Saturday, 11 May 2024
พิธา

‘ศรีสุวรรณ’ จ่อร้อง กกต. สอบ ‘พิธา’ ปมอ้างกลับไทยช่วงรัฐประหาร 49 ชี้ เข้าข่ายจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของพรรคการเมือง

(27 เม.ย.66) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ตามที่โลกโซเชียลจับโป๊ะ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หลังถูกขุดบทสัมภาษณ์ที่ไปออกรายการกับสองพิธีกรชื่อดัง คือ คุณสรยุทธ (ปี 2566) และคุณหนูแหม่ม-สุริวิภา (ปี 2552) ซึ่งบทสัมภาษณ์ใน 2 รายการ 2 ช่วงเวลา แต่เห็นการณ์เดียวกันกับมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะประเด็นที่นายพิธาได้อ้างว่ากลับมาเมืองไทยช่วงรัฐประหารปี 49 ซึ่งมีถ้อยความที่ดูจะต่างกันพอสมควร อาทิ การรับราชการเป็นทีมงานนักการเมือง การให้ร้ายกองทัพเพราะถูกควบคุมตัว การไปงานศพคุณพ่อไม่ทัน การถูกควบคุมการเงินจนไม่มีเงินทำศพพ่อ ฯลฯ

เวทีระอุ!! ‘เสธ.หิ’ ซัด ‘วิโรจน์’ ปมดรามางานศพคุณพ่อนายพิธา

ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ถามนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กรณีดรามางานศพคุณพ่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล บนเวทีไทยรัฐดีเบต ที่จัดขึ้นที่ภาคเหนือ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 66 ว่า “ผมถามคุณวิโรจน์คำเดียว ตกลงหัวหน้าพรรคคุณไปงานศพทันหรือไม่ทันครับ...แต่ผมก็ชื่นชมคุณพิธาที่เป็นคนประนีประนอมนะครับ เพราะถ้าตอบทัน ก็เกรงคุณสรยุทธจะเสียใจ ถ้าตอบไม่ทัน ก็เกรงคุณแหม่มสุริวิภาจะเสียใจ ก็เลยตอบทันครึ่ง ไม่ทันครึ่ง”

‘ส.ว.สมชาย’ เชื่อ!! สังคมไม่ติดใจ ‘พิธาคิโอ’ พูดจริงหรือเท็จ แต่คาใจ ‘มีความซื่อสัตย์-จริยธรรม’ แค่ไหน? ถึงเสนอตัวนั่งนายกฯ

(29 เม.ย.66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ…

#ขึ้นเครื่องบินฟรี
#ลูกหลานใครหว่า ว่า...

สงสัยอยู่หลายวันว่าทำไม เด็กหนุ่มนักเรียกนอกบ้านรวย เรียนและจบปริญญาโท การเมืองการปกครอง สาขาการบริหารภาครัฐ ที่ John F. Kennedy School of Government มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปริญญาโท การบริหารธุรกิจ Sloan สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ 

...จึงหาทางกลับเมืองไทยแบบเร่งด่วน ในวันที่พ่อเสียชีวิต กลับจากบอสตันไม่ได้ ต้องซื้อตั๋วบินจากบอสตันไปนิวยอร์ก แทนที่จะซื้อตั๋วจากบอสตันบินกลับไทยแบบเร่งด่วนในทันที

นักเรียนไทยที่เรียนที่บอสตันทุกคนเวลานั้น จนถึงวันนี้ล้วนรู้ดีว่า...

ถ้าจะบินไปกลับบอสตัน-กรุงเทพ เวลานั้นต้องบินอย่างไร? เพราะไม่มีไฟลท์ตรง ‘กทม. -บอสตัน’

มีคำถามค้างคาใจว่า ทำไมเขาจึงตัดสินใจทำเช่นนั้น ทั้งที่มีทางเลือกมากมาย อาทิ...

1.) สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินได้หลายสายการบินเช่น KLM japanairline American Airline Lufthansa Singapore Airline ฯลฯ 
.
แม้ไม่ได้บินตรงถึง กทม.ทันที แต่ก็แวะพักแค่ 1 จุดเช่น โตเกียว, สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือดูไบ เวลาบินรวมจุดแวะพัก 22-24 ชั่วโมง ก็ถึงไทยแล้ว

2.) บินจากบอสตันไปนิวยอร์ก เพื่อซื้อตั๋วการบินไทย  ซึ่งตอนนั้นมีบินตรงนิวยอร์ก-กรุงเทพ (แอร์บัส A340-500 บินตรง 16-17 ชั่วโมง รวมเวลาบินก็ 22-24 ชั่วโมงเช่นกัน) 

ตอนหลังเส้นทางนี้ถูกยกเลิกเพราะขาดทุน 25,000 ล้าน และเป็นจุดเริ่มทำให้การบินไทยล้มละลาย และเรื่องนี้ ปปช.ชี้มูลทุจริต 

3.) ไปนิวยอร์กเพื่อใช้อภิสิทธิ์ขึ้นเครื่องบินพิเศษของราชการ 'ไทยคู่ฟ้า' ที่ใช้ภารกิจนายกรัฐมนตรีเท่านั้น (บุคคลภายนอกขึ้นบินด้วยไม่ได้ เพราะมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด) เพราะมีอาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวทักษิณ ชื่อ 'ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์' แต่เครื่องบินยังต้องเสียเวลาบินอ้อมไปส่งทักษิณที่ลี้ภัยการรัฐประหารไปอยู่ลอนดอนอีก ซึ่งจะต้องอนุญาตจากศูนย์การบินเปลี่ยนเส้นทางบินใหม่ทั้งหมด เสียเวลาบินรวมเกินกว่า 24-30 ชั่วโมง

'หมอวรงค์' ขึ้นศาลสู้คดีกรณี 'ธนาธร-พิธา' ฟ้องหมิ่นประมาท ซัด!! ชอบอ้างสิทธิเสรีภาพ แต่ถึงเวลาก็ยก กม.มาปิดปากผู้อื่น

(2 พ.ค.66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี Live ผ่านเฟซบุ๊ก 'วรงค์ เดชกิจวิกรม-Warong Dechgitvigrom' ขณะเดินทางไปที่ศาลอาญา รัชดา พร้อมทีมทนาย เพื่อให้การคดีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ฟ้องร้อง โดยระบุว่า ขณะนี้อยู่ศาลอาญารัชดา ขออนุญาตลาหาเสียง 1 วันเพราะต้องขึ้นศาลคดีที่พรรคก้าวไกลฟ้องร้อง โดยหลายคนอาจจะแปลกใจว่าพรรคก้าวไกลฟ้องเรื่องอะไร ถ้าพี่น้องจำได้ช่วงวันที่ 10 สิงหาคม 2563 กลุ่มธรรมศาสตร์จะไม่ทน ประกาศปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะมีการยกเลิกมาตรา 112 ยกเลิกธรรมนูญรัฐ มาตรา 6 ห้ามพระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสในที่สาธารณะ หลาย ๆ เรื่องตนมองว่าขบวนการนี้เป็นขบวนการล้มล้าง เป็นการด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่นายพิธาบอกว่าเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นการจาบจ้วง ไม่ใช่เป็นการล่วงละเมิดซึ่งพวกเราเห็นหลักฐานที่ชัดเจนแต่ปรากฏว่าการที่เราแสดงออกแบบนี้เขาฟ้อง

นพ.วรงค์ กล่าวว่า การฟ้องร้องคดีนี้ มีการเรียกค่าเสียหาย ทั้งหมด 24,062,475 คือฟ้องทั้งอาญาและแพ่ง ประมาณ 24 ล้านเศษ ๆ ก็คือ การสื่อถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเอามาเชื่อมโยงกัน และไม่เพียงแต่นายพิธา จากพรรคก้าวไกล ก็ยังมีหมายศาลของนายธนาธรซึ่งฟ้องในเวลาใกล้เคียงกัน ฟ้องคดีคล้าย ๆ กัน เพราะเนื่องจากว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปฏิรูปสถาบัน และตนกล่าวหาว่า นายธนาธรสนับสนุน แต่เขาปฏิเสธก็ไม่เป็นไร มาสู้กันที่ศาล แต่สิ่งที่อยากจะเล่าให้พี่น้องฟัง พี่น้อง คนพวกนี้พยายามอ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพ เมื่อคนฝ่ายตนเองถูกดำเนินคดีก็กล่าวหาเอากฎหมายมาปิดปาก แต่ตนเชื่อว่าพี่น้องประชาชน ที่ไปดำเนินคดีนั้น เพราะพี่น้องเห็นหลักฐานข้อเท็จจริงที่มีเด็กเยาวชนหรือประชาชนกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมทนไม่ได้ก็ไปดำเนินคดี แต่สำหรับของเราเป็น การต่อสู้ทางความคิดกลายเป็นว่าพวกนี้มาฟ้อง ถึงบอกว่าพวกคุณชอบอ้างว่าคนอื่นเอากฎหมายไปปิดปาก แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วพวกคุณนั่นแหละที่เอากฎหมายมาปิดปากพวกเรา เฉพาะตนถูกฟ้องแล้ว 3 คดี คดีเมเดย์ เมเดย์ เป็น 1 คดี ตนชนะ ตอนนี้ยังเหลืออีก 2 คดี ดังนั้นต้องเรียนให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่าคนพวกนี้ปากกับใจไม่ตรงกัน พยายามที่จะพูดอย่างแล้วก็ทำอย่าง และสิ่งที่สำคัญตนก็พึ่งทราบ เพิ่งได้รับหนังสือจาก สถานีตำรวจภูธรขอนแก่น ปรากฎแกนนำกลุ่ม 3 นิ้วไปฟ้องตน มาตรา 112 ในกรณีที่ตนมีคำแถลงเกี่ยวกับเรื่องราชประชาสมาสัย เจตนาตนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ไม่ได้ดูหมิ่น ไม่ได้หมิ่นประมาท ไม่ได้อาฆาตมาดร้าย แต่พวกนี้เอา มาตรา 112 มาเล่นงานตน โชคดีที่ทางอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง

‘ประสิทธิ์ชัย’ ฟาด ‘พิธา’ พลิกลิ้นปมกัญชา ชี้!! หลังๆ ชักแนบแน่นกับ ‘ชูวิทย์’ หลายเรื่อง

แกนนำเครือข่ายกัญชาฯ ฟาด ‘พิธา’ ไม่เหมาะเป็นผู้นำ ไม่ใช่นักประชาธิปไตย คบ ‘ชูวิทย์’ ผลักกัญชาไปเป็นเกมการเมือง ทั้งที่เคยสนับสนุนถึงขั้นรับร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ จากประชาชน และให้ตนเป็นกรรมาธิการฯ ในนามของพรรค แต่กลับเปลี่ยนจุดยืน ถึงขั้นฟ้องศาลให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด หวังเอาคืนหลัง พ.ร.บ.สุราฯ ไม่ผ่านสภาฯ เตือน!! แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะเอาแบบนี้ เพราะอีกไม่กี่วันกระแสเลือกตั้งจะจบลง จะได้เห็นความจริง

(5 พ.ค. 66) นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล แกนนำเครือข่ายประชาชนเพื่อการมีกฎหมายควบคุมกัญชาในประเทศไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘ประสิทธิ์ชัย หนูนวล’ สื่อสารถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า…

พิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อไหร่คุณจะพูดเรื่องกัญชาให้ตรงกันเสียที คนที่เป็นนักประชาธิปไตยต้องพูดความจริงและพูดให้ตรงกันในทุกวาระ ไม่ใช่พูดตอนนี้อย่างหนึ่ง พูดตอนอื่นก็พูดอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ลักษณะของผู้นำ ตนเข้าใจว่า พรรคก้าวไกล มีกระแสดี เหตุเพราะมีความชัดเจน และคนรุ่นใหม่ชอบความชัดเจน 

“ผมเจ็บปวดที่สุด วันที่พรรคก้าวไกลยื่นฟ้องศาลให้กัญชากลับไปสู่ยาเสพติด ขอย้ำว่า มันคือการฟ้องศาล พรรคก้าวไกลไม่ได้ทำแบบพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ หรือ ประชาชาติ ที่แสดงความเห็นกัญชาในเชิงนโยบายของพรรค แต่พรรคก้าวไกล เชื่อมั่นยิ่งกว่าว่ากัญชาต้องเป็นยาเสพติด นั่นคือการดำเนินการมากกว่าพรรคอื่น คือ ดำเนินการฟ้องศาลให้เป็นยาเสพติด นี่คือจุดยืนของพรรคก้าวไกล” 

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวถึงเหตุผล ทำไมภาคประชาชนถึงเจ็บปวดกับพรรคก้าวไกล กรณีกัญชา ว่า ตนเป็นกรรมาธิการ (กมธ.) พ.ร.บ.กัญชาฯ ในนามพรรคก้าวไกล ร่วมกับนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคก้าวไกล เหตุที่ตนได้เป็น กมธ.ในนามพรรคก้าวไกล ทั้งที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ก็เพราะว่า ภาคประชาชนได้ยื่น ร่าง พ.ร.บ.กัญชา ให้พรรคก้าวไกล รับไปดำเนินการต่อในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

“ตรงนี้แหละครับ คือ ประเด็นของความเจ็บปวด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นลองนึกตามนะครับ หากมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ประกาศอยู่เคียงข้างประชาชนมาตลอด และยินดียิ่งที่ภาคประชาชนจัดทำร่าง พ.ร.บ.กัญชา ยื่นให้กับพรรค เพราะพรรคเห็นด้วยกับหลักการที่ภาคประชาชนนำเสนอ พรรคจึงอาสานำไปดำเนินการต่อ อยู่มาวันหนึ่ง พรรคก้าวไกลประกาศว่าจะเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด และไม่ได้ประกาศเป็นแค่นโยบายพรรค แต่ยังเอากัญชาไปฟ้องศาลให้กลับไปสู่ยาเสพติดอีกด้วย

“คำถามที่สำคัญคือ หลักการ พ.ร.บ.กัญชาของประชาชน ถูกพรรคหยิบทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่ของ กมธ.พ.ร.บ.กัญชา ทำไมพรรคก้าวไกลไม่นำเสนออะไรเลย ว่าค้นพบข้อเท็จจริงใหม่ หรือ พรรคมีมติใหม่ ต้องเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด กี่เดือนที่ทำงานกันมาแต่พรรคไม่พูดเรื่องนี้เลย แถมยังมีข้อเสนอที่ก้าวหน้าไปอีก” 

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวอีกว่า เพื่อให้ชัดขึ้น ทุกคนต้องกลับไปฟังการให้สัมภาษณ์ของพิธา เรื่องกัญชา สมัยยังมีพรรคอนาคตใหม่ แล้วไปดูจุดยืนการรับร่าง พ.ร.บ.กัญชาของภาคประชาชน แล้วมาดูพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลในวันนี้ คำพูดและจุดยืนของเขาเกี่ยวกับกัญชาตรงกันหรือไม่ ดังนั้น จึงมีคำถามถึง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่ผู้นำที่คนรุ่นใหม่สนับสนุน

1.) จุดยืนของคุณเรื่องกัญชา เปลี่ยนไปตามกระแสและผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ ตลอดระยะเวลาพวกคุณไม่เคยพูดถึงกัญชาในแง่ไม่ดีเลย จนกระทั่ง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร พวกคุณจึงเริ่มมีท่าทีเกี่ยวกับกัญชาเปลี่ยนไป คิดเอาคืนทางการเมืองกับพรรค ซึ่งคาดหวังว่าจะยกมือสนับสนุน พ.ร.บ.สุรา แต่แล้วพรรคนั้นไม่ยกมือให้ในนาทีสุดท้ายใช่หรือไม่

ความพลาดหวังครั้งนี้ ทำให้พวกคุณลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง ที่นักการเมืองรุ่นก่อนเขานิยมทำกัน คือ การเอาคืนทางการเมือง และการเอาคืนนี้ต้องเลือกประเด็นที่สังคมอ่อนไหวอยู่แล้ว คือเรื่องกัญชา (อาจเพราะพวกคุณดูโพลสำรวจแล้วพบว่า จากการสำรวจคนยังกลัวกัญชา จึงใช้กระแสความกลัวนี้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อทำลายพรรคนั้น และกัญชาเริ่มกลายเป็นเหยื่อ) โดยหลังจาก พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าไม่ผ่านสภาฯ ปฏิบัติการเกี่ยวกับกัญชาของพรรคคุณเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนับแต่บัดนั้น คำถามคือ พวกคุณเปลี่ยนเรื่องกัญชาจากหน้ามือเป็นหลังเพราะอะไร

2.) คำถามที่สำคัญคือ มีเหตุผลอะไรที่พรรคก้าวไกลจะเอากัญชากลับไปสู่ยาเสพติด ประเด็นนี้ต้องพูดกันด้วยข้อเท็จจริง และเพื่อเป็นการเทียบเคียงจุดยืนของพรรคนี้ จึงต้องยกอ้าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้ามาเปรียบเทียบ ถ้าพรรคใช้หลักการตัดสินเรื่องนี้ด้วยข้อเท็จจริง พรรคต้องแสดงข้อเท็จจริงและงานวิจัยที่มี เพื่อเปรียบเทียบโทษระหว่างกัญชากับสุราให้ชัดเจน ย้ำว่าต้องเป็นงานวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ข้อมูลจากความรู้สึก สุราทำให้เกิดอุบัติเหตุอย่างไร ทำลายสุขภาพอะไรบ้าง ประจักษ์กันมานานแล้วมิใช่หรือ ส่วนกัญชานั้นมีงานวิจัยสนับสนุนทั่วโลกนับ 100 สถาบัน ซึ่งพูดถึงกัญชาในฐานะยารักษา พรรคต้องเอาข้อมูลวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบมาแสดงโดยด่วน ถ้าจะแสดงความจริงใจว่าไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนเรื่องกัญชาเพราะการเมือง

ชั้นเชิงสุดเคี่ยวของนักการเมืองทรงไทย ตรงไหน 'ไม่ชัวร์-ไม่คุ้ม-ไม่ยุ่ง' ส่วนนักการเมืองจุ้น ทะลึ่งสั่งการปูติน ถูกเครมลินจ้องเรียบร้อย

(7 พ.ค.66) จากเฟซบุ๊ก 'สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ข้อดีของนักการเมืองแบบไทย ๆ คือมีความคุ้นเคยกับวิถีนักเลงกันเป็นอย่างดี' ระบุว่า...

วิถีนักเลงแบบไทย ๆ ตรงไหนไม่ชัวร์ ไม่คุ้ม ไม่ยุ่ง

อะไรฝากได้ก็ฝากไว้ก่อน ค่อยว่ากันอีกที 

ก็เหมือนมวยไทยชั้นดี ต้องหยั่งเชิงกันก่อนซัก 2-3 ยก 

ถ้ายกแรกเดินเข้าแลกเลย ถือว่าเป็นมวยวัด 

ตอนปูตินยกทัพบุกยูเครน มีนักการเมืองไทยคนเดียว ที่ทะเล่อทะล่าออกไปสั่งการปูติน

บอกปูตินไปอย่างหนักแน่นว่า ประชาธิปไตยยูเครนของข้า ใครอย่าแตะ

ลงชื่อกำกับไว้ด้วย คงคิดว่าเหมือนประท้วงแถวนี้ ถ่ายรูปชูนิ้วแล้วแยกย้ายกลับบ้าน

ข่าวกรองรัสเซียวิ่งกันให้วุ่น ทำแฟ้มประวัตินักการเมืองไทยคนนี้ ส่งเข้าระบบทำเนียบเครมลิน

ส่วนนักการเมืองไทยคนอื่น ไม่มีใครสนใจจะแสดงจุดยืน

นอกจากจุดยืนที่ว่า ไม่ต้องมีจุดยืนกันนะพวกเรา นั่งนิ่ง ๆ ทรงจะสวยกว่า

เค้าล่อกันอยู่ตั้งไกล ยังไงเราก็ไม่โดน

เป็นความรู้ที่ได้มาจากชีวิตจริง ไม่ต้องไปเรียนจากไอวีลีก

ฉลาดแต่ไม่เฉลียว สำหรับยุคนี้มันอันตราย

กองเรือสหรัฐล้อมยาว ตั้งแต่ไต้หวันลงมาถึงอ่าวไทย 

ญี่ปุ่นเตรียมพร้อมเป็นสำนักงานนาโต้สาขาสอง 

มีคนส่งจดหมายฟ้องสภาสหรัฐ ว่าการเลือกตั้งไทยไม่โปร่งใส

เปิดช่องให้สหรัฐบีบไทย เรื่องตั้งฐานทัพ

จริง ๆ ควรส่งฐานทัพสหรัฐไปให้สิงคโปร์ เพราะเป็นชาติที่รับลูกสหรัฐและยุโรปทุกเรื่องเป็นประจำอยู่แล้ว

ยินดีกับผู้ประกอบการและลูกจ้างโรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ไกด์ทัวร์ คลับบาร์ รถเช่า รถทัวร์ ด้วยครับ

'เรืองไกร' จ่อร้อง กกต.สอบ 'พิธา-ก้าวไกล' ถือหุ้น ITV พบมีชื่อถือ 42,000 หุ้น ซ้ำบริษัทยังดำเนินธุรกิจอยู่

(9 พ.ค. 66) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบพบข้อมูลที่น่าเชื่อว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น จึงต้องการให้ กกต.ตรวจสอบ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) บัญญัติห้ามมิให้บุคคลที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส และเมื่อตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงตามข้อมูลเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 66 ที่ทำให้เข้าใจว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ในลำดับที่ 6,121 เลขทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ 4030954168 ที่อยู่ 98/26 อาคารซิลเวอร์เฮอริเทจ ซ.สุขุมวิท 38 ถ.สุขุมวิท พระโขนง คลองเตย 10110 สัญชาติไทย จำนวน 42,000 หุ้น

นายเรืองไกร ยังกล่าวอีกว่า เมื่อตรวจสอบจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบข้อมูลของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) พบว่า เป็นนิติบุคคลที่ยังดำเนินกิจการอยู่ ธุรกิจตอนจดทะเบียน ระบุการออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงยกเว้นทางออนไลน์

วัตถุประสงค์ตอนจดทะเบียน ระบุสถานีโทรทัศน์ หมวดธุรกิจ ก็ระบุว่า กิจกรรมเผยแพร่ภาพยนตร์วีดิทัศน์และรายการโทรทัศน์ โดยปีที่ส่งงบการเงิน คือ ปี 2560 ต่อเนื่องถึงปี 2564 และเมื่อขอข้อมูลบัญชีรายขื่อผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ณ วันที่ 27 เม.ย. 65 นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นในลำดับที่ 7,138 จำนวน 42,000 หุ้น เลขที่ใบหุ้น 06680180285422 มูลค่าหุ้นละ 5 บาท

อีกทั้งเมื่อตรวจสอบข้อมูลบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จากเว็บไซต์ พบว่า บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการรับจ้างโฆษณา ประชาสัมพันธ์ทุกชนิดทุกประเภท มีรายได้ปี 2565 รวม 21 ล้านบาท และมีรายได้ปี 2564 รวม 24 ล้านบาท โดยบริษัทมีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM) เมื่อวันพุธที่ 26 เม.ย. 66 จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีเหตุอันควรที่ กกต. จะต้องตรวจสอบนายพิธา ผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อและผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ว่า เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) หรือไม่

‘ลุงตู่’ ปิดจ๊อบปราศรัยใหญ่เวทีเมืองคอน ‘สุดยิ่งใหญ่’ ขณะที่ ‘พิธา’ ติดหล่มปมถือหุ้นไอทีวี จนก้าว…ไม่ไกล

สุดสัปดาห์นี้ ท่านผู้อ่านก็จะได้เข้าคูหากากบาท ชี้ชะตาประเทศไทยกันในวันที่ 14 พ.ค. ได้เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ใช่

แม้เพจพรรครวมไทยสร้างชาติจะเขียนข่าวเวอร์ไปหน่อยว่าคนเมืองคอนแห่ไปฟังลุงตู่ปราศรัยที่สนามหน้าเมือง เมื่อค่ำวันที่ 11 พ.ค. ร่วม 5 หมื่นคน แต่ก็ต้องบันทึกว่าเป็นการปราศรัยใหญ่นัดที่คนฟังมากที่สุดในภาคใต้ ประมาณเกือบ 2.5 หมื่นคน เหนือกว่าที่สุราษฎร์ธานีเล็กน้อย เป็นการปราศรัยปิดแมทช์ต่างจังหวัดที่สวยงามของลุงตู่..วันเดียว  5 จุด...จุดสุดท้ายที่สนามหน้าเมือง “ลุงตู่” ปราศรัยได้กลมกล่อม ไม่เล่นมาก แต่ไม่เครียด สอดแทรกเนื้อหาดีทั้งผลงานที่ทำแล้ว ปณิธาณ นโยบายที่จะทำต่อ  การสร้างสมดุลในภูมิภาคที่กำลังถูกท้าทาย และความสามัคคี ความสำคัญของทุกคนในฐานะพลังของแผ่นดิน

อย่างไรก็ตาม 10 ที่นั่ง ส.ส. นครศรีธรรมราช รอบนี้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ประเมินแล้วประชาธิปัตย์น่าจะกวาดไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ที่เหลือเป็นของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยอาจจะมีพลังประชารัฐสอดแทรกมาสัก 1 เก้าอี้

สำหรับแนวโน้มภาพรวมผลการเลือกตั้งนั้น พูดกันให้แซ่ดถึงบทวิเคราะห์ของสำนักต่าง ๆ ทั้งที่เอ่ยอ้างว่าเป็นของหน่วยงานในกระทรวงใหญ่บางแห่ง และสถาบันการศึกษาสำคัญ รายงานข้อมูลชุดสุดท้ายไปในทิศทางเดียวกันว่า ขั้วฝ่ายค้านเดิมมีคะแนนสูงกว่าขั้วลุง ในระดับตัวเลข 270 ต่อ 230 ประมาณนั้น

ยกเว้นสัปดาห์สุดท้ายการตื่นตัวของพลังเงียบ พลังช้างป่วยกลายเป็นพลังช้างศึกที่ถูกปลุกขึ้นมาในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะแห่กันออกมาปกบ้านป้องเมืองรักษาวิถีไทยแบบมืดฟ้ามัวดิน คะแนนสองข้างก็คงสูสีกัน ซึ่งถ้าคะแนนสูสีดูดี๋กัน ขั้วรัฐบาลเดิมก็จะจัดตั้งรัฐบาลได้ในที่สุด ท่ามกลางร้อยแปดความวุ่นวาย 

และด้วยฉากทัศน์การเมืองดังวิเคราะห์มานี่เองที่ทำให้พรรคเพื่อไทย โดยณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ประกาศรัว ๆ ทุกเวทีว่า ถ้าเป็นการชกมวย การชนะคะแนนแปลว่าแพ้ ต้องน็อกสถานเดียว อันนี้ก็ว่ากันไป ฝันกันไป 

พูดถึงพรรคส้ม ก้าวไกลสักนิด กรณีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวี คงไม่ส่งผลต่อการลงคะแนนในวัที่ 14 พ.ค. แต่หลังเลือกตั้งต้องลุ้นระทึกว่าอนาคตพิธาจะจบอย่างไร ดีสุดคือเป็น ส.ส.ต่อไป แย่สุดคือพ้นสภาพ ส.ส. 

แต่ที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้แต่ส่ายหน้าสงสารก็คือพ่อพิมไปพูดในรายการของ ‘จอมขวัญ’ ว่าเรื่องนี้เลวร้ายที่สุดคือโดนตัดสิทธิ์การเป็น ส.ส. เท่านั้น ยังเป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีได้ เฮ่อ เชื่อแล้วว่าฝ่ายกฎหมายพรรคส้มไม่เป็นสับปะรดจริง ๆ ทำไมไม่บอกให้คุณทิมรู้ว่า ถ้าโดนตัดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ก็หมดสิทธิ์จะเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี เฮ่อออ!!!

โฉบไปที่พรรคภูมิใจไทย แม้จะถูกไล่ล่าจากชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เรื่องกัญชาและสารพัดการเตะสกัดจากคู่แข่งมากแค่ไหน แต่ ‘ครูใหญ่เนวิน’ สั่งทุกแนวรบให้มีสมาธิสู้รบในฉากสุดท้าย จำเพาะที่สนามกรุงเทพฯ ได้ปฏิบัติการเติมกระแสเติมกระสุนใน 4 เขตเป็นกรณีพิเศษ ด้วยความมั่นใจลึก ๆ ว่า จะตอกเสาเข็มให้พรรคได้อย่างน้อย 2 เขต

ปิดท้ายวันนี้ มองให้ไกลไปกว่าหีบเลือกตั้งสักนิดเราจะพบว่า การเลือกตั้งหนนี้มีมหาอำนาจตะวันตกโฟกัสที่หมายถึงการแทรกแซงเป็นพิเศษ พวกเขาบังอาจพูดดักคอดักทางว่ากองทัพและสถาบันเบื้องสูงต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้องทั้ง ๆ ที่สองสถาบันไม่ได้ยุ่งเกี่ยวใด ๆ และเมื่อต้นสัปดาห์มีข่าวว่า ทูตตะวันตกหลายประเทศรวมตัวกันเชิญตัวแทนพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล ประชาชาติ และพลังประชารัฐ ชี้นำให้แก้ไขมาตรา 112 ดูเหมือนหลายพรรคจะเออออ..ยกเว้นพลังประชารัฐ!!

ทั้งหลายทั้งปวงเหตุที่มหาอำนาจตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกาออกอาการจุ้นจ้านเป็นพิเศษ ใช่หรือไม่ว่าก็เพราะพวกเขาอยากได้รัฐบาลที่เลือกข้างสหรัฐ ไม่ใช่รัฐบาลที่รักษาสมดุลอย่างรัฐบาลลุงตู่...ดังนั้นฝากท่านวิญญูชน สาธุชนพึงใคร่ครวญในเรื่องนี้ด้วยเทอญ

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

‘สนธิญา’ ร้อง กกต. สอบคุณสมบัติ ‘พิธา’ ปมถือหุ้นสื่อ ชี้!! หากผิดจริง อาจพาผู้สมัคร ส.ส.ก้าวไกลเป็นโมฆะไปด้วย

(12 พ.ค. 66) ที่สำนักงาน​คณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง ​(กกต.)​ นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคฯ หลังถูกตรวจสอบแล้วพบว่า ยังถือครองหุ้นในบริษัทสื่อสารมวลชน อาจเข้าข่ายขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ​(พ.ร.ป.)​ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

นายสนธิญา กล่าวว่า​ การถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา​หากตรวจสอบแล้วพบว่า นายพิธามีความผิดจริงจะส่งผลให้จำนวน ส.ส.ไม่ถึง 90% และจะทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากนายพิธาเป็นหัวหน้าพรรคที่ต้องรับรองคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล แต่เมื่อนายพิธาขาดคุณสมบัติเสียเอง ก็จะส่งผลทำให้การรับรองคุณสมบัติของผู้สมัครพรรคก้าวไกลทุกคนเป็นโมฆะ

นายสนธิยา ยังกล่าวว่า ตนได้เปิดแฟนเพจเพื่อรับเรื่องร้องทุกข์แจ้งเหตุการณ์ทุจริตการเลือกตั้งซึ่งพบว่ามีหลายคนส่งข้อความมาแจ้งเรื่องของการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง มีหัวคะแนนของพรรคการเมืองและผู้สมัครตระเวนเก็บบัตรประชาชนและจดรายชื่อของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง โดยสัญญาว่าจะให้เงิน ซื้อเสียง แต่จนถึงตอนนี้ใกล้วันเลือกตั้งแล้วหัวคะแนนยังไม่ยอมมาจ่ายเงินตามที่สัญญาไว้จึงอยากให้กรรมการการเลือกตั้งส่งผู้ตรวจการเลือกตั้งหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอย่างไร โดยได้นำหลักฐาน เป็นภาพและเบอร์ของผู้สมัครพร้อมทั้งข้อความการพูดคุยผ่านทางเมสเซนเจอร์แฟนเพจมายื่นให้กับกกต.ประกอบการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

‘จตุพร’ เชื่อ ‘พิธา’ ตั้งรัฐบาล 310 เสียงไม่สำเร็จ การเมืองหน้าฉากเชื่อไม่ได้ เบื้องหลังวิ่งวุ่น จับมือกัน โดดเดียวก้าวไกล

เมื่อวานนี้ (16 พ.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คำสัญญาที่ว่างเปล่า?" ระบุ คำสัญญาร่วมตั้งรัฐบาล 310 เสียงจะมีบางพรรคจ้องหนีไปจับมือกับพรรคอื่น โดยอ้างความจำเป็นของบ้านเมือง ดังนั้นแนวโน้มส่อว่า พรรคก้าวไกลจะตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ

นายจตุพร เตือนว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย เรียกร้องทุกพรรคสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ในทางการเมืองอาจเพียงพูดให้ดูดีเท่านั้น แต่ไม่รู้ความเป็นจริงที่อยู่ฉากหลังนั้นคืออะไร อีกอย่างคำสัญญาทางการเมืองนั้น มีคุณค่าเป็นแค่ “ความจำเป็นในอดีต” ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงต้องระวังไว้

รวมทั้งระบุว่า อย่างไรก็ตาม การตั้งรัฐบาล 310 เสียงที่ทำสัญญาปากเปล่ากันนั้น แม้เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (จากทั้งหมด 500 เสียง) แต่คือเสียงข้างน้อยในรัฐสภา ซึ่งมีเสียงรวม 750 เสียง ดังนั้น ส.ว. ยังยืนนิ่ง ไม่ตีไพ่โง่ไปสนับสนุนเสียงของน้อยในสภาผู้แทนราษฎรที่เหลือ 190 เสียง

อีกทั้ง เห็นว่า ในความจริงของ ส.ว. เพียงไปจับมือกับสภาผู้แทนฯ ให้ได้เสียงอีก 126 เสียงก็จะเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา คือ ส.ว. 250 เสียงบวก 126 เสียง รวมเป็น 376 เสียง ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 750 เสียงก็สามาตั้งนายกฯ ได้แล้ว แต่ รธน. 2560 บัญญัติเพียงให้เป็นนายกฯ ไม่ได้คุ้มครองเสถียรภาพรัฐบาล จึงมีโอกาสพ่ายแพ้ทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ส.ว. จะไม่มีวันแตกแถวในการเลือกนายกฯ และความเชื่อจะปิดสวิตช์ ส.ว. จึงเป็นไปได้ยาก

นายจตุพร เชื่อว่า ในช่วงเวลา 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเป็นจุดหักเหทางการเมืองในทุกเรื่องได้ เพราะมีหน้าที่วินิจฉัยคำร้องยุบพรรค และคดีของนายพิธา แม้หลายคนมั่นใจว่า กกต. จะไม่กล้าขัดขวางมติประชาชน แต่ตนมีบทเรียน จึงไม่ห้ามที่ใครจะเชื่อเช่นนั้น ถึงอธิบายก็ไม่มีใครฟัง และบทเรียนใครก็เป็นบทเรียนคนนั้น

"เราได้ผ่านความเชื่อมาแล้วว่า เสียงประชาชนไม่มีใครกล้า ซึ่งพิสูจน์แล้วไม่เคยเป็นความจริงเลย ยิ่งการเลือกตั้งหนนี้ไม่ได้เป็นตามปกติ เพราะที่สุดต้องมาเจอด่านเสียง 376 ซึ่งเป็นเรื่องยากกับพรรคที่ชนะเลือกตั้ง"

พร้อมระบุว่า นายเศรษฐา ควรไปพิจารณาประวัติศาสตร์การเมืองช่วงพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่มีเสียงมากถึง 377 เสียง ช่วงนั้น ส.ส. ประชาธิปัตย์เคยไปทำเนียบรัฐบาลขอให้รัฐบาลไฟเขียวให้ ส.ส. รัฐบาลลงชื่อให้ครบจำนวนจะได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สภาได้ดำเนินการตรวจสอบตามกระบวนการประชาธิปไตย แต่ถูกพรรคไทยรักไทย ด่ายับเลยว่า ไม่มีธรรมเนียมให้ ส.ส. รัฐบาลไปลงชื่อให้ฝ่ายค้าน จนนำไปสู่การเมืองบนถนนในเวลาต่อมา

"นายเศรษฐา พูดให้พรรคการเมืองแสดงสปิริตสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกฯ พูดก็ดี แต่ผมไม่อยากทาย กลัวถูก และไม่ได้ปรามาสอะไร ผมว่าจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะพรรคเพื่อไทยฉลาดเดินเกม เขาบอกว่าหน้าที่ต่อไปนี้การจัดตั้งรัฐบาลให้เป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกลรวมเสียง 310 จาก 6 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล"

นายจตุพร ย้ำว่า ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีตัวเลขตั้งรัฐบาลที่ไม่เปิดเผยที่ผ่านการดีลลับๆ ตามการออกแบบรัฐบาล แล้วท้ายที่สุดพรรคก้าวไกลจะถูกโดดเดียว และแต่ละฝ่ายจะอ้างความจำเป็น จนทำให้เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน เนื่องจากตัวแปรสำคัญคือ ส.ว. ซึ่งเลือกเล่นเกมกับพรรคการเมืองให้แย่งกันตั้งรัฐบาล โดย ส.ว. เลือกยืนนิ่ง ๆ ไม่แสดงท่าทีใด

สิ่งสำคัญในกรณีเลือกนายพิธา เป็นนายกฯ จะต้องให้ไปหาเสียงมา 376 เสียง โดยไม่ต้องพึ่งเสียง ส.ว. โหวตให้ แต่กรณีคนอื่นเป็นนายกฯ ให้มีเสียงแค่ 251 เกินครึ่งสภาผู้แทนฯ เท่านั้น ดังนั้น การที่บางพรรคปล่อยพรรคก้าวไกลเดินหน้าตั้งรัฐบาลให้ผ่านด่านเป็นนายกฯ ย่อมมองเห็นผลลงท้ายว่า ไปไม่ได้ ตั้งรัฐบาลๆ ไม่สำเร็จเพราะบางพรรคและบางคนจ้องฉีกสัญญาทิ้งแล้วตั้งรัฐบาลกันเอง โดยไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วมด้วย

"หลังจากนั้นในพรรคร่วมสัญญา 310 เสียงจะมีคนรักชาติแบบผิดสังเกต ตีฝ่าวงล้อมออกมา ก็ไปบุกบ้านป่ารอยต่อฯ ส่วนคำสัญญาไม่เอาสองลุงที่บอกมาช่วงหาเสียงนั้น จะอ้างเป็นเรื่องความจำเป็นในอดีต แต่ตอนนี้จะไม่เกิดขึ้นแล้ว"

นายจตุพร กล่าวว่า ในสมัยก่อนในทางการเมืองจะมีข้ออ้างความจำเป็นด้วย "ข้อมูลใหม่" แต่มาสมัยนี้ หลังการหาเสียงเลือกตั้ง ทุกพรรคล้วนมีบาดแผลเต็มตัว อีกทั้งพรรคเพื่อไทยไม่ได้แพ้ใคร แต่แพ้พรรคก้าวไกล ในฐานะเป็นพรรคฝ่ายเดียวกันและกระแสการเมืองประชาชนบีบให้ต้องพูดในด้านดีเข้าไว้ จึงสนับสนุนพรรคคก้าวไกล แต่ให้เป็นหน้าที่พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลเต็มทีในจำนวน 310 เสียง

อีกทั้ง เห็นว่า พรรคก้าวไกลเมื่อชนะเลือกตั้งก็ควรได้เป็นนายกฯ ตามกระบวนการเลือกตั้ง แต่กติกาที่เป็นอยู่ในขณะนี้มันไม่ปกติ และจะเอาเสียงประชาชนไปปิดสวิตซ์ ส.ว. ก็ยาก แล้วยังหวังให้ ส.ว. จำนวนหนึ่งแตกออกมาหนุนพรรคก้าวไกลนั้น ยิ่งเป็นความฝันในฤดูแล้ง เพราะไม่มีอยู่จริง ดังนั้น ในช่วงสองเดือนระหว่าง กกต. พิจารณา ตรวจสอบและรับรอง ส.ส. ไม่รู้ว่าเสียง 310 จะเหลืออยู่ครบกันหรือไม่

"ที่ไม่รู้ว่าจะเหลือเท่าไรนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก กกต. อีกทั้งจะมีพรรคใดใจแข็งหรือไม่ เนื่องจากก้าวไกลเป็นพรรคใหม่พรรคเดียวที่มาเข้าพวก ส.ส. เก่าๆ โดยพรรคอื่น ๆ รู้จักกันมาดี เป็นนักการเมืองเก่าทั้งสิ้น ผ่านระบบอุปถัมภ์กันมายาวนาน ซึ่งสัมพันธ์กันในทางการเมืองได้หมด”

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อกระแสสังคมเลือกก้าวไกลแล้ว ยกแรกทุกพรรคต้องเล่นบทพระเอกก่อน คือ สนับสนุนพรรคก้าวไกล เลือกนายพิธา เป็นนายกฯ ดังนั้น ตนจึงเตือนไว้ก่อนเลยว่า ถ้าไม่ลงสัตยาบันใน 310 เสียง จะมีคนไม่รักษาสัญญา

"อีกทั้งถ้า 310 เสียงยืนกราน 190 ยืนกราน และ 250 ก็ยืนกราน ผมรู้ว่าคนคิดกันนอกเกมนี้และทำกันตั้งแต่คืนแรก การพูด การดีลย่อมเห็นกันหมด ให้พูดตอนนี้คนก็ปฎิเสธ แต่ก็เห็นอยู่แล้ว บางคนไม่พร้อมเป็นพรรคฝ่ายค้าน บางคนพกความเครียดแค้น บางคนก็ไปตายเอาดาบหน้าแต่ขอเป็นรัฐบาลก่อน สิ่งสำคัญจะสวนความรู้สึกของคนแต่ละรุ่น"

ดังนั้น ที่กังวลกันว่า จะมีเรื่องวุ่นวาย ก็หนีไม่ออกกันจริงๆ ถ้าพรรคก้าวไกลถูกหักหลังโดยคนกันเอง ตนไม่ได้เสี้ยมและไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ขอให้ทำสัญญาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด แต่ถ้าเกิดขึ้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่ กองเชียร์จากประชาชนถือพรรคก้าวไกลเป็นชัยชนะของพวกเขา และคนก็พร้อมจะออกมาบนถนนถ้าก้าวไกลไม่ได้ตั้งรัฐบาลและนายพิธา ไม่ได้เป็นนายกฯ

"ถ้าถามว่า คนที่จะลงมือเขากลัวหรือไม่ เขาก็ไม่กลัว แต่คนที่ไปต่อสู้ก็คิดว่าเขาจะกลัว จะไม่กล้า แต่เขาก็กล้ามาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้า 310 เสียงยืนแข็ง และ ส.ว. ไม่โหวตให้ 190 แต่ผมเชื่อว่าวินาทีนี้ ส.ว. ไม่โหวตอยู่แล้ว เพื่อดำรงภาพตัวเองให้ดูดีไว้ก่อน" พร้อมระบุว่า ขณะนี้ ส.ว.เพียงยื้อเวลาไว้ได้ร่วม 2 เดือนรอให้ กกต. รับรองผล ส.ส. จนครบก่อน ท่าทีจะชัดเจนยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม หาก ทุกฝ่ายยืนแข็งในท่าทีของตัวเอง คือ 310 จับมือกันมั่นแน่น 190 ก็ไม่แตกแถว และ 250 ก็ยืนกราน ดังนั้นทั้งสามพวกนี้เป็นนักเลงจริงกันแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อยู่ต่อ เป็นรัฐบาลรักษาการไม่มีกำหนดเวลา

"แต่มันจะมีนักเลงไม่จริง และนักเลงไม่จริงก็จะทำตัวเป็นนักเลงจริง ตอนพูดดีมาก จริงจัง แต่หลังฉากกะล่อน โดยการคิดทางการเมืองนั้น ไม่มีใครคิดถึงคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล แต่สังคมกลับไปเรียกร้องในสิ่งที่จากนักการเมืองที่ไม่มีกัน จึงให้ตามการเรียกร้องไม่ได้

นายจตุพร กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขารู้ เพียงแต่ใน 310 เสียงจะยึดมั่นคำสัญญา ไม่แหกไปจับมือกับอีกฝ่ายตั้งรัฐบาลหรือไม่ โดยปาดน้ำตาอ้างความจำเป็น ยิ่งคนที่โชว์เหนืออ้างสุภาพบุรุษทางการเมืองแล้ว คนนั้นตัวดีที่สุด ชอบทำให้ตายใจ และตอนนี้เสียง 310 เหมือนตกอยู่ในวงล้อม

พร่้อมทั้งย้ำว่า การเมืองขณะนี้ล้วนเป็นการแสดงหน้าฉากให้ดูดีกันทั้งนั้น แต่หลังฉากวิ่งวุ่นจับมือวนเวียนกันไปหมด ส่วนคนเป็นกองเชียร์พรรคก้าวไกลจะออกมาอย่างมากมายในวันที่พรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นแกนตั้งรัฐบาล

นอกจากนี้ ยังไม่รวมกลไกของ กกต.ในช่วงสองเดือนการตรวจสอบรับรอง ส.ส. ซึ่งจะเป็นตัวเร่งสถานการณ์ได้ แล้วยังอาจส่งบางเรื่องไปศาล รธน. พิจารณา โดยทั้งหมดเข้าใจว่า ให้เสร็จทันวันเลือกประธานสภา แล้วจะต่อกับการเลือกนายกฯ ในช่วงถัดกันไป

ดังนั้น ความวุ่นวายจึงหนีไม่พ้น เพราะทุกพรรคพยายามหนีจากการตกเป็นเป้าทางการเมืองของกระแสประชาชน เนื่องจากทุกพรรคเห็นแล้วว่า พรรคก้าวไกลไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ การคาดการ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะวางมือทางการเมือง ก็แสดงถึงการไม่ต้องการตกเป็นเป้าในช่วงการตั้งรัฐบาล โดยปล่อยให้พรรคก้าวไกลเผชิญปัญหากันก่อนและตามลำพัง

นอกจากนี้ เป้าต่อไปต้องพิจารณา กกต. แล้วพรรคการเมืองทั้งหลาย ยกเว้นพรรคก้าวไกล ที่จะเดินสายคุยการตั้งรัฐบาลกันหมด ดังนั้น ตนจึงขอให้ประชาชนเปิดใจ กล้าฟัง โดยตนเชื่อว่า นายพิธา ตั้งรัฐบาล 310 เสียงไม่ได้

"ใน 310 เสียงนั้น ผมอยากบอกคุณพิธา ว่า เอ็มโอยู หรือสัญญาประชาคมนั้น ให้ลงบันทึก ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น 310 เสียงใน 6 พรรคเราจะไม่ทิ้งกัน แล้วนำบันทึกมาแถลงต่อสาธารณะให้ทั้ง 6 พรรคลงนามเป็นคำมั่นว่าจะไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"

นายจตุพร มั่นใจว่า ถ้าไม่มีภาพทั้ง 6 พรรคมาแถลงร่วมกันแล้ว จะมีคนเลี้ยวหนีแน่นอน และได้เตรียมการเลี้ยวแล้ว เพียงรอให้สุดทางก่อนในช่วงเวลา 2 เดือนนี้ ดังนั้น ถ้าต้องการจะมัดรวมก็ต้องแถลงร่วมกันเสีย

“ถ้าไม่เป็นสัญญาประชาคม เชื่อผม อยู่ไม่ครบแน่ ไม่ได้ยุแยงตะแคงรั่ว อย่างไรก็ไป ใครไม่เซ็นให้สังเกตไว้เลย หากทำเป็นสัญญาประชาชคมมาร่วมลงนามต่อสาธารณะแล้วคุณพิธาจะปลอดภัยใน 6 พรรคการเมือง แล้วมีเวลาไปต่อสู่เรื่องอื่นๆ อีกต่อไป มิฉะนั้น จะมีพวกรับปากแล้วเบี้ยว นัดแล้วไม่มาได้”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top