Thursday, 3 July 2025
สหรัฐอเมริกา

ทัพทหารอิสราเอลถังแตก! เรื่องอาวุธ…หลังรบยืดเยื้อ นักวิเคราะห์ชี้ เป็นฝ่ายต้องการหยุดยิงมากกว่าอิหร่าน

(25 มิ.ย. 68) รายงานจาก NBC News อ้างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) กำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนอาวุธ โดยเฉพาะกระสุนและยุทโธปกรณ์หลักหลายชนิด หลังเปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา

อิสราเอลกล่าวหาอิหร่านว่าแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จึงเริ่มโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในอิหร่านก่อน จนนำไปสู่การตอบโต้ทันทีจากอิหร่าน ซึ่งยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพหลายแห่งในอิสราเอลในปฏิบัติการที่ชื่อว่า ‘True Promise 3’

แม้อิหร่านจะปฏิเสธว่าตนไม่มีโครงการนิวเคลียร์ แต่สหรัฐฯ ได้ร่วมกับอิสราเอลในวันที่ 22 มิถุนายน โจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน 3 แห่ง ส่งผลให้อิหร่านโต้กลับด้วยการยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพสหรัฐฯ ที่กาตาร์ แต่ไม่เกิดความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บ

ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า อิสราเอลและอิหร่านตกลงหยุดยิงหลังสู้รบยืดเยื้อ 12 วัน ขณะที่นักวิเคราะห์บางฝ่ายชี้ว่า อิสราเอลน่าจะต้องการหยุดยิงมากกว่า เนื่องจากศักยภาพการรบลดลงอย่างมาก

ทรัมป์เดือด! ตำหนิสื่อใส่สีอิสราเอลพ่าย ยันแค่ ‘โดนหนักไปหน่อย’ ไม่ได้แพ้อิหร่าน

(26 มิ.ย. 68) ในระหว่างการประชุมสุดยอดนาโต้ที่จัดขึ้นที่กรุงเฮก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกโรงโจมตีสื่อมวลชนอย่างรุนแรง หลังจากที่หลายสำนักข่าวรายงานว่า อิสราเอลอาจพ่ายแพ้ต่ออิหร่านในการสู้รบที่ใช้เวลาประมาณ 12 วัน ทรัมป์กล่าวว่า “อิสราเอลไม่ได้แพ้ แค่พวกเขาโดนหนักไปหน่อย” และเสริมว่าประชาชนอิสราเอลได้รับผลกระทบมากเกินควร เมื่อเห็นว่าขีปนาวุธพิสัยไกลของอิหร่านโจมตีอาคารในอิสราเอลจนพังหลายหลัง

ทรัมป์กล่าวอย่างชัดเจนอีกว่า เขาไม่เห็นด้วยกับแนวทางการนำเสนอข่าวของสื่อต่างชาติและในสหรัฐฯ เช่น CNN, The New York Times, MSNBC ที่วิพากษ์วิจารณ์ประสิทธิภาพการป้องกันของอิสราเอล ซึ่งเขายังเรียกนักข่าวบางคนว่า “พวกคนป่วยและทำลายผลงานทางทหาร” พร้อมเรียกร้องให้มีการปลด นาตาชา เบอร์ทรานด์ (Natasha Bertrand) จาก CNN และเรียกสื่อเหล่านี้ว่า “fake news”

ในช่วงที่เขาออกมาประกาศว่า อิสราเอลและอิหร่านตกลงหยุดยิง (ceasefire) ภายหลัง 'สงคราม 12 วัน' ทรัมป์แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนเมื่อเห็นอิสราเอลยังปล่อยขีปนาวุธ แม้ว่าเขาจะประกาศหยุดยิงแล้วก็ตาม ทั้งนี้เขาเน้นย้ำว่าอิสราเอล “โดนหนักไปหน่อย” แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ความล้มเหลว 

ขอปกป้องเต็มที่! ‘ทรัมป์’ พร้อมหนุน ‘เนทันยาฮู’ เรียกร้องยกเลิกคดีทุจริต ชี้เป็นการ ‘ล่าแม่มด’

(26 มิ.ย. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกโรงปกป้องนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล เรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลยุติการดำเนินคดีทุจริต หรือออกอภัยโทษให้โดยทันที โดยชี้ว่าเป็น ‘การล่าแม่มด’ ต่อผู้นำที่เขายกย่องว่าเป็น ‘วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของรัฐอิสราเอล’

เนทันยาฮูถูกฟ้องในปี 2019 ในข้อหาติดสินบน ฉ้อโกง และละเมิดความไว้วางใจ โดยการไต่สวนเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2020 และยังคงดำเนินอยู่ในศาลกรุงเทลอาวีฟ โดยล่าสุดเริ่มการซักค้านเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลานานถึง 1 ปี จึงจะเสร็จสิ้น

ทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า “คดีของ Bibi (เนทันยาฮู) ควรถูกยกเลิกทันที หรือไม่ก็ให้อภัยโทษกับวีรบุรุษที่ทำคุณมากมายเพื่อชาติอิสราเอล” พร้อมกล่าวว่า “สหรัฐอเมริกาเคยช่วยอิสราเอล และตอนนี้จะเป็นฝ่ายช่วย Bibi เนทันยาฮู”

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีอิสราเอล ไอแซก เฮอร์ซ็อก ได้ยืนยันผ่านสื่อว่า ยังไม่มีการยื่นขออภัยโทษอย่างเป็นทางการ และ ‘เรื่องนี้ยังไม่อยู่บนโต๊ะ’ ท่ามกลางความไม่ชัดเจนว่า ทรัมป์หรือรัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของอิสราเอลได้เพียงใด โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์เพิ่งวิจารณ์อิสราเอลกรณีทิ้งระเบิดอิหร่านหลังการหยุดยิงว่า ‘มากเกินไป’ และทำให้เขาไม่พอใจมาก

‘วินทร์ เลียววาริณ’ ชี้!! อเมริกามีแต่ฮีโร่ในหนัง ส่วนในโลกจริง มีแต่นักการเมืองคิดแค่จะรบ

(26 มิ.ย. 68) วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2556 และเป็นนักเขียนที่ได้รับ รางวัลซีไรต์ ถึง 2 ครั้ง โพสต์เฟซบุ๊กว่า หลายวันนี้ผมเขียนบทบาทด้านลบของการเมืองสหรัฐอเมริกาหลายตอน ขอบอกว่าผมไม่ได้เขียนเพราะเกลียดอเมริกัน ว่ากันตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ล้วนๆ และก็ไม่ได้สรุปว่าสหรัฐฯเลวทั้งประเทศ

แค่บอกว่านักการเมืองของเขาเลวใช้การได้เลย

ผมเคยไปเรียนและทำงานที่สหรัฐฯ เรียนรู้มากมายจากประเทศนี้ ยุคที่ผมไปอยู่ที่นั่น ยังไม่มีกระแส Asiaphobic ผลักชาวเอเชียตกรางรถไฟ อเมริกันที่ผมรู้จักก็เป็นคนที่ฉลาด นิสัยดี คบหาได้

สหรัฐฯมีนักคิด นักวิทยาศาสตร์ คนทำงานสร้างสรรค์นับไม่ถ้วน สร้างประโยชน์ให้ชาวโลกมหาศาล อเมริกามีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก มหาวิทยาลัย Top 10 เป็นของสหรัฐฯเสียกว่าครึ่ง อเมริกาเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลโนเบลมากที่สุดในโลก อเมริกันคิดค้นอะไรใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา เพราะสังคมแบบ American Dream เอื้อให้คนคิดสร้างสรรค์เต็มที่ เพราะรู้ว่ามีสิทธิ์รวยได้

นี่คือจุดแข็งของอเมริกา

แต่จุดอ่อนคือนักการเมือง ในมุมมองที่ผมเห็น การเมืองสหรัฐฯดูเหมือนไปทิศทางเดียวมาตลอด สกปรกโสมมสม่ำเสมอ

ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเมื่อเทียบกับประเทศจีนที่ล้าหลังกว่าหลายปีแสง จีนใช้เวลา 40 ปีสร้างประเทศจากศูนย์ ดึงคนพ้นความยากจนหลายร้อยล้านคน สร้างทางรถไฟ สร้างโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ เปลี่ยนทะเลทรายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ฯลฯ แต่ 40 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯยังไม่มีรถไฟความเร็วสูง (bullet trains) สักสายเดียว ยาเสพติดระบาด ปืนเกลื่อนเมือง ฆ่าหมู่เป็นประจำ ความเหลื่อมล้ำในสหรัฐฯสูงมาก (อาจเพราะเหตุนี้หรือไม่ที่ประเทศนี้เต็มไปด้วยซูเปอร์ฮีโร่?)

ในเมื่อสหรัฐฯเต็มไปด้วยคนเก่ง วิทยาการสูงส่ง ทำไมบ้านเมืองจึงเป็นอย่างที่เป็น?

ในคหสต. คำตอบก็น่าจะคือนักการเมือง เพราะแทนที่จะเอาสมองชั้นยอดไปพัฒนาประเทศ กลับไปพัฒนาอาวุธ ก่อสงครามทุกมุมโลก นักการเมืองกระเหี้ยนกระหือรืออยากทำสงคราม ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าทำไปทำไม เหมือนได้รับใบสั่งมา

สหรัฐฯมีฐานทัพนอกประเทศอย่างน้อย 128 แห่งทั่วโลก สหรัฐฯวีโต้คว่ำทุกมติของนานาชาติ (โดยเฉพาะมติที่ไม่เป็นผลดีต่ออิสราเอล) ส่งอาวุธไปร่วมโรงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ถอนตัวจากการแก้ปัญหาโลกร้อน ไม่แยแสกฎระเบียบนานาชาติ ไม่สนใจความชอบธรรม ความยุติธรรม มนุษยธรรม

นี่ไม่ได้พูดเพราะอารมณ์พาไป นี่ว่าตามหลักฐานที่ปรากฏ นี่ก็คือภาพที่ชาวโลกเห็น

เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นไม่ว่าที่มุมไหนในโลก โฆษกทำเนียบขาวก็มักจะโผล่หน้ามาเอ่ย "เราเป็นห่วงสถานการณ์ที่ประเทศยูจังเลย"

แต่กลับไม่ห่วงประเทศตัวเอง ไม่ได้ห่วงว่าทำไมชาวอเมริกันจ่ายภาษีไปเป็นค่าอาวุธไปให้ชาติอื่นเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

จะรู้ว่ามันเริ่มต้นมาได้อย่างไร ก็ต้องศึกษาประวัติศาสตร์

สงครามโลกครั้งที่สองน่าจะเป็นจุดเปิด Pandora's box เมื่อประเทศในยุโรปพังพินาศ ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกล้มระเนระนาด แต่อเมริกาปลอดภัย ด้วยแสนยานุภาพทางทหาร ทันใดนั้นอเมริกาก็มองเห็นโอกาสที่จะเป็นเจ้าโลก

สหรัฐฯต่อสู้กับโซเวียตในช่วงสงครามเย็นยาวนาน สมัยผมเป็นเด็ก สำนักข่าวสารอเมริกันพิมพ์นิตยสารแจกคนไทย มีทั้งความรู้และโฆษณาชวนเชื่อผสมกัน โดยเฉพาะเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ ตอนนั้นเด็กไทยกลัวคอมมิวนิสต์ คิดว่าเป็นผีชนิดหนึ่ง จับเด็กไปฆ่า

เด็กไทยก็โตมาแบบนี้ มีภาพว่าอเมริกาคือมหามิตร

จนเมื่อโซเวียตล้ม (เพราะตัวมันเอง ไม่ใช่เพราะสหรัฐฯ) สหรัฐฯก็กลายเป็น Unipolar power ใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในโลกา แต่ไม่สบายใจเมื่อจีนมาหายใจรดต้นคอ ซึ่งเป็นภาคบังคับ เพราะเศรษฐกิจจีนจะใหญ่กว่าสหรัฐฯในไม่กี่ปีข้างหน้า

นี่ก็คือเหตุผลที่ผู้นำสหรัฐฯต้องตีประเทศจีนสามเวลาหลังอาหาร เสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการเพิ่มรอบเช้า 10.00 น.

และนี่ส่งผลย้อนกลับ (backfire) เช่น การสกัดจีนเรื่องชิปยิ่งทำให้จีนรีบพัฒนาชิปเร็วขึ้นกว่าเดิม

อเมริกาเป็นประเทศที่รวมทั้งคนดีและคนไม่ดี มีบริษัทยาที่ค้ากำไรเกินควร แต่ก็มีคนอย่าง โจนาส ซอล์ค (Jonas Salk) ที่คิดค้นวัคซีนโรคโปลิโอสำเร็จ แล้วมอบให้ชาวโลกโดยไม่รับสิทธิบัตร มีคนอย่าง จอร์จ โซรอส ที่คนไทยจดจำได้ดีจากเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง แต่ก็มีคนใจบุญอย่าง ชัค ฟีนีย์ (Chuck Feeney) ที่สร้างมหาวิทยาลัยไปทั่วโลก

ความสัมพันธ์ของชาวโลกกับสหรัฐฯจึงเป็น love-hate relationship เรายอมรับความเก่งของเขา แต่เราก็กลัวความบ้าของเขา ไม่มีชาติใดในโลกอยากรบกับอเมริกัน ไม่มีใครอยากสู้กับหมาบ้า

ลีกวนยูเคยบอกว่า "ถามว่าผมอยากเหมือนอเมริกาไหม ใช่ ในด้านความสามารถประดิษฐ์คิดค้น ในด้านความคิดสร้างสรรค์... แต่อเมริกาที่ไร้ความสามารถควบคุมปัญหายาเสพติด - ไม่อยาก! หรือปัญหาปืน ไม่อยาก!"

ในปี 1961 สิงคโปร์จับซีไอเอสามคนข้อหาล้วงความลับ อเมริกาเสนอให้เงินสินบนหนึ่งล้านแก่พรรค PAP ของลีกวนยูเพื่อให้ปล่อยตัวคนของตน ลีกวนยูบอกว่า “อเมริกาซื้อผู้นำเวียดนามและประเทศอื่น ๆ มากจนคิดว่าผู้นำทุกคนในโลกซื้อได้หมด”

ลีกวนยูบอกว่าปัญหาของพวกตะวันตกคือ "hubris" (กร่าง โอหัง) hubris นี่จะทำลายตัวเอง

คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ไม่ต่างจากไทยหรือประเทศอื่นๆ จะพัฒนาการเมืองอเมริกาได้ ก็ต้องพัฒนาคนก่อน

ในคหสต. ปัญหาของคนอเมริกันคือความรู้รอบตัวต่ำมาก เมื่อได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน นักการเมืองพันธุ์กระหายเลือดก็ยังคงอยู่ได้ต่อไป และทำให้โลกป่วน สหรัฐฯสามารถยุติสงครามใหญ่ๆ ในวันนี้ได้ในอึดใจเดียว แต่เลือกไม่ทำ

โลกเรากว้างใหญ่พอที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แต่ไม่ใหญ่พอสำหรับพวกที่มีอีโก้สูงกว่าภูเขาเอเวอเรสต์ และความโลภลึกกว่า Mariana Trench

ไม่ว่าจักรวรรดิอเมริกาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน วันหนึ่งมันก็เสื่อมและล้ม (บางคนว่ามันอยู่ในช่วงสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว) นี่ไม่ได้แช่ง แต่มันเป็นสัจธรรมโลก ประวัติศาสตร์หลายพันปีนี้สอนเราว่า ทุกจักรวรรดิล่มสลายเสมอ จำนวนมากล่มเพราะตัวเอง จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิอังกฤษ ("อาทิตย์ไม่เคยตกดิน") ล้วนล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว

มันเป็นสัจธรรมเช่นนั้นเอง

วินทร์ เลียววาริณ
25-6-25

หากฉันชนะการเลือกตั้ง จะจับกุม ‘เนทันยาฮู’ เมื่อเดินทางมานิวยอร์ก และขอสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ทุกคน ที่ทำให้ชนะการเลือกตั้ง

(29 มิ.ย. 68) ดร.เลอพงษ์ ซาร์ยีด นักวิชาการชาวไทย ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอิหร่าน ได้โพสต์ข้อความ โดยได้ระบุว่า ...

เมื่อ Zohran mamdani ผู้ลงชิงสมัครการเลือกตั้งผู้ว่ารัฐนิวยอร์กที่เป็นมุสลิมจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งและเป็นตัวแทนจากพรรค (รอประกาศผลอย่างเป็นทางการ)

Zohran ประกาศช่วงหาเสียงว่า "หากฉันชนะการเลือกตั้ง จะจับกุมเนทันยาฮู เมื่อเดินทางมานิวยอร์ก และขอสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ทุกคนที่ทำให้ชนะการเลือกตั้ง" (เลือกตั้งช่วงเดือนพฤศจิกายน) 

การประกาศของ Zohran ทำให้ทรัมป์จากพรรคริพับลิกันไม่พอใจที่จะจับกุมสุดที่รัก

‘ทรัมป์’ ยืนกรานเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่น 25% เสนอทางรอด!! ซื้อสินค้าอเมริกันแทนโดนภาษีอัตราสูง

(30 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกโรงวิจารณ์การค้ารถยนต์ระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นว่าไม่เป็นธรรม โดยระบุว่าสหรัฐฯ รับรถยนต์จากญี่ปุ่นนับล้านคันทุกปี แต่ญี่ปุ่นกลับไม่เปิดตลาดรับรถจากอเมริกาเท่าที่ควร พร้อมขู่ว่าจะยังคงเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 25% ต่อไป

ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่ารัฐบาลญี่ปุ่นก็รู้เรื่องนี้ดี เขายังพูดเชิงประชดว่า “ผมอาจส่งจดหมายถึงญี่ปุ่นว่า คุณต้องจ่ายภาษีนำเข้ารถยนต์ 25%” ซึ่งสื่อว่าเขาจะไม่ยอมลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นตามที่ญี่ปุ่นร้องขอ

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวว่า ญี่ปุ่นควรช่วยลดการขาดดุลการค้าด้วยการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ให้มากขึ้น เช่น น้ำมันหรือสินค้าอุตสาหกรรม พร้อมย้ำว่าเขาสามารถประกาศเก็บภาษีได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องพบหรือหารือกับผู้นำประเทศคู่ค้าเหล่านั้นโดยตรงก่อน

ทรัมป์ยังระบุอีกว่า เขาเตรียมส่งจดหมายแบบเดียวกันไปยังประเทศคู่ค้ารายอื่น ๆ ที่ตั้งภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ไว้สูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลของเขาจะเดินหน้านโยบายกดดันด้านการค้าอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก

ศาลอิสราเอลเลื่อนสืบคดี ‘เนทันยาฮู’ อ้างติดภารกิจดูแลเรื่องความมั่นคงชาติ

(30 มิ.ย. 68) ศาลกรุงเยรูซาเลม มีคำสั่งเลื่อนการไต่สวนคดีทุจริตของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ซึ่งเดิมมีกำหนดในสัปดาห์นี้ หลังเจ้าตัวยื่นคำร้องขอเลื่อน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ และได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกคดี พร้อมยกย่องเนทันยาฮูว่าเป็น “วีรบุรุษ”

ทีมกฎหมายของเนทันยาฮูให้เหตุผลว่า นายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดในการจัดการปัญหาทางการเมืองและความมั่นคง โดยเฉพาะหลังจากเกิดการสู้รบกับอิหร่านที่เพิ่งยุติลงด้วยข้อตกลงหยุดยิง และสถานการณ์ในฉนวนกาซาที่ยังมีตัวประกันชาวอิสราเอลถูกจับอยู่

ก่อนหน้านี้ศาลเคยปฏิเสธคำขอเลื่อนการไต่สวนของเนทันยาฮู แต่ภายหลังเปลี่ยนใจเมื่อได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าตัว รวมถึงหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทหารและผู้อำนวยการมอสซาด (Mossad) ซึ่งยืนยันว่าเขาจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาให้กับภารกิจด้านความมั่นคง จึงเห็นควรให้เลื่อนการไต่สวนออกไปก่อนในช่วงนี้

สำหรับคดีของเนทันยาฮูมีหลายประเด็น โดยหนึ่งในนั้นคือการรับของขวัญหรูมูลค่ากว่า 260,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.49 ล้านบาท) จากนักธุรกิจ แลกกับผลประโยชน์ทางการเมือง อีกทั้งยังถูกกล่าวหาว่าพยายามต่อรองให้สื่อบางสำนักเสนอข่าวเชิงบวก ขณะที่เจ้าตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และมองว่าคดีนี้มีแรงจูงใจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง โดยที่ผ่านมาเขาเคยขอเลื่อนการพิจารณาคดีมาแล้วหลายครั้งนับตั้งแต่ปี 2020

สหรัฐฯ ไฟเขียวขายอาวุธให้ยิว 510 ล้านดอลล์ หลังใช้ระเบิดจำนวนมากในสงครามกับอิหร่าน

(1 ก.ค. 68) สหรัฐฯ อนุมัติขายอุปกรณ์ระเบิดนำวิถีให้อิสราเอล มูลค่า 510 ล้านดอลลาร์ (ราว 18,700 ล้านบาท) หลังจากอิสราเอลใช้ระเบิดไปจำนวนมากในสงครามกับอิหร่าน โดยชุดอุปกรณ์นี้จะช่วยให้อิสราเอลสามารถโจมตีเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น

หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ระบุว่า การขายอาวุธครั้งนี้จะช่วยให้อิสราเอลมีศักยภาพในการป้องกันตัวเองจากภัยคุกคามในตอนนี้และในอนาคต รวมถึงปกป้องพรมแดน สิ่งก่อสร้างสำคัญ และพื้นที่ที่มีประชาชนอยู่หนาแน่น

รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันว่า ความมั่นคงของอิสราเอลเป็นเรื่องสำคัญต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และการสนับสนุนให้อิสราเอลมีศักยภาพในการป้องกันตัวเองอย่างแข็งแกร่งและพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องทำ

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อนุมัติการขายอาวุธให้กับอิสราเอลในขั้นต้นแล้ว ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ส่งเรื่องให้รัฐสภาพิจารณา ซึ่งยังต้องรอการอนุมัติขั้นสุดท้ายก่อนจะเริ่มดำเนินการซื้อขายจริงได้

สหรัฐฯ ขอกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ปลดอาวุธ แลกถอนทหารอิสราเอล ให้คำมั่นช่วยฟื้นฟูประเทศ

(2 ก.ค. 68) รัฐบาลเลบานอนกำลังร่างคำตอบต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้กลุ่มติดอาวุธเฮซบอลเลาะห์วางอาวุธทั่วประเทศภายในเดือนพฤศจิกายน เพื่อแลกกับการยุติปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในพื้นที่ทางใต้ของเลบานอน ตามรายงานของแหล่งข่าววงในเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

ข้อเสนอดังกล่าวถูกส่งถึงเบรุตเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน โดยโธมัส บารัค (Thomas Barrack) ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ ประจำซีเรียและทูตประจำตุรกี ซึ่งได้นำเสนอแผนความร่วมมือ 6 หน้ากระดาษ ครอบคลุมการปลดอาวุธของเฮซบอลเลาะห์ การฟื้นฟูสัมพันธ์กับซีเรีย และการปฏิรูประบบการเงิน โดยการวางอาวุธจะเป็นไปแบบเป็นขั้นตอน และสหรัฐฯ ย้ำว่าจะไม่มีการช่วยเหลือฟื้นฟูประเทศ หากเฮซบอลเลาะห์ยังถืออาวุธ

ภายใต้แผนดังกล่าว ยังมีข้อเสนอให้สหประชาชาติดูแลกลไกการเจรจาแลกเปลี่ยนนักโทษระหว่างอิสราเอลและกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ โดยบารัคย้ำว่าโอกาสนี้ “อาจไม่หวนกลับมาอีก” แม้ยังไม่ได้รับการรับรองจากอิสราเอล ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ และอิสราเอลยังไม่มีถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการต่อข้อเสนอนี้

เลบานอนได้ตั้งคณะกรรมการร่วมจากทำเนียบนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี และประธานรัฐสภา เพื่อร่างคำตอบเบื้องต้น โดยมีการหารือกับกลุ่มเฮซบอลเลาะห์อย่างใกล้ชิด แหล่งข่าวเผยว่าเฮซบอลเลาะห์ส่งสัญญาณพร้อมร่วมพูดคุย แต่ยังไม่ให้คำมั่นว่าจะปลดอาวุธ ด้านเลขาธิการกลุ่ม นายม์ กอซเซ็ม (Naim Qassem) กล่าวผ่านโทรทัศน์ว่า “เรามีสิทธิ์ที่จะพูดว่า 'ไม่' กับทั้งอเมริกาและอิสราเอล”

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของสมดุลอำนาจในตะวันออกกลาง หลังสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในเดือนตุลาคม 2023 ทำให้พันธมิตรของอิหร่านในภูมิภาค รวมถึงเฮซบอลเลาะห์ เสียความได้เปรียบอย่างมาก อาวุธบางส่วนของกลุ่มถูกทำลายในการโจมตีทางอากาศ และคลังแสงบางแห่งถูกส่งมอบให้กองทัพเลบานอนตามข้อตกลงหยุดยิงก่อนหน้านี้

‘ทรัมป์’ ประกาศลดภาษีนำเข้าเวียดนามจาก 46% เหลือ 20% พร้อมลงทุนกว่าหมื่นล้านบาท ผุด Trump Tower ในโฮจิมินห์

(3 ก.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงผ่านโซเชียลมีเดียว่า สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับเวียดนาม โดยจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามในอัตรา 20% แทนการเก็บภาษี 46% ที่เดิมมีกำหนดบังคับใช้ในสัปดาห์หน้า ตามนโยบาย 'ภาษีตอบโต้' ที่ทรัมป์ประกาศไว้เมื่อเดือนเมษายน

ข้อตกลงนี้ยังเปิดโอกาสให้สินค้าจากสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยไม่มีการเก็บภาษี ขณะที่สินค้าที่ผ่านเวียดนามโดยไม่ได้ผลิตในประเทศ (trans-shipping) จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 40% เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษีจากประเทศอื่น โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่ถูกส่งผ่านเวียดนาม

ทรัมป์กล่าวว่า เวียดนามจะเปิดตลาดอย่างเต็มที่ ให้กับสหรัฐฯ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับเป็นผลสำเร็จจากความร่วมมือที่เขาเรียกว่า “ข้อตกลงแห่งความร่วมมืออันยิ่งใหญ่” พร้อมทั้งย้ำว่าสหรัฐฯ จะสามารถส่งออกสินค้าไปยังเวียดนามโดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า

ข้อตกลงใหม่นี้ส่งผลให้หุ้นของบริษัทที่ผลิตสินค้าในเวียดนามปรับตัวสูงขึ้นทันที อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นกลับปรับลดลงภายหลังมีรายละเอียดเพิ่มเติมว่าสินค้าจะยังคงถูกเก็บภาษี 20% ด้านผู้บริหารหอการค้าอเมริกันในฮานอยแสดงความเชื่อมั่นว่า ข้อตกลงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเวียดนามในระยะยาว แม้ยังมีข้อกังขาเรื่องการบังคับใช้กฎเกี่ยวกับ trans-shipping

นอกจากนี้ มีรายงานว่า ทรัมป์และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โทรศัพท์พูดคุยกันในวันเดียวกัน โดยเวียดนามได้เชิญทรัมป์เยือนประเทศอีกครั้ง ขณะเดียวกัน องค์กรทรัมป์ยังเตรียมลงทุนกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 54,750 ล้านบาท) ในเวียดนาม และมีแผนสร้างตึก Trump Tower แห่งใหม่ในโฮจิมินห์ซิตี้อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top