงินเฟ้อ ก่อนที่จะลุกลามไปอย่างอื่น
ตามที่คนโบราณพูด "ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแหลกลาญ"

ที่น่ากังวลใจก็คือ ช่วงที่ผ่านมา สหรัฐและ NATO ต่างไม่ลดละในการออกมาตรการ ยิ่งเห็นความย่อยยับของเศรษฐกิจรัสเซีย ก็เร่งออกมาตรการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เร่งปิดช่องโหว่ต่างๆ

พยายามช่วยกันพัฒนายกระดับการใช้ "ระบบการค้าและระบบเงินของฝั่งโลกตะวันตก" ให้เป็น "นิวเคลียร์เศรษฐกิจ" ที่รุนแรงมากขึ้น

แต่ถ้าต้อนจนเขา "จนมุมเกินไป" สิ่งที่ย้อนสะท้อนกลับมา ก็อาจจะเกินคาดได้เช่นกัน เพราะรัสเซียเองก็ยังมีหมัดเด็ดๆ อีกหลายหมัด ที่ออกมาตอบโต้ได้ โดยถือว่า "ประเทศที่ Sanctions รัสเซีย" มีค่าเท่ากับ "ประกาศสงครามกับรัสเซีย" 

เมื่อตอบโต้กันไปมา ก็อาจจะลุกลาม ใหญ่โต เสียหายทุกฝ่าย
ได้แต่หวังว่า จะไม่มีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น 
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ 

#เรียนรู้เศรษฐกิจกับดรกอบ  #สงครามเศรษฐกิจกับรัสเซีย


ที่มา : https://www.facebook.com/100057945673869/posts/389835512957968/