Sunday, 12 May 2024
พิธา

‘ดร.ธนวรรธน์’ ชี้ ความไม่ชัดเจน ทำให้ทิศทางคลุมเครือ ย้ำ  นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ควรนำมาหาเสียงอีกแล้ว เพราะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อธุรกิจ

หลังเลือกตั้ง ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร? คำตอบนี้คงเริ่มมีบรรดานักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ออกมาวิเคราะห์กันมากขึ้น เฉกเช่นเดียวกันกับ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งเป็นอีกท่านหนึ่งที่มีมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งที่น่าสนใจไม่น้อย โดยครั้งนี้ท่านได้เล่าฉากทัศน์ของเศรษฐกิจไทยให้เราได้เห็นภาพว่า...

ตอนนี้ถ้าพูดถึงบริบทของความชัดเจนในตอนนี้ มันคือ 'ความไม่ชัดเจน' ซึ่งความไม่ชัดเจนนี้จะมีภายใต้ 3 เงื่อนไขทางการเมือง ที่แม้ว่าวันนี้เราจะทราบถึงว่าที่นายกรัฐมนตรี ว่าที่รัฐบาลกันแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาอุปสรรคอีกหลายอย่างที่ทำให้ทิศทางเศรษฐกิจคลุมเครือภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ เช่น...

>> 'เงื่อนไขที่หนึ่ง' 
แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลโดยที่มีเสียง 313 เสียง จากพรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรค โดยที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายก ซึ่งเป็นหลักที่น่าจะเกิดขึ้นตามกลไกของการเลือกตั้ง แต่ในเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญจะมี 2 ประเด็นที่เกิดขึ้นได้ตอนนี้ก็คือ หากนายพิธา ถือครองหุ้นสื่อ ก็จะมีความเป็นไปได้ว่าต้องหลุด ไม่มีผล หรือหลุดจากการเป็น ส.ส. เพราะว่าผิดเงื่อนไข ซึ่งตรงนี้ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ทำให้โอกาสที่นายพิธา จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้นยังมีความไม่ชัดเจน 

แต่ถ้าหลุดด่านนี้ไปได้นายพิธาจะต้องเจออีกประเด็นคือ การที่ ส.ว. จะต้องมาสนับสนุนรวมกับ ส.ส. ในสภาอย่างน้อยอีก 63 เสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราตีความถึงความน่าจะเป็นแล้ว โอกาสที่นายพิธา จะเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลของพรรคก้าวไกล มีโอกาส 50 : 50 และน่าจะมีโอกาสที่ออกไปทางไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีค่อนข้างสูงด้วย

>> 'เงื่อนไขที่สอง'
แล้วใครจะเป็นรัฐบาล อันนี้ก็ต้องเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พรรคเพื่อไทยจะต้องเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลต่อไป คำถามคือ พรรคเพื่อไทยจะรวมกับพรรคไหนบ้าง ซึ่งมีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งแน่นอนว่าเงื่อนไขสองเงื่อนไขนี้ เงื่อนไขที่สอง มีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะถ้า ส.ว. สนับสนุนภายใต้การเลือกนายกรัฐมนตรีที่ ส.ว. ยอมรับโอกาสที่จะเป็นรัฐบาลก็มีมากขึ้น และเมื่อเรามาพิจารณานโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยแล้วนั้น แนวนโยบายทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 พรรค ไม่ต่างกัน เพราะแนวนโยบายเศรษฐกิจของทั้ง 2 พรรค จะเป็นลักษณะที่ใช้การลดค่าครองชีพ การเติมเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดีทำให้เกิดความเติบโตอย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 

>> 'เงื่อนไขที่สาม' 
หาพิจารณาดูแล้วเงื่อนไขที่สอง จะมีโอกาสทำให้ภาพของเศรษฐกิจฉายได้ชัดขึ้น เพียงแต่ยังมีเงื่อนไขซ้อนเงื่อนไขนี้อยู่คือ ใครเป็นนายก? จะเป็นนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรือ นายเศรษฐา ทวีสิน หรือจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่น อย่างนายอนุทิน ชาญวีระกุล หรือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เงื่อนไขนี้ไม่มีผลต่อ ส.ว. จึงทำให้การเมืองในรัฐสภาสงบนิ่ง แต่การเมืองนอกสภานิ่งหรือไม่? ตรงนี้น่าจับตา เพราะถ้าการเมืองนอกสภาไม่นิ่ง ก็ต้องมาดูกันว่าจะมีการประท้วงมากน้อยแค่ไหนและรุนแรงหรือไม่ ซึ่งจะเห็นการเคลื่อนตัวของภาคีขององค์กรต่างๆ ที่ต้องการจะผลักดันให้ ส.ว. สนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี 

>> การเมืองมีเสถียรภาพ = ไปรอด!!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล แต่ถ้าสามารถประคองการเมืองให้มีเสถียรภาพ เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโอกาสที่การเมืองจะมีเสถียรภาพแค่ไหนในตอนนี้นั้น รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า มีอยู่สูงมาก และต่อให้ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกลด้วย แต่ต้องทำให้ภาพการเมืองมีความชัดเจนให้ได้ แล้วโอกาสที่นโยบายเศรษฐกิจต่างๆ จะสร้างความมั่นใจต่อสังคมไทย นักลงทุนไทย ผู้บริโภคไทย นักลงทุนชาวต่างประเทศ บรรยากาศที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว การบริโภคดีขึ้น ทุกอย่างจะดีขึ้นหมด และอาจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในกรอบ 3–5% ได้เลยทีเดียว

แต่ถ้าการเมืองขาดเสถียรภาพ สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ การจะมีเสถียรภาพจะกลับมาเร็วหรือไม่ ถ้ายังพอได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แต่อาจจะมีปัญหาสั่นคลอนไปบ้าง เศรษฐกิจไทยก็ยังคงน่าจะโตได้ในกรอบ 3–5% เช่นเดิม แต่ถ้ามีการเมืองในท้องถนนมากขึ้น จนทำให้ประชาชนกังวล ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่า 3%

>> ต่อข้อคำถามเกี่ยวกับการที่ตลาดหุ้นร่วงหลังจากเลือกตั้ง รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า เพราะนักลงทุนคาดการณ์จากที่นักวิเคราะห์มองว่า...

...ปัจจัยที่หนึ่ง : การไม่มั่นใจว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้โดยแกนนำของพรรคก้าวไกล จึงทำให้การเมืองมีความสับสนไม่ชัดเจนทำให้ภาพเศรษฐกิจไม่ชัด 

...ปัจจัยที่สอง : เพราะพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาลใช้คำว่า 'ทุนผูกขาด' นั่นหมายความว่า จะมีการปรับกฎหมาย ปรับวิธีการทำการทั้งหมด เพื่อทำให้กลุ่มทุนอาจจะมีกำไรน้อยลงหรืออาจจะได้สัมปทานของรัฐน้อยลงในอนาคต หรืออาจจะมีการแก้ไขสัญญา ซึ่งทำให้นักลงทุน นักวิเคราะห์ไม่มั่นใจว่า การเข้ามาของรัฐบาลใหม่จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผิดไปจากที่คาดไว้เดิมหรือไม่ 

...ปัจจัยที่สาม : ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่สามารถเพิ่มขยายเพดานหนี้สาธารณะได้ จึงทำให้สหรัฐฯ อาจจะมีความสูญเสียต่อการที่จะผิดนัดชำระหนี้ เพราะฉะนั้นสามปัจจัยนี้จึงทำให้หุ้นไทยมีสัญญาณปรับตัวลดลงตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง แต่ถ้ามองในภาพรวมหุ้นทั่วโลกไม่ได้ดิ่งลง มีแค่หุ้นสหรัฐฯ ที่ Sideway Down (ขึ้น-ลงในทิศทางที่ร่วง) เพราะปัญหาเพดานหนี้บวกกับปัญหาของจีนที่ผูกพันกับสหรัฐฯ ในเรื่องการส่งออกค่อนข้างเยอะและตลาดหุ้นไทย

ทว่าเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยหลัก หากแต่ปัจจัยหลักมาจากการเมือง ดังนั้นถ้าการเมืองของเราไม่นิ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจ พอเศรษฐกิจไม่นิ่งก็จะสะท้อนไปที่ตลาดหุ้น ตลาดหุ้นจะมีผลชี้นำต่อเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศ จึงสรุปได้ว่าถ้าการเมืองไม่ชัดเจนจะทำให้เศรษฐกิจเห็นภาพไม่ชัดเช่นเดียวกัน 

>> เกี่ยวกับการลงทุนของจีนกับการลงทุนของซาอุดีอาระเบียที่คืบรุกมาอย่างก้าวหน้าในช่วงที่ผ่านมา หลายคนวิตกกังวล เป็นห่วง ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า ไม่น่าจะส่งผลกระทบเนื่องจากทุกประเทศทราบอยู่แล้วว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้ง และทุกการเลือกตั้งก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในเชิงธุรกิจย่อมรับทราบดีอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องวิตกกังวลกับเรื่องนี้ เว้นเสียแต่พรรคก้าวไกลจะมีการเอนเอียงไปทางสหรัฐฯ เป็นพิเศษ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่สมมติฐานหรือข้อกล่าวหาของบางกลุ่มเท่านั้น และผมเชื่อว่า พรรคก้าวไกลคงจะคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีกับประเทศต่าง ๆ และรัฐบาลที่ชาญฉลาดคงไม่เอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถึงแม้ว่าประเทศต่างๆ ต้องการให้ประเทศไทยเลือกข้างก็ตาม

>> เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวเสริมว่า โอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอยและทรุดตัวลงอย่างรุนแรงยังมีความเป็นไปได้อยู่ แต่น้อยกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว เพราะสหรัฐฯ ประหยุดการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ยังต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อเริ่มปักหัวลง ขณะที่เศรษฐกิจเยอรมนีค่อยๆ ฟื้นตัว ดังนั้นในจังหวะทึ่โอกาสเศรษฐกิจของโลกค่อย ๆ ฟื้นตัว รัฐบาลใหม่ของไทยไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็จะได้อานิสงค์ในเชิงบวกจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวด้วยเช่นกัน

"ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราเจอทั้ง Trade War ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสถานการณ์โควิด19 ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกสะบักสะบอมไปตามๆ กัน ทุกประเทศมีคนตกงาน ทุกประเทศเดือดร้อน เพราะโควิด19 ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินอย่างน้อย 20–30% ของจีดีพี ซึ่งก็เป็นที่มาให้เศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ มีปัญหาอยู่ถึงขณะนี้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาจึงเผชิญกับเศรษฐกิจที่โจทย์ยากมาก และใครมาเป็นรัฐบาลถูกตำหนิทั่วโลก 

"ดังนั้นช่วงนี้ จึงเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงของการเตรียมเสวยสุขจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่สิ่งที่ทุกรัฐบาลต้องทำคือ ต้องฟื้นเศรษฐกิจให้ได้เร็ว ต้องทำให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋าเร็ว และต้องทำให้ประชาชนมีค่าครองชีพต่ำลงให้ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลให้ประชาชนเลือกพรรคการเมือง ที่พร้อมแก้ไขปัญหาเหล่านี้"

>> เกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลใหม่ควรต้องทำทันที รศ.ดร.ธนวรรธน์ ขยายความให้ฟังว่า ยิ่งปัจจุบัน ค่าน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งเกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนส่งผลกระทบชิ่งไปสู่ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ลามไปค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อการจับจ่ายใช้สอยซึมลงทั้งโลก สิ่งที่รัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วต้องทำทันที จึงเป็นการลดค่าครองชีพ ลดราคาสาธารณูปโภคให้ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งตอนนี้ค่าไฟฟ้าจะถูกลงแน่ๆ เพราะราคาน้ำมันลดลง ดูแลค่าครองชีพให้ประชาชนมีเงินเพียงพอในการใช้ดำรงชีวิต นี่คือข้อแรก อย่างน้อยจิตวิทยาในเชิงบวกจะเกิดขึ้นถ้ารัฐบาลใหม่สามารถดูแลค่าพลังงาน, ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า, ค่าน้ำมัน และก๊าซหุงต้ม 

ข้อที่สองคือ การเติมเงินให้ประชาชน ทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้เงิน นั่นก็คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว เอื้ออำนวยให้การส่งออกโดดเด่นทั้งประเทศจะได้ประโยชน์ 

และข้อสุดท้ายคือ เติมเงินเป็นจุด ๆ เช่น การเติมเงินให้กับหมู่บ้าน การเพิ่มค่าแรงงาน หรือเงินโอนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินดิจิทัล เบี้ยผู้สูงอายุ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และควรส่งเสริมการลงทุน ตรงนี้จะทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยฟื้นได้ใน 'ระยะสั้น' ส่วนการฟื้นเศรษฐกิจใน 'ระยะกลาง' คือ การส่งเสริมการแข่งขัน ด้วยการแก้กฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนจากต่างประเทศและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนชาวไทยไปแข่งขันกับต่างประเทศ ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย ปรับปรุงเรื่องการศึกษาให้คนไทยมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ดี 

ขณะที่ 'ระยะยาว' ต้องสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนชั้นกลางมีมากขึ้น ทำให้คนจนหมดไป และสิ่งที่สำคัญก็คือส่งเสริมธุรกิจที่อยู่ในบริบท BCG ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม

>> เกี่ยวกับเรื่องของข้อควรระวังในการบริหารด้านเศรษฐกิจไทย รศ.ดร.ธนวรรธน์ มองว่า ต้องระวังการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยไทยต้องมีเงินเพียงพอในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นสิ่งที่ควรพิจารณาคือ การไม่ก่อหนี้ แม้ตอนนี้หนี้สาธารณะของไทยจะอยู่ที่ 61% ของจีดีพีนั้น แต่ก็ไม่ควรก่อหนี้เพิ่มอีกโดยไม่จำเป็น เพราะถ้าเกิดเศรษฐกิจโลกพลิกผันถดถอยอย่างรุนแรงประเทศไทยจะได้มีโอกาสกู้เงินเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในได้ เพราะเงินกู้เท่านั้นจะทำให้เราอยู่รอดได้ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง 

นอกจากนี้ ก็ต้องใช้ศาสตร์พระราชา หลักเศรษฐกิจพอเพียง ใช้เงินภายในช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ นี่คือการเฝ้าระวังสูงสุด แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่มีความเสี่ยง เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้น สิ่งที่จะต้องทำคือ ต้องเป็นเจ้าภาพในการท่องเที่ยวที่ดี, ดูแลนักท่องเที่ยวให้ปลอดภัย, ดูแลเรื่องของระบบโลจิสติกส์, ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว, ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว ที่สำคัญต้องเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว, ต่อวีซ่าสะดวกขึ้นง่ายขึ้น, ส่งเสริมการส่งออกด้วยการทำค่าเงินบาทให้อ่อนอยู่ระหว่าง 34–36 บาท ส่งออกจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งพยายามลดต้นทุนของผู้ประกอบการให้ได้มากที่สุด ไม่นานเศรษฐกิจประเทศไทยก็ฟื้น และสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการดูแลเศรษฐกิจระยะยาว คือ ส่งเสริมให้ชาวต่างชาติมาทำงานที่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของอุตสาหกรรมใหญ่ ตอนนี้กำลังฟื้นตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า, อสังหาริมทรัพย์, อุตสาหกรรมเกษตร ถ้าเราแปรรูปอุตสาหกรรมเกษตรให้ดีเน้นทางด้าน BCG ประเทศไทยน่าจะประคองเศรษฐกิจไปได้

ขณะเดียวกันสิ่งที่โดดเด่นมากๆ ของประเทศไทย คือการเป็นเมืองบริการเรื่องการดูแลสุขภาพ ความสวยความงาม การท่องเที่ยว และ HUB การขนส่งในเขตเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ในการลงทุน ตรงนี้ต้องคงไว้

ก่อนจบบทสนทนา รศ.ดร.ธนวรรธน์ ได้เตือนถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (450 บาท) ตามที่พรรคการเมืองได้ประกาศหาเสียงไว้ ว่าจะเป็นดาบ 2 คม ที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงภาคธุรกิจหลายรายย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

"เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและต้องการให้พรรคการเมืองต่างๆ ต้องพิจารณาให้จงหนัก เนื่องจากภาคเอกชนมีไตรภาคี เรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงควรไปคุยในไตรภาคีและขอให้เป็นไปตามกลไกราคา จึงฝากเตือนไปยังพรรคการเมืองต่างๆ ว่า นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ควรนำมาหาเสียงอีกแล้ว เพราะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อธุรกิจได้ง่าย แต่ถ้าจะขึ้นค่าแรงต้องหาทางแก้ไขให้ครอบคลุมทุกมิติ จะให้ภาคเอกชนมาแบกรับภาระนี้คงจะหนักเกินไป อาจจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตตามมา"

‘รศ.หริรักษ์’โพสต์ข้อความ ชวนให้คิด พรรคก้าวไกล มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr

เกี่ยวกับประเด็นที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่าประเทศสหรัฐอเมริกาแทรกแซงการเมืองไทยด้วยการให้การสนับสนุนพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ข้างสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล โดยมีใจความว่า ...

5 ปีที่แล้วหากบอกว่า สหรัฐอเมริกาแทรกแซงการเมืองไทยด้วยการให้การสนับสนุนพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ข้างสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล จะไม่มีใครเชื่อ นอกจากไม่เชื่อแล้วยังมองว่าคนที่พูดบ้าไปแล้ว ดูหนังมากไปหรือไม่ แต่วันนี้ มีคนที่เชื่อเรื่องนี้มากขึ้นทุกวัน มากจนกระทั่งคุณรังสิมันต์ โรม มีความวิตก ออกมาชี้แจงและปฏิเสธว่า เป็น fake news เป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลพรรคก้าวไกลจะยอมให้ต่างชาติมาตั้งฐานทัพในประเทศไทย คุณวิโรจน์ ลักณาอดิศรก็ตอบโต้ว่า เป็นนิทานหลอกเด็ก เป็นอุปทานหมู่

ระยะนี้ จึงมีคนถามกันมากว่า การแทรกแซงประเทศไทยโดยชาติมหาอำนาจด้วยการให้การสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งก็หมายถึงพรรคก้าวไกลให้ชนะการเลือกตั้งเพื่อได้เป็นรัฐบาล เป็นความจริงหรือไม่ มีหลักฐานหรือไม่

คำตอบคือ ไม่มีใครที่เป็นคนนอกบอกได้ 100% หลักฐานมีหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าหลักฐานแบบจับให้มั่นคั้นให้ตายคงไม่มี แต่มีเหตุการณ์ และข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้นเ จนทำให้มีความน่าเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่นี้จึงจะลองรวบรวมเหตุการณ์และข้อเท็จจริงต่างๆเท่าที่ทำได้ โดยจะเลือกเฉพาะที่เป็นจริงเท่านั้นมาให้ลองพิจารณากัน

1. คุณธนาธรได้ว่าจ้าง APCO Worldwide ซึ่งเป็นบริษัทลอบบี้ยิสต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กค ถึง 31 ธค 2562 เป็นเงินประมาณ 1.8 ล้านบาท โดยบอกว่าใช้เงินส่วนตัว เพื่อช่วยให้ข้อมูลแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและให้บริการด้านกลยุทธ์การสื่อสารในประเทศสหรัฐอเมริกาให้กับผู้ว่าจ้าง เพื่อให้ผู้คนในสหรัฐฯได้ตระหนักเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในประเทศไทยดียิ่งขึ้น และให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และให้บริการด้านการสื่อสารในฐานะตัวแทนของผู้ว่าจ้าง ประสานงานกับสื่อมวลชนและองค์กรในสหรัฐฯเพื่อสร้างความตระหนักมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมในประเทศไทย

คุณธนาธร เมื่อไปสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สำนักข่าว NBC ยกย่องสหรัฐอเมริกาและแสดง ความต้องการให้สหรัฐอเมริกาช่วยสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้น และเมื่อก่อนการเลือกตั้ง 2562 คุณธนาธรเสนอความคิดเรื่องการใช้ hyperloop แทนรถไฟความเร็วสูงซึ่งขณะนั้นรัฐบาลกำลังเจรจากับจีน คุณธนาธรให้ข่าวว่าจะออกเงินเองเพื่อศึกษาความเป็นไปได้(feasibility study)ของ hyperloop แต่ไม่มีใครเคยได้เห็นรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ฉบับนั้นแต่อย่างใด เมื่อมีการจัดแถลงข่าวเรื่อง hyperloop คุณธนาธรตอบคำถามนักข่าวต่างชาติว่า รัฐบาลไทยเอนเอียงไปทางจีนมากเกินไป จึงต้องการให้มีการปรับความสัมพันธ์กับต่างประเทศใหม่ ใช้คำว่า "realign"โดยให้หันไปทางประเทศอื่นเช่น สหรัฐอมเริกาและญี่ปุ่นให้มากขึ้น

2. เมื่อคุณธนาธรต้องไปรับทราบข้อกล่าวหากรณียุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ที่สน.ปทุมวัน มีเจ้าหน้าที่สถานทูตจากประเทศตะวันตกหลายประเทศ ต่างไปร่วมสังเกตการณ์กันอย่างเนืองแน่น ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต

3. นาย Robert F. Godec ก่อนเดินทางมารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐก่อนเดินทางมารับตำแหน่งว่า จะช่วยให้ประเทศไทยปรับปรุงในเรื่องสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ และจะให้ไทยร่วมกดดันเมียนมาร์ด้วย เมื่อมีวุฒิสมาชิกตั้งกระทู้ถามเรื่องมาตรา 112 ที่ส่งผลถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และมีผู้ถูกจับกุมคุมขังมากมาย นาย Godec กล่าวว่า

"สหรัฐให้ความเคารพต่อราชวงศ์ไทย และเข้าใจในความจงรักภักดีของคนไทยต่อราชวงศ์ แต่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมีความสำคัญอย่างยิ่ง และเขาเคยเน้นย้ำต่อสาธารณะและโดยส่วนตัวว่า ที่ประชาชนจะแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องกลัวการถูกจับกุม และจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" และยังกล่าวต่อไปว่า

" ผมขอย้ำว่า คนที่ถูกจับกุมจะต้องได้รับการปฏิบัติโดยเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่ในระหว่างการดำเนินคดี"

นอกจากนี้นาย Godec ยังกล่าวว่า จะกดดันให้ไทยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและน้ำม้นจากพม่า และจะพยายามให้ไทยเพิ่มแรงกดดันต่อพม่า เพื่อหยุดการกระทำอันเหี้ยมโหดของรัฐบาลเมียนมาร์ อีกด้วย

4. คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีช่วงท้ายที่ว่า นายกรัฐมนตรีทำลายศักยภาพของประเทศไทยในต่างประเทศเพราะไม่เข้าไปกดดันรัฐบาลเมียนมาร์ และทำลายศักยภาพของประชาชน เนื่องจากใช้มาตรา 112 ดำเนินการจับกุมคุมขังผู้ที่แสดงออกทางความคิด อันเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีของประชาชนเหล่านั้น เนื้อหาในการอภิปราย 2 ข้อนี้ตรงกับที่ว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยแสดงความคิดเห็นก่อนเดินทางมารับตำแหน่งอย่างไม่ผิดเพี้ยน

5. เป็นที่น่าสังเกตว่า สื่อในประเทศไทยที่อยู่ข้างม็อบ 3 นิ้ว ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรจากต่างประเทศโดยเปิดเผย เช่น จาก NED หรือ National Endowment for Democracy, Open Society Foundation, USAID, Freedom House เป็นต้น องค์กรต่างๆเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น Open Society foundation มี George Soros เป็นผู้ก่อตั้ง NED เป็นองค์กรที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่เดิมการให้การสนับสนุนทั้งเงิน และการสนับสนุนแบบอื่นๆให้แก่กลุ่มต่างๆในต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ หรือ national interest ของสหรัฐอเมริกา จะกระทำอย่างลับๆโดย Central Intelligent Agency หรือ CIA แต่ในสมัยประธานาธิบดี Lyndon B Johnson ต้องการให้เป็นการสนับสนุนอย่างเปิดเผย จึงให้จัดตั้ง NED ขึ้นให้เป็นองค์กรเอกชนเพื่อให้การสนับสนุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและการเติบโตของสถาบันทางประชาธิปไตยทั่วโลก

6. คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับเชิญไปพูดในการประชุมที่เรียกว่า Oslo Freedom Forum ที่ไต้หวัน ซึ่งคุณธนาธรได้เลือกที่จะพูดในหัวข้อ

"Why we must defend democracy" หรือทำไมเราต้องปกป้องประชาธิปไตย

Oslo Freedom Forum คือที่ประชุมที่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2009 ที่ Oslo เพื่อเป็นที่รวมตัวกันของนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชน และนักประชาธิปไตย เพื่อต่อสู้กับเผด็จการ หลังจากนั้นก็ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ครั้งล่าสุดจัดขึ้นที่ไต้หวัน

ผู้จัดการประชุม Oslo Freedom Forum คือมูลนิธิสิทธิมนุษยชน( Human Rights Foundation) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ New York สหรัฐอเมริกา

แหล่งเงินทุนที่ให้การสนับสนุนมูลนิธิสิทธิมนุษยชน มาจากทั้งภาคเอกชน เช่น Twitter และ Amazon เป็นต้น และยังมาจากองค์กรที่เรียกว่า Freedom Fund ซึ่งหากค้นลึกลงไปก็จะพบว่าองค์กรแห่งนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลอังกฤษ นั่นเอง

Oslo Freedom Forum ไม่ใช่เพียงจัดประชุมปีละครั้ง แต่ยังจัดกิจกรรมต่างๆระหว่างปีด้วย หนึ่งในกิจกรรมก็คือ จัดอบรมวิธีการทำปฏิวัติ(ไม่ใช่รัฐประหาร) และการจัดการชุมนุม หรือจัดม็อบ การรับมือกับตำรวจควบคุมฝูงชนให้กับนักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรัฐบาลจากประเทศต่างๆ นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกงที่ชื่อนาย โจชัว หว่อง ก็เคยเข้ารับอบรมดังกล่าวนี้

การประชุมครั้งนี้ที่ไต้หวัน ยังได้มีการนำภาพของผู้นำของประเทศที่ถูกคนกลุ่มนี้ตราหน้าว่าเป็นเผด็จการมาติดผนังไว้ให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมเขียนอะไรก็ได้บนภาพของผู้นำเหล่านี้

7. เมื่อมีการชุมประท้วงรัฐบาลประเทศอิหร่าน คุณธนาธรออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนผู้ประท้วง จนสถานทูตอิหร่านต้องโพสต์ข้อความเตือนคุณธนาธร แต่คุณธนาธรไม่เคยออกมาแสดงความเห็นต่อต้านอิสราเอล กรณีปาเลสไตน์เลยสักครั้ง

8. ม็อบชานม ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของม็อบ 3 นิ้ว เชียร์ไต้หวัน ฮ่องกง และอุยกูร์ ชัดแจ้งว่าต่อต้านจีน แต่สนับสนุนสหรัฐอเมริกา

9. Dr. Agnes Callamard เลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากลหรือ Amnesty International ชาวฝรั่งเศสมาเมืองไทย ในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งทั่วไป และได้แสดงปาฐกถาเกี่ยวกับประเทศไทย เนื้อความที่สำคัญที่ Dr. Callamard กล่าวคือ

"ช่วงสำคัญของการมาเมืองไทยครั้งนี้ คือการพบกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมประท้วง พวกเขาต้องการสร้างประเทศที่แข็งแกร่งและเป็นธรรม แต่เมื่อได้ถามว่า พวกเขาได้มองอนาคตของตัวเองไว้อย่างไร เขาตอบว่า 'ไม่มีอนาคคสำหรับเราที่นี่' นั่นทำให้ดิฉันมีความกังวลอย่างมาก และคิดว่า ผู้นำประเทศควรมีความห่วงใยอย่างมาก เยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนมาก มีความรู้สึกว่า พวกเขาไม่มีอนาคตก็เพราะการถูกปราบปราม ความไม่เท่าเทียมกัน การทุจริตคอรัปชั่นและความไม่ยุติธรรม และสิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลง"

"เด็กๆและเยาวชนเป็นร้อยๆ รวมทั้งนักกิจกรรมทางการเมือง และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน กำลังเผชิญกับการถูกดำเนินคดีทางอาญาในประเทศไทย เพียงเพราะการใช้สิทธิ เสรีภาพในการแสดงออก และการประท้วงอย่างสันติ จำนวนมากถูกลลิดรอนสิทธิเสรีภาพและอาจต้องเผชิญกับการถูกบันทึกลงประวัติอาชญากร รวมถึงเด็กอายุ 15 ปี ที่ยังคงถูกคุมตัวอยู่ในสถานพินิจมาเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์แล้ว"

เนื้อความเหล่านี้ล้วนสอดคล้องและเป็นชุดความคิดเดียวกันกับม็อบ 3 นิ้ว และพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น

10. สว.สมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค ได้เชิญเอกอัครราชทูต สหรัฐอเมริการประจำประเทศไทย นาย Robert F. Godec และคณะเข้าหารือที่วุฒิสภา กรณีมีคนไทยกลุ่มหนึ่งส่งเอกสารถึงรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิกกลุ่มหนึ่งเป็นผลให้วุฒิสมาชิกกลุ่มนี้เคลื่อนไหวเพื่อยื่นเรื่องให้วุฒิสภาของสหรัฐอเมริกาออกมติที่ 114 ซึ่งมีเนื้อหาข่มขู่ กล่าวหา สถาบันพระมหากษัตริย์ว่า แทรกแซงการเลือกตั้งทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเลือกตั้ง ตลอดจนเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 หากไม่ทำตามก็จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา สว.สมชายพยายามชี้แจงให้ นาย Godec ว่าข้อมูลทั้งหมดที่คนไทยกลุ่มนั้นส่งไปไม่เป็นความจริง

กรณีนี้ ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่คนไทยกลุ่มหนึ่ง อยู่ดีๆก็ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้วุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิกกลุ่มนี้ก็รับลูกไปดำเนินการต่อ โดยไม่มีการนัดแนะประสานกันล่วงหน้ามาก่อน

11. คุณพรรณิการ์ วาณิช กล่าวถึงรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ว่า มีที่มาเป็นเผด็จการ ไม่สามารถเข้าคลับของประเทศตะวันตกได้ ได้แต่คบกับรัสเซีย จีน และซาอุดิอเรเบีย ที่มีที่มาคล้ายๆกัน รัฐบาลไทยจะต้องสร้างสมดุล โดยหันไปทางประเทศประชาธิปไตยให้มากขึ้น

12. นาย Robert F. Godec เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แสดงความสนใจ และความกระตือรือล้นต่อผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาอย่างออกนอกหน้า โดยไม่มีสถานทูตประเทศอื่นๆแม้แต่แห่งเดียวที่แสดงออกเช่นนาย Godec

13. ทันทีที่ทราบผลการเลือกตั้ง คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โพสต์ข้อความใน social media เรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารออกจากยูเครนโดยไม่มีเงื่อนไข และให้สัมภาษณ์วิจารณ์นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลประยุทธ์ว่า ไม่มีจุดยืน เป็นไผ่ลู่ลม ทำให้ไม่มีที่ยืนในเวทีโลก หากก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะทวงคืนศักดิ์ศรีการต่างประเทศไทย และยืนยันว่าตนเองกดดันให้ประเทศเมียนม่าร์กลับมาเป็นประเทศประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐอเมริกาต้องการ ทั้งที่หลักการสำคัญของอาเซียนคือ การไม่แทรกแซงซึ่งกันและกัน

14. คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จบจาก John F. Kennedy School of Government มหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งสอนทางด้าน Public Policy, Public Administration เป็นสถาบันที่ปลูกฝังความเชื่ออย่างที่สหรัฐอเมริกาต้องการ ผู้ที่จบจากที่นี่ส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก และในระบอบทุนนิยม เสรีนิยม

โรงเรียนนี้มีความเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับ World Economic Forum ซึ่งเป็น elite group ก่อตั้งโดยนาย Klaus Schwab มีสมาชิกประกอบด้วย นักการเมือง กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่จากประเทศต่างๆ ว่ากันว่าองค์กรนี้มีความพยายามที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของโลก คำว่า "New World Order" ก็เกิดขึ้นจากกล่ม elite กลุ่มนี้ และหลังจากสถานการณ์โควิดผ่อนคลาย ยังมีคำว่า " The Great Reset" ออกมาอีกซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะ reset อย่างไร

นาย Schwab ยังได้ก่อตั้งหลักสูตรอบรมที่เรียกว่า Young Global Leaders ผู้ที่ผ่านการอบรมจากหลักสูตรนี้จำนวนมาก ได้ไปมีบทบาทเป็นผู้นำรัฐบาลในประเทศต่างๆทั่วโลก นาย Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีของ Canada และอีกหลายคนในคณะรัฐมนตรี ก็ผ่านการอบรมจากหลักสูตรนี้ ผู้ที่ผ่านการอบรมจากหลักสูตรนี้ และจาก John F. Kennedy School of Government ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะดำเนินนโยบายเอนเอียงไปทางสหรัฐอเมริกาอย่างมาก

จะเห็นว่า หลังจากการเลือกตั้งไม่กี่วัน พรรคก้าวไกลยังไม่ทันได้เป็นรัฐบาล World Economic Forum ก็ส่งคณะผู้แทนเข้าพบคุณพิธา และเป็นที่น่าสังเกตว่า สื่อตะวันตก เช่น BBC Bloomberg Insider ต่างเผยแพร่ข่าวเชียร์คุณพิธาอย่างออกหน้าออกตา เห็นแล้วทำให้รู้สึกว่า ประเทศตะวันตกมึความพอใจที่จะได้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย มากกว่าคุณธนาธรเสียอีก ทำให้ขณะนี้คุณพิธามีความเจิดจรัสบดบังรัศมีของคุณธนาธร และอ.ปิยบุตรไปเกือบหมด

ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ และข้อเท็จจริงต่างที่พอรวบรวมได้ ที่ทำให้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากว่า ประเทศตะวันตก ไม่เพียงแต่สหรัฐอเมริกา กำลังแทรกแซงการเมืองไทย

เรื่องนี้หากไปถาม ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่คร่ำหวอด ติดตาม และทำข่าวต่างประเทศมาอย่าวยาวนาน เขาจะตอบว่า ไม่น่าแปลกใจ และมีความเป็นไปได้สูง เพราะเขาทราบดีว่า สหรัฐอเมริกาแทรกแซงประเทศต่างๆในโลกมาแล้วมากมาย เช่น นิคารากัว อิรัก อัฟกานิสถาน ลิเบีย ซีเรีย และอีกหลายประเทศในอาฟริกา

ข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือ สหรัฐอเมริกาทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับประเทศจีนอย่างเปิดเผย และในทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศไทยตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างยิ่ง ทำให้สหรัฐอยากได้ไทยเป็นพวก ความจริงข้อนี้สามารถไปหาอ่านได้ในเอกสาร Indo-pacific Strategy ได้

การสร้างสถานกงสุลแห่งใหม่ที่ใช้เงินเกือบหมื่นล้านบาท มีชั้นที่อยู่ใต้ดินอีก 10 ชั้นต้องมีวัตถุประสงค์บางอย่างที่เกี่ยวกับเมียนม่าร์และจีนที่เปิดเผยไม่ได้อย่างแน่นอน

ที่เมียนม่าร์ มีข่าวและรูปถ่ายเล็ดรอดออกมาว่า สหรัฐส่งอาวุธและคนไปฝึกอาวุธให้ชนกลุ่มน้อยและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนม่าร์อย่างลับๆ เพื่อรบกับฝ่ายรัฐบาล เมื่อมีข่าวนี้ออกมา สหรัฐชี้แจงว่าผู้ที่ไปฝึกอาวุธเป็นอดีตนาวิกโยธิน จึงไม่เกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐแต่อย่างใด แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เราก็คงคาดเดาได้ ดังนั้นจึงเชื่อได้อย่างยิ่ง ที่สหรัฐจะมีความต้องการที่จะเข้ามาตั้งฐานทัพในไทยเช่นเดียวกับที่ประเทศ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์

คำถามคือ หากคุณพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรีในอีก 2 เดือนข้างหน้า คุณพิธาจะทำตัวเป็นลูกรักของสหรัฐอเมริกาหรือไม่ และจะยินยอมให้สหรัฐอเมริกามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยหรือไม่

เราต้องติดตามดูต่อไป

เกมยากของ ‘พิธา’ – ‘ก้าวไกล’  เมื่อเจอกับด่านความมั่นคงสูง เขาจะค้ำถ่อพ้นไปหรือเปล่า

ก้าวไกล-พิธา ต้องฝ่า 3 ด่าน ที่เป็นปราการใหญ่ในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
-จุดยืนในการแก้ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ว่าด้วยการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ เปิดทางให้วิจารณ์สถาบันได้มากขึ้น ลดโทษจำคุก-ปรับ ให้สถาบันฟ้องเอง ก้าวไกลมีจุดยืนชัดว่า จะแก้ไข ม.112 แต่พรรคร่วมส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย จึงไม่มีข้อตกใน mou ก้าวไกลก็ยืนยันจะแก้ผ่านกลไกของสภา
-การขอแรงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา ที่พรรคก้าวไกลดิ้นรนจะปิดสวิทต์เขามาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ต้องขอรับการสนับสนุนผ่านการเจรจา-พูดคุย-แลกเปลี่ยน ไม่ใช่ใช้มวลชนไปกดดันเหมือนที่ผ่านมา เวลานี้สมาชิกวุฒิสภาบางคนท่าทีชัดว่า จะไม่ยกมือสนับสนุน บางคนก็จะยกมือให้ บางคนจะยกมือสนับสนุนอย่างมีเงื่อนไข

-การถือหุ้นในบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42000 หุ้น ไอทีวียังประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ในการจดตั้งอยู่ ต้องแยกให้ออกนะครับระหว่างบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) กับสถานีข่าวไอทีวี สถานีข่าวไอทีวี หยุดเผยแพร่ภาพไปแล้ว แต่บริษัทไอทีวี ยังประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์อยู่ มีกำไรด้วย พิธาอ้างว่า เป็นหุ้นในมรดก เขาถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก แต่ผู้รู้ก็โต้แย้งว่า ถ้าเป็นหุ้นในกองมรดก ในใบหุ้นต้องสลักหลังชื่อไว้ด้วย “มรดก” แต่ใบหุ้นไอทีวีของพิธา ไม่มีการใส่วงเล็บไว้หลังชื่อ

นี้เป็นปราการ 3 ด่านที่พิธาจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้ ส่วนตำแหน่งประธานสภาจะเป็นของใครพิธาส่งสัญญาณมาแล้วว่า เป็นเรื่องเล็ก ให้ไปคุยกันในวงคณะทำงาน จะเป็นของก้าวไกล หรือเพื่อไทยให้จบในวงคณะทำงาน

ด่านต่อไปคือ การจัดสรรตำแหน่งทางการเมืองในฝ่ายบริหาร คือตำแหน่งรัฐมนตรี ทีมีการคำนวณออกมาแล้วว่า 8.6 ส.ส.ต่อรัฐมนตรี 1 คน แล้วอย่างนี้แสดงว่าพรรคเล็ก 1-2 เก้าอี้จะไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรี ใช่หรือไม่ หรือมีตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆให้ เป็นประจำสำนักนายกฯ หรือไปกินตำแหน่งในสัดส่วนของสภา เป็นตำแหน่งในกรรมาธิการคณะต่างๆ 

ด่านต่อไป คือการยกร่างนโยบายรัฐบาลที่จะต้องแถลงต่อสภา ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาล โดยคณะทำงานจะต้องไปนั่งถกแถลงกันให้ตกผลึก นโยบายของแต่ละพรรคที่จะใส่เข้าไปมีอะไรบ้าง พรรคร่วมฯว่าอย่างไร แล้วเขียนมาเป็นนโยบายรัฐบาล

จะเห็นว่า”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังมีอีกหลายด่าน หลายปราการในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศ เพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก้าวไกลไม่ได้ชนะขาดพรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลได้ ต้องอาศัยแรงจากพรรคอื่นๆด้วย และแรงจากพรรคอื่นกลับเป็นพรรคเพื่อไทยที่มีเสียงรองเป็นอันดับสอง จึงทำให้พรรคเพื่อไทยมีอำนาจต่อรองสูงมาก ยิ่งสูงมากขึ้น เมื่อพรรคภูมิใจไทย ประกาศชัดไม่ร่วมกับพรรคก้าวไกล

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ชัดเจนตั้งแต่ต้น เพราะพรรคก้าวไกลประกาศเอง “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” เท่ากับปปฏิเสธสองพรรคนี้ตั้งแต่ก่อนลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว

พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องพูดถึง 25 เสียง เป็นแค่ตัวแปรเล็กๆที่แทบจะไม่มีความหมายอะไรมากนัก เว้นแต่นักแสวงหาบางคน อาจจะดิ้นรนนำพาไปสู่การแสวงหาอำนาจ แต่ก็ยากจำสำเร็จ เว้นแต่ดีลระหว่างพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทยเดินต่อไปไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ค่อยมาพูดกัน เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีเวลา 60 วันในการรับรองผลการเลือกตั้ง ถ้ารับรองได้ครบ 95% ก็สามารถเปิดประชุมสภา เลือกประธานสภาได้ ส่วนใน 60 วันจะพิจารณา และรับรองผลการเลือกตั้งได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับข้อร้องเรียนในการทำผิดกฎหมายของผู้สมัครที่มีคะแนนนำมาอันดับ 1 รวมถึงความยุ่งยากในการสืบสวนสอบสวน พยานหลักฐานในการร้องเรียน จะมี “ใบแดง-ใบเหลือง-ใบส้ม” ก็มากน้อย
ใบส้ม-ใบเหลือง คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ โดยใบส้มจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ โดยใช้ผู้สมัครคนเดิม ไม่ต้องเปิดสมัครใหม่ แต่คนที่โดนใบส้มจะหมดสิทธิ์ลงสมัครแล้ว ส่วนใบเหลือง ก็ไม่ต้องเปิดรับสมัครใหม่เช่นกัน แต่ผู้สมัครที่โดนใบเหลือง ยังมีสิทธ์เป็นผู้สมัครอยู่

ส่วนใบแดง เป็นการตัดสิทธิ์ของผู้สมัครที่ทำผิดกฎหมาย ผ่านการพิจารณาตัดสินของศาล ถ้าเขตเลือกตั้งใดโดยใบแดง กกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยเปิดรับสมัครใหม่ แต่คนเก่าที่โดยใบแดงหมดสิทธิ์ลงสมัครแล้ว

เวลานี้การพิจารณาข้อร้องเรียนต่างๆอยู่ในขั้นการสอบสวนของชุดสอบสวนของ กกต.จังหวัด จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับข้อร้องเรียนมีมากน้อยแค่ไหน พยานหลักฐานเป็นอย่างไร ข้อร้องเรียนยุ่งยากซับซ้อนหรือไม่ และ 60 วันจะทันต่อการรับรองให้ครบ 95% หรือไม่
ถึงเวลานี้ยังไม่มีอะไรแพลมออกมาจาก กกต.ถึงข้อร้องเรียน ผลการพิจารณา แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่ามีข้อร้องเรียนมาก เช่น จัดเลี้ยง สัญญาว่าจะให้ ซื้อเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง เหล่านี้เป็นต้น

สำหรับคอการเมืองติดตามกระชั้นชิดสำหรับการเมืองในช่วงนี้ กระพริบตาเกมเปลี่ยน ตามไม่ทัน

นายหัวไทร

มิ.ย.นี้ ศาลปกครองสูงสุด นัดอ่านคำพิพากษา ซึ่งอาจจะกระทบต่อการเดินหน้า จัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล 

เดือนมิถุนายนนี้ อย่ากะพริบตากับการกลับมาของสถานีข่าวไอทีวี ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาที่เป็นข้อพิพาทระหว่างสำนักงานปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)กับบริษัทไอทีวี ซึ่งศาลปกครองกลางพิพากษาให้บริษัทไอทีวี ชนะคดี

ถ้าศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ไอทีวีอาจจะกลับมาเป็นสถานีโทรทัศน์ใหม่ก็เป็นได้ ซึ่งปัจจุบันไอทีวียังคงสถานะความเป็นบริษัทผลิตสื่ออยู่ ตามวัตถุประสงค์เพื่อสู้คดีกับ สปน. ส่วนจะผลิตสื่ออย่างอื่นด้วยหรือไม่ เช่นสื่อออนไลน์ เป็นต้น

ไม่ใช่แค่ไอทีวีอาจจะกลับมา แต่เป็นเครื่องยืนยันว่า ไอทีวียังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ด้วย และอาจจะกระทบต่อการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ที่จะดัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่พิธาติดปัญหาถือหุ้นไอทีวีอยู่ในนามชื่อของตัวเอง แม้จะอ้างว่าเป็นมรดกก็ตาม แต่โดยหลักแล้ว หุ้นมรดกปกติจะต้องมีวงเล็บต่อท้ายชื่อผู้ถือหุ้นว่า “มรดก”

ถ้าพิธาถูกตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญว่า มีความผิดฐานถือหุ้นสื่อ ก็จะมีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ยังมีปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย เพราะพิธาถือหุ้นนี้มาตั้งแต่ปี 2549 หลังจากพ่อเขาเสีย จะมีผลในทางลบต่อการลงสมัครรับเลือกตั้งปี 2562 ด้วยหรือไม่

และมีผลต่อการรับรองผู้สมัครทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อด้วยหรือไม่ แปลความได้ว่า การรับรองผู้สมัครไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยหรือไม่ ที่สำคัญคือระเบียบพรรคก้าวไกลก็ลอกมาจากรัฐธรรมนูญ ห้ามสมาชิกพรรคเป็นเจ้าของสื่อ หรือถือหุ้นสื่อด้วย พิธาก็ไม่มีสิทธิ์เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลตั้งแต่ต้นใช่หรือไม่

แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาพรรคก้าวไกล มี ส.ส.ทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อรวมกัน 151 ที่นั่ง 151 ที่นั่งนี้จะโมฆะหรือเปล่า อันจะนำไปสู่การทำให้การเลือกตั้งทั้งหมดเป็นโมฆะไปด้วย ต้องจัดเลือกตั้งใหม่หรือเปล่า

ถ้าพิจารณาตามข้อมูลที่รับรู้รับทราบกันก่อนหน้าบวกกับประเด็นใหม่ไอทีวี จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แม้จะมีคะแนนมหาชนจำนวนมาก แต่กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย…จริงไหมครับ

‘ดร.เจษฎา’ เปรียบ ‘พิธา ก้าวไกล’ เหมือน ‘ประธานาธิบดียูเครน’ ที่ใช้ความสามารถแก้ไขปัญหาการเมือง จนครองใจ ปชช.ได้สำเร็จ

เมื่อไม่นานนี้ รศ.ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ชื่อ ‘Jessada Denduangboripant’ โดยระบุว่า…

ถ้าบอกว่า ‘คุณพิธา ก้าวไกล’ เท่ากับ ‘ประธานาธิบดีเซเลน สกี ยูเครน’ … ผมถือว่าเป็นการยกย่องให้เกียรติและให้พรกับคุณพิธานะครับ

เพราะสำหรับผม เซเลน สกี เป็นผู้นำที่กล้าหาญ และประสบความสำเร็จในการป้องกันรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศยูเครน และน่าจะเป็นอีกหนึ่งตำนานผู้นำที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องต่อไป ในหน้าประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ อีก 10-20 ปีข้างหน้า

เหล่าสลิ่มสยามมินสกี ชอบเอาเรื่องที่ ปธน. เซเลน สกี เคยเป็นนักแสดงมาก่อน เอามาล้อเลียนว่าเป็น ‘ตัวตลก ที่มาเป็นผู้นำทัพ’

ซึ่งนั่นก็คือ การหาเรื่องเหยียดหยาม ด้อยค่าคนอื่น โดยไม่ดูที่ข้อมูลประกอบว่าจริงๆ แล้ว อดีต ‘ตัวตลก’ คนนี้ มีพื้นฐานทางการศึกษาปริญญาตรีทางกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยเศรษฐกิจแห่งชาติ กรุงเคียฟ อันมีชื่อเสียง และด้วยความที่เค้ามีพรสวรรค์ในด้านงานแสดง จึงได้หันเห มาทำอาชีพด้านบันเทิงในบทบาทของ ‘ดาราตลก’ จนมีชื่อเสียงโด่งดัง

พร้อมไปกับการทำธุรกิจบริษัทโปรดักชัน ผู้ผลิตภาพยนตร์ การ์ตูน และรายการโทรทัศน์ จนประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งด้านรายได้และได้รางวัลต่างๆ มากกว่า 30 รางวัล ทั้งจากในประเทศและจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ และเวทีสื่อต่างๆ

(เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับ คุณปัญญา นิรันดร์กุล ที่จบคณะสถาปัตยกรรม จุฬาฯ แต่ผันตัวมาโด่งดังจากการเป็นดารานักแสดงตลก แล้วทำธุรกิจด้านบันเทิง จนประสบความสำเร็จกับเวิร์กพอยท์ที่ยิ่งใหญ่จนถึงวันนี้)

และเมื่อประสบความสำเร็จทั้งด้านการแสดงและด้านธุรกิจแล้ว เซเลน สกี ก็ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยใช้รูปแบบการออกทัวร์แสดงและใช้โซเชียลมีเดียเป็นหลัก เน้นการแก้ไขปัญหาทุจริต และยุติความขัดแย้งของกบฏในแคว้นทางตะวันออกของประเทศ จนติดอันดับต้น ๆ ของโพลเลือกตั้ง และสุดท้ายก็ชนะการเลือกตั้งไปอย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงถึง 73.2%!!

เมื่อเลือกตั้งเสร็จ มีอดีตผู้นำทางการเมืองของยูเครน ได้ปรามาสเซเลน สกีไว้ว่า เขาจะทำให้ยูเครนกลับไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสเซียอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง และเป็นคนที่พื้นเพเดิม เกิดมาพูดภาษารัสเซีย เติบโตในภาคตะวันออกของยูเครนที่นิยมรัสเซียด้วยซ้ำ

แต่กลายเป็นว่า เซเลน สกีได้สร้างรัฐบาลที่มีความเป็นเอกภาพ พยายามวางตัวอยู่ตรงกลางระหว่างเกมของมหาอำนาจ และไม่ยอมตามความต้องการเป๊ะๆ ของรัสเซียและสหรัฐอเมริกา 

โดยเขาพยายามที่จะอิงไปทางสหภาพยุโรป ด้วยการสนับสนุนให้ยูเครนเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) และ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือเนโต้ (NATO) และ ผ่านแนวทางการขอประชามติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวยูเครน ซึ่งจากโพล ประชาชนยูเครนกว่า 88% สนับสนุนการเข้าร่วมกับ EU และ 83% สนับสนุนการเข้าร่วม NATO (ซึ่งผลโพลนี้เริ่มพุ่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 )

ต้องอย่าลืมว่า จริง ๆ แล้ว รัสเซียบุกเข้ามารุกรานประเทศยูเครน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 จนยึดคาบสมุทรไครเมียของยูเครนไปแล้ว นั่นคือ รัสเซียก่อสงครามมานานหลายปีแล้ว ก่อนที่เซเลน สกีจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีในปี 2019 ไม่ใช่ว่าเซเลน สกี คือสาเหตุที่ยั่วยุให้รัสเซียเริ่มก่อสงคราม
การที่กองทัพรัสเซีย ภายใต้การนำของจอมเผด็จการปูติน ยกกำลังมากมายเข้ามาบุกประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 นั้น ก็เพียงเพราะปูตินต้องการจะยึดครองยูเครน ต้องการจะขยายอาณาจักรรัสเซียออกไปตามความฝันของตัวเอง ที่เหลือก็แค่เอาสารพัดเรื่องมาอ้างๆๆ ไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่ยอมรับว่ายูเครนเป็นประเทศที่มีเอกราช มีอธิปไตยเป็นของตนเอง แต่มองว่าเป็นอดีตอาณานิคมของจักรวรรดิรัสเซีย ที่ต้องไปยึดกลับมารวมกัน

การที่ปูตินเอาเรื่องที่ยูเครนอยากจะเข้าร่วมกับ EU และ NATO มาอ้างให้เป็นเหตุต้องบุกเข้าไปยึดประเทศอื่นนั้น ก็เป็นเรื่องตอแหลมากๆ เพราะใครๆ ก็รู้ว่ามันเป็นกระบวนการที่ปรกติต้องใช้เวลายาวนานหลายปี (อาจเป็นสิบปี) ถึงจะทำได้สำเร็จ หรือถ้าแค่ประเทศสมาชิกคัดค้านซักประเทศเดียว ยูเครนก็เข้าร่วมกับเนโต้ไม่ได้แล้ว… ไม่ใช่ว่าต้องรีบยกทัพไปรุกรานเขา

การรุกรานบูรณภาพของดินแดนยูเครน ของรัสเซียนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า เป็นการละเมิดกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ จำนวนหลายฉบับ ไม่ว่าจะกฎบัตรสหประชาชาติ (UN) สัญญา Budapest Memorandum (ปี 1994 ที่ยูเครนยอมคืนระเบิดนิวเคลียร์ทั้งหมดให้รัสเซีย เพื่อแลกกับการไม่รุกราน), สัญญา Treaty of Friendship (ปี 1997), รวมไปถึงสัญญา Minsk II (ปี 2015) ที่มีข้อผูกมัดให้รัสเซียถอนทหารตัวเองออกจากยูเครน คืนการควบคุมชายแดนให้รัฐบาลในเคียฟ และให้ยูเครนจัดการเลือกตั้งทำประชาติในแคว้นดอนบาส // ในขณะที่ ยูเครนเองไม่เคยมีการทำสัญญาลงนามอะไร เรื่องที่ห้ามเข้าร่วม NATO เหมือนอย่างที่สลิ่มสยามมินสกีบางคน เอามาอ้างจากไหนก็ไม่รู้

และเมื่อกองทัพรัสเซียของปูติน เข้ารุกรานยูเครน พยายามบุกเข้ายึดกรุงเคียฟ ในปี 2022 ประธานาธิบดีเซเลน สกี ก็ได้กลายเป็นผู้นำที่ประชาชนชาวยูเครนศรัทธายิ่งขึ้นไปอีก จากการที่ไม่หลบหนีออกนอกประเทศ ตามที่ปูตินและแม้แต่ผู้นำชาติตะวันตกอื่นๆ คาดกัน (และจะทำให้รัสเซียยึดยูเครนได้ใน 3 วันตามที่ปูตินวางแผนไว้) แต่กลับไม่หนีไปไหน พร้อมทั้งปล่อยคลิปวิดีโอในคืนวันถัดมา กล่าวว่า

“อย่าเชื่อข่าวปลอม ผมยังอยู่ที่นี่ เราจะไม่วางอาวุธ เราจะปกป้องประเทศของเรา เพราะอาวุธของเราคือความจริง และที่นี่คือ ผืนแผ่นดินของเรา ประเทศของเรา ลูกหลานของเรา พวกเราจะปกป้องสิ่งเหล่านี้ และนี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกพวกคุณ ยูเครนจงเจริญ​”

เซเลน สกี ได้สร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารและประชาชนชาวยูเครน ที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อเอกราช แม้ว่ากองกำลังรัสเซียจะกำลังรุกคืบหน้าเข้าสู่กรุงเคียฟ ทั้งเซเลน สกีและคนยูเครนเอง ไม่คิดที่จะยอมแพ้ ยอมเจรจาแลกดินแดนยูเครนให้กับความสงบจอมปลอม ที่ปูตินจะมอบให้ เพราะรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้รัสเซียเข้ามาปกครอง ก็จะถูกปล้นสะดม เข่นฆ่า สูญเสียอิสรภาพและประชาธิปไตยไปเหมือนกับในหลายๆ เมือง ตลอดเส้นทางที่กองทัพรัสเซียบุกยึดได้

แต่ในทางกลับกัน ปธน. เซเลน สกี ได้ใช้ความสามารถในการสื่อสารที่มักจะกระชับ ทรงพลัง และกินใจผู้ฟัง ให้เป็นอาวุธสำคัญที่พลิกเกม จากประเทศที่อ่อนด้อยทางการทหารให้สามารถยันกับประเทศมหาอำนาจทางการทหารอันดับ 2 ของโลก ได้เป็นเวลาแรมปี ด้วยการสื่อสารไปยังชาติอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตร โดยเฉพาะกับประเทศในยุโรป ดังตัวอย่างเช่น สุนทรพจน์ที่ว่า

“เรากำลังต่อสู้เพื่อเป็นสมาชิกที่เท่าเทียมของยุโรป จงพิสูจน์ว่าคุณอยู่กับเรา จงพิสูจน์ว่าคุณจะไม่ปล่อยเราไป จงพิสูจน์ว่าคุณเป็นคนยุโรป จริง ๆ แล้วชีวิตจะชนะความตาย และแสงสว่างจะชนะความมืด”

จนชาติพันธมิตรต่างๆ ทั้งในสหภาพยุโรปและในเนโต้ รับปากจะจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครน นานตราบเท่าที่ยูเครนต้องการใช้ เพื่อต่อสู้กับรัสเซีย

ดังนั้น แม้ว่าใครจะมองว่า ปธน. เซเลน สกี คือ อดีตดาราตลก เค้าก็เป็นอดีตดาราตลกที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เป็นผู้นำอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถนำพาประเทศต่อสู้กับวิกฤติ จากเงื้อมมือของอริราชศัตรูที่เหนือกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ เป็นกำลังใจสำคัญ ของชาวยูเครนในช่วงเวลาอันมืดมิด ให้พอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ย้อนกลับมาเรื่องคุณพิธา ผมก็ไม่ได้เห็นว่าทางพรรคก้าวไกลเค้ามีนโยบายอะไรที่จะทำให้ไทยเราต้องโดน ‘ประเทศมหาอำนาจ’ เข้ามาบุกยึดครองแบบที่รัสเซียบุกยูเครน… ที่เห็นยกๆ กันมาด่า (เช่น เรื่องจะตั้งฐานทัพอเมริกาในไทย เรื่อง นาโต้ 2 เรื่องสงครามตัวแทน ฯลฯ) ก็มโน อุปาทาน ปั่นข่าวกันไปเองทั้งนั้น

ซ้ำร้าย การที่เราอิงแอบแต่จีน แบบที่รัฐบาลประยุทธ และ คสช. ทำมาในอดีต และจะทำต่อไปในอนาคต ต่างหาก ที่อาจจะทำให้เสียสมดุลย์อำนาจทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคนี้ จนเกิดปัญหาขึ้นตามมาได้

สรุปว่า ถ้ามีความพยายามจะผูกคุณพิธา เข้ากับ ปธน.เซเลน สกี โดยอ้างว่าจะเป็นการทำให้ไทยเราเกิดสงครามขึ้นในอนาคตเหมือนกับยูเครน ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องมั่วมาก (และดูน่ารังเกียจด้วยกับการเล่นอะไรแบบนี้)

ขณะที่จริงๆ แล้ว ถ้าคุณพิธา สามารถจะกลายเป็นผู้นำที่ครองใจและเป็นที่พึ่งของคนส่วนใหญ่ในประเทศ พร้อมทั้งมีความสามารถในการหาพันธมิตรมาช่วยเหลือได้ ในยามที่ประเทศเกิดวิกฤติขึ้น แบบที่เซเลน สกีทำ ก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากครับ

ปล.โพสต์นี้น่าจะเรียกทัวร์จากเหล่าสลิ่มสยามมินสกีได้เยอะเลยนะ แต่ผมไม่แคร์ ฮะๆ

ร้านนายอินทร์’ แจงภาพตัดต่อหนังสือที่ ‘พิธา’ ใช้ ‘รองขาโต๊ะ’ ยัน!! เป็นแคมเปญอ่านตามคนดัง วอนหยุดกระจายความเสียหาย

(6 มิ.ย. 66) จากกรณีที่โลกออนไลน์เผยภาพแคมเปญ ‘อ่านตามคนดัง’ ของร้านหนังสือ ร้านนายอินทร์ ซึ่งปรากฏการ ‘อ่านตามพิธา’ หรือ ‘ทิม พิธา อ่าน’ อันหมายถึงการอ่านหนังสือเล่มเดียวกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทว่ากลับมี การตัดต่อ หนังสือและข้อความที่ไม่ถูกต้องเข้าไป โดยระบุ ‘ทิม พิธา รองขาโต๊ะ’ จนร้านนายอินทร์ได้รับความเสียหาย

ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 66 จาก ร้านนายอินทร์ออกมาชี้แจงว่า จากแคมเปญ ‘อ่านตามคนดัง’ ซึ่งในเดือนที่ผ่านมาหน้าร้านนายอินทร์ใช้คำว่า ‘พิธาอ่าน’ หรือ ‘อ่านตามพิธา’ บนหนังสือที่ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เคยอ่านและแนะนำในสื่อออนไลน์ต่างๆ

ร้านนายอินทร์มีวัตถุประสงค์ที่จะเป็นเพียงแค่สื่อที่เจตนาดีต่อนักอ่าน ต้องการให้นักอ่านได้มีแรงกระตุ้นและแรงบันดาลใจในการอ่านตามบุคคลที่มีอิทธิพลทางสังคม ซึ่งร้านนายอินทร์ได้ดำเนินแคมเปญในลักษณะนี้เสมอมา

หากในกรณีที่บุคคลอื่นบุคคลใดนำภาพหน้าร้านไปดัดแปลง หรือตัดต่ออย่างไม่สร้างสรรค์ และไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น ถือเป็นการทำให้ผู้อื่นและแบรนด์ “นายอินทร์” ได้รับความเสียหาย

จึงวอนขอให้ผู้ที่กระทำการดังกล่าวลบโพสต์ และหยุดแชร์ภาพ หรือสื่อใดๆ ที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือสื่อใดๆ ที่อาจทำให้แบรนด์เกิดความเสียหาย

ขอบพระคุณที่ให้ความสนใจ ‘แคมเปญอ่านตามคนดัง’ และร้านนายอินทร์จะยึดมั่นในการส่งความสุข และแรงบันดาลใจให้นักอ่านตลอดไป

นอกจากนี้ ยังระบุเพิ่มเติมว่า หากพบเห็นข้อความใดที่มีลักษณะดัดแปลง ทำให้ผู้อื่นเสียหาย หรือเป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่นจากการใช้ร้านนายอินทร์เป็นสื่อ กรุณาส่งหลักฐาน พร้อมชื่อผู้โพสต์ ผู้แชร์มาทาง facebook inbox #จับคนตัดต่อ เพื่อเป็นเบาะแสในการดำเนินการต่อไป

และว่า “ขออนุญาต hide ข้อความคอมเมนต์ใต้โพสต์ที่มีลักษณะพาดพิงผู้อื่น หรืออาจทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติม”

‘พิธา’ กับวิกฤตหุ้นสื่อไอทีวีที่ต้องเผชิญ เมื่อสังคมต่างตั้งคำถาม แม้จะเจ้าตัวยืนยันว่า พร้อมชี้แจง กกต. และขอเดินหน้าจัดตั้ง รบ.ต่อ

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมายอมรับว่า มีการโอนหุ้นสื่อไอทีวีของตนเองแล้ว และมีความพร้อมที่จะชี้แจงต่อ กกต.

ประเด็นถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา คงต้องรอ กกต.ว่าจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร จะยกคำร้อง หรือจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน

‘หุ้นไอทีวี’ เป็นประเด็นที่กระทบต่อการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ยิ่งถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไอทีวียังอยู่ และยังผลิตสื่ออยู่ จะยิ่งเป็นอุปสรรคต่อนายพิธาในการก้าวเดินต่อไป

จากประเด็นการถือหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา ทำให้เกิดข้อสงสัยและเกิดการตั้งคำถามตามมาอีกหลายประเด็น เช่น

- ข้อต้องห้ามการลงสมัคร ส.ส.ห้ามเป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นสื่อ
- ข้อบังคับพรรคก้าวไกล ห้ามสมาชิกพรรคเป็นเจ้าของสื่อ และถือหุ้นสื่อ
- นายพิธาถือหุ้นไอทีวีมาตั้งแต่ปี 2549 หลังพ่อเสีย ทำให้หุ้นก้อนนี้ตกทอดมาถึงทายาท
- ปี 2562 นายพิธาลงสมัคร ส.ส.มาแล้วครั้งหนึ่ง และได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ การถือหุ้นไอทีวีของนายพิธาจะกระทบถึงการเป็น ส.ส.ปี 2562 หรือไม่?
- นายพิธาไม่มีคุณสมบัติเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล จะเป็นหัวหน้าพรรคได้หรือ?
- นายพิธาเซ็นรับรองผู้สมัคร ส.ส.ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ จะถือเป็นโมฆะหรือไม่?
- ผู้สมัครก้าวไกลที่มีคะแนนนำ จะได้เป็น ส.ส.หรือไม่?
- คะแนนพรรคจะสามารถเอามาคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อก้าวไกลได้หรือไม่?

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นประเด็นคำถามทั้งสิ้น ยังไม่นับรวมเรื่องรัฐธรรมนูญอีกหลายมาตรา ตัวอย่างเช่น

1.) การเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 นั้น ดำเนินการก่อนปิดรับสมัคร ส.ส. ซึ่งนายพิธาถือหุ้นไอทีวีอยู่
2.) มาตรา 89 (2) ผู้ได้รับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 160
3.) มาตรา 160 (6) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98
4.) มาตรา 98 (3) ห้ามผู้สมัคร ส.ส.เป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ

ดังนั้น ถ้าตีความตามนี้ก็น่าจะถือว่า นายพิธา ‘ขาดคุณสมบัติ’ ตั้งแต่วันปิดรับสมัครตามมาตรา 88 ในวันที่ 4-7 เมษายน 2566 แล้วครับ (ตามความเห็นของ สว.สมชาย แสวงการ)

แต่หนทางที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุด คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหน้าที่สรุปข้อเท็จจริงส่งศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยให้เป็นที่ยุติครับ คำวินิจศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุด คำวิฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร

‘หุ้นไอทีวี’ วิบากกรรมของ ‘พิธา’ จากคดีบ่ายหน้าสู่ศาล รธน. เปิดไส้ใน ม.151 พ.ร.ป. เลือกตั้ง…ดับฝันแคนดิเดตนายกฯ?

แล้วในที่สุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้กำลังเผชิญหน้ากับปมคุณสมบัติ ‘ถือหุ้นสื่อ’ ซึ่งเป็นปมที่เดิมพันตำแหน่งว่าที่นายกรัฐมนตรีและอนาคตทางการเมือง… ก็เปิดไพ่ เปิดปากออกมาแล้ว ว่าในฐานะผู้จัดการมรดก ได้โอนหุ้นของไอทีวีให้กับทาทายาทเรียบร้อยแล้ว เมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา… นายพิธาได้ตั้งประเด็นในการชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า…

“ผมพร้อมสู้กับความพยายามคืนชีพไอทีวี เพื่อสกัดกั้นพวกเรา”

ซึ่งสรุปความได้ว่า สถานีโทรทัศน์ไอทีวีที่ได้หมดสภาพความเป็นสื่อไปตั้งแต่ปี 2551 แล้วนั้น กำลังถูกปลุกให้คืนชีพเป็นสื่ออีกครั้งด้วยกลเกมบาง…

การตั้งประเด็นดังกล่าว ทำให้เกิดการตั้งคำถาม ตีความกันมันปากของด้อมส้มว่า “ใช่เครือข่ายของเจ้าสัวพลังงานใหญ่ ที่เป็นเจ้าของไอทีวีขณะนี้หรือไม่ที่วางเกม?” ขณะที่อีกฝ่ายก็มองว่า คุณพิธาน่าจะมโนเกินจริง เขาแค่ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิ์ในใบอนุญาตประกอบธุรกิจสื่อแค่นั้นเอง ไม่ว่าจะอย่างไร… พลันที่ข่าวการชี้แจงของคุณพิธากระจายไปทำให้มือกฎหมายหลายคนบอกว่า โอกาสที่คุณพิธารอดมีสูงมาก… นายไพศาล พืชมงคล เจ้าสำนักกฎหมายธรรมนิติ อดีตกุนซือลุงป้อม ถึงขั้นชมเปาะว่ามือกฎหมายของคุณพิธาแน่มาก เพราะการโอนหุ้นสละหุ้นดังกล่าวเท่ากับว่า คุณพิธาไม่เคยถือหุ้นดังกล่าวมาแต่ต้น…

แต่อีกด้านหนึ่ง นักสังเกตการณ์ทางการเมืองหลายคนฟันธงว่า การโอนหุ้นดังกล่าว น่าจะเป็นการร้อนตัวของคุณพิธา และเท่ากับยอมรับว่าถือหุ้นสื่อมาแต่ต้น ความผิดสำเร็จแล้ว… คุณพิธารอดยาก

ความเชื่อของฝ่ายที่ว่า คุณพิธารอดยาก ดูจะมีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อในวันเดียวกันมีรายงานข่าวจาก กกต.ระบุว่า คณะทำงานได้ส่งเรื่องการร้องเรียน กรณีคุณพิธามีความผิดตามมาตรา 151 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ.2561 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า พ.ร.ป.เลือกตั้ง ถึงมือ กกต.ชุดใหญ่แล้ว

มาดู พ.ร.ป.เนื้อหาเลือกตั้ง 2561 กันแบบเต็มๆ…

วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกําหนดยี่สิบปี”

วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจําตําแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่ง ดังกล่าวให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย”

ครับ… นั่นคือเนื้อหามาตรา 151 ที่น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย ไม่เชื่อก็ลองไปถามอดีต ส.ส.สิระ เจนจาคะ ที่ได้สัมผัสรสชาติมาแล้ว

กรณีของคุณพิธา ตามรายงานข่าวระบุว่า ทาง กกต.ชุดใหญ่ได้ส่งเรื่องกลับให้ทำรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อพิจารณาต่อไปโดยไม่ชักช้า ซึ่งเอาเข้าจริงๆ อาจจะมีความผิดในมาตราอื่นๆ ด้วย

คำถามที่น่าสนใจมีอยู่ว่า เรื่องนี้ผ่านจากมือ กกต.แล้วจะไปสู่ศาลฎีกา หรือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้แต่ ดร.วิษณุ เครืองาม กูรูกฎหมายก็ไม่ยอมตอบคำถามนักข่าว…

สำหรับ เล็ก เลียบด่วน ตรวจสอบดูแล้วก็ขอฟันธงว่า ท้ายที่สุดเรื่องจะถูกส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเลยช่วงการเลือกตั้งมาแล้ว ประเด็นปัญหาเป็นกรณีคุณสมบัติการเข้าสู่ตำแหน่ง ไม่ใช่การทุจริตเลือกตั้งแบบใบเหลืองหรือใบส้ม… และภายใต้ความละเอียดรอบคอบ (ซะไม่มี) ของ 7 เสือ กกต.คุณพิธาก็น่าจะได้รับรองผลความเป็น ส.ส.ไปก่อน… จากนั้นเมื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลจะรับเรื่องหรือไม่ หรือรับแล้วจะสั่งให้คุณพิธายุติการปฏิบัติหน้าที่ในวันใด ช่วงใด โปรดติดตามกันต่อไป… เอวัง!!

เรื่อง : เล็ก เลียบด่วน

จตุพร’ มั่นใจ!! ‘พิธา’ อาจก้าวไม่ไกลถึง ‘นายกฯ’ ปมถือหุ้นสื่อ-ไม่สามารถรวมเสียงได้ถึง 376 เสียง

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘หนีความจริงไม่พ้น….’

นายจตุพร กล่าวตอนหนึ่งว่า คุณสมบัติสมาชิกพรรคการเมือง ผู้สมัคร ส.ส. และแคนดิเดตนายกฯ นั้น ไม่ใช่เรื่องจะนำมาวัดค่าว่า เป็นคนดีหรือไม่ดี อีกทั้งไม่เกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบ แต่เป็นข้อกฎหมายห้ามไว้ให้กระทำได้หรือทำไม่ได้ ดังนั้น กฎหมายจึงเป็นหลักในการชี้ขาดคุณสมบัติทางการเมือง

กรณีการถือหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ล้วนเป็นต้นตอมาจากตัวเองฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมาย โดยตอนแรกอาจไม่คาดคิดจะเกิดปัญหาขึ้น ส่วนวันนี้จะยอมรับความจริงหรือไม่ก็ตาม ก็หนีไม่พ้น อย่างไรก็ตาม แม้เทขายหรือโอนหุ้นออกไปจากตัวเองแล้ว แต่ไม่มีผลอะไรที่จะหนีข้อห้ามตามกฎหมาย ซึ่งได้กระทำมาตั้งแต่ต้นแล้ว

“ปมการถือหุ้นของนายพิธา ขณะนี้ทุกฝ่ายล้วนเล่นเกมกันหลายฝ่าย เป็นเกมที่เริ่มตั้งแต่การออกกติกา แล้วช่วงแข่งขันเลือกตั้งก็ยังเล่นเกมลำหักลำโค่นชิงชัยชนะกันอยู่ อีกทั้งยังมีเกมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาผสมส่วนร่วมเล่นกรณีแจกใบเหลือง แดง ส้มกับว่าที่ ส.ส. ประมาณ 30 คนด้วย หากในจำนวนนี้มีบางส่วนหรือบางคนเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาถมทับหนักเข้าไปอีก โดยอาจถึงขั้นมีความผิดอาจลามไปถึงยุบพรรค ดังนั้น จึงควรจับตาในช่วง กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส. ในเดือน มิ.ย. นี้จะได้ครบถ้วนจำนวน 95% ของจำนวน ส.ส. 500 คนหรือไม่ เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภาได้เลือกตำแหน่งประธานสภา” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพรกล่าวว่า นายพิธา ควรต้องทำใจเย็นเอาไว้ พร้อมทั้งต้องคิดถึงการแก้ปัญหาจะเป็นอย่างไร หากจะสู้ให้รอด จะเป็นได้จริงหรือไม่ หรือถ้ารอดโดยให้มีโทษจะลดน้อยไม่ก่อกระทบกับคนอื่นอย่างไร ดังนั้น หลักคิดจึงอยู่ที่ความรับผิดชอบ ไม่ใช่เรื่องดี-ชั่ว ถึงอย่างไร แม้ไม่มีคดีหุ้นเป็นอุปสรรคในชัยชนะแล้วก็ตาม แต่โอกาสได้เป็นนายกฯ ยังยากอยู่ดี เพราะไม่ได้เสียงครบ 376 เสียงจากทั้งหมด 750 เสียงของสองสภารวมกัน

“พวก คสช.คณะยึดอำนาจชุดนี้ เหมือนทำวิจัยในช่วง 90 ปีมาอย่างดี โดยพิจารณาข้อดี ข้อด้อยของแต่ละรัฐบาลที่ผ่านมา และยังศึกษาความบกพร่องและอารมณ์ของคนไทย ดังนั้น ถ้า 3 ป. เป็นคนหักไม่ยอมงอ ประเภทคำไหนคำนั้น พวกเขาคงไปจากอำนาจนานแล้ว แต่คนพวกนี้กลับมีทั้งเล่นบทอ่อนและแข็งยึดหยุ่นกันไป เมื่อเสนอเรื่องอะไรถ้าถูกค้านก็ถอย ดังนั้นพวกเขาปกครองด้วยการไม่ใช่วิถีคนจริง แต่เป็นการลู่แรงลมต้านในบางช่วงขณะให้เกิดบรรยากาศผ่อนคลาย แล้วคนไทยก็เบาใจมาตลอด 9 ปี” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้ มีปัจจัยภายนอกเป็นเงื่อนไขทับซ้อนมากมาย 
วันนี้คนคิดเป็นนายกฯ ยังเห็นหน้าลอยในมุมมืดเฝ้ารอคอยอยู่ ส่วนนายพิธา ตนมั่นใจว่า ไม่ได้เป็นนายกฯ 100% เพราะมีคุณสมบัติต้องห้ามและไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ถึง 376 เสียง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทางกฎหมายและเกมกติกากำหนด โดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ตามที่อารมณ์ความรู้สึกต้องการ

เล็งชง ‘นิกม์’ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ มาเป็นพยานปากเอกคดีถือหุ้นสื่อไอทีวีของ ‘พิธา’

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรจะเชิญนายนิกม์ แสงศิรินาวิน ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เขต 17 คลองสามวา กทม. มาเป็นพยานกรณีการถือหุ้นสื่อไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล

นายนิกม์เป็นผู้ให้สัมภาษณ์คนแรกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา โดยนายนิกม์เคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 และได้ถือหุ้นไอทีวีเช่นเดียวกับนายพิธา ซึ่งตอนนั้นพรรคอนาคตใหม่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิ์นายธนาธร นายนิกม์ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แต่นายพิธาได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยที่ขณะนั้นนายพิธายังไม่ได้มีการขายหุ้น กกต.จึงควรเอานายนิกม์เข้ามาเป็นพยานบุคคล

ถ้า กกต.ไม่สามารถเชิญนายนิกม์มาให้ปากคำเป็นพยานได้ ก็ควรจะเชิญสื่อมวลชนที่สัมภาษณ์นายนิกม์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นพยาน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top