‘ประสิทธิ์ชัย’ ฟาด ‘พิธา’ พลิกลิ้นปมกัญชา ชี้!! หลังๆ ชักแนบแน่นกับ ‘ชูวิทย์’ หลายเรื่อง

แกนนำเครือข่ายกัญชาฯ ฟาด ‘พิธา’ ไม่เหมาะเป็นผู้นำ ไม่ใช่นักประชาธิปไตย คบ ‘ชูวิทย์’ ผลักกัญชาไปเป็นเกมการเมือง ทั้งที่เคยสนับสนุนถึงขั้นรับร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ จากประชาชน และให้ตนเป็นกรรมาธิการฯ ในนามของพรรค แต่กลับเปลี่ยนจุดยืน ถึงขั้นฟ้องศาลให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด หวังเอาคืนหลัง พ.ร.บ.สุราฯ ไม่ผ่านสภาฯ เตือน!! แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะเอาแบบนี้ เพราะอีกไม่กี่วันกระแสเลือกตั้งจะจบลง จะได้เห็นความจริง

(5 พ.ค. 66) นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล แกนนำเครือข่ายประชาชนเพื่อการมีกฎหมายควบคุมกัญชาในประเทศไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘ประสิทธิ์ชัย หนูนวล’ สื่อสารถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า…

พิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อไหร่คุณจะพูดเรื่องกัญชาให้ตรงกันเสียที คนที่เป็นนักประชาธิปไตยต้องพูดความจริงและพูดให้ตรงกันในทุกวาระ ไม่ใช่พูดตอนนี้อย่างหนึ่ง พูดตอนอื่นก็พูดอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ลักษณะของผู้นำ ตนเข้าใจว่า พรรคก้าวไกล มีกระแสดี เหตุเพราะมีความชัดเจน และคนรุ่นใหม่ชอบความชัดเจน 

“ผมเจ็บปวดที่สุด วันที่พรรคก้าวไกลยื่นฟ้องศาลให้กัญชากลับไปสู่ยาเสพติด ขอย้ำว่า มันคือการฟ้องศาล พรรคก้าวไกลไม่ได้ทำแบบพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ หรือ ประชาชาติ ที่แสดงความเห็นกัญชาในเชิงนโยบายของพรรค แต่พรรคก้าวไกล เชื่อมั่นยิ่งกว่าว่ากัญชาต้องเป็นยาเสพติด นั่นคือการดำเนินการมากกว่าพรรคอื่น คือ ดำเนินการฟ้องศาลให้เป็นยาเสพติด นี่คือจุดยืนของพรรคก้าวไกล” 

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวถึงเหตุผล ทำไมภาคประชาชนถึงเจ็บปวดกับพรรคก้าวไกล กรณีกัญชา ว่า ตนเป็นกรรมาธิการ (กมธ.) พ.ร.บ.กัญชาฯ ในนามพรรคก้าวไกล ร่วมกับนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคก้าวไกล เหตุที่ตนได้เป็น กมธ.ในนามพรรคก้าวไกล ทั้งที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ก็เพราะว่า ภาคประชาชนได้ยื่น ร่าง พ.ร.บ.กัญชา ให้พรรคก้าวไกล รับไปดำเนินการต่อในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

“ตรงนี้แหละครับ คือ ประเด็นของความเจ็บปวด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นลองนึกตามนะครับ หากมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ประกาศอยู่เคียงข้างประชาชนมาตลอด และยินดียิ่งที่ภาคประชาชนจัดทำร่าง พ.ร.บ.กัญชา ยื่นให้กับพรรค เพราะพรรคเห็นด้วยกับหลักการที่ภาคประชาชนนำเสนอ พรรคจึงอาสานำไปดำเนินการต่อ อยู่มาวันหนึ่ง พรรคก้าวไกลประกาศว่าจะเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด และไม่ได้ประกาศเป็นแค่นโยบายพรรค แต่ยังเอากัญชาไปฟ้องศาลให้กลับไปสู่ยาเสพติดอีกด้วย

“คำถามที่สำคัญคือ หลักการ พ.ร.บ.กัญชาของประชาชน ถูกพรรคหยิบทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่ของ กมธ.พ.ร.บ.กัญชา ทำไมพรรคก้าวไกลไม่นำเสนออะไรเลย ว่าค้นพบข้อเท็จจริงใหม่ หรือ พรรคมีมติใหม่ ต้องเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด กี่เดือนที่ทำงานกันมาแต่พรรคไม่พูดเรื่องนี้เลย แถมยังมีข้อเสนอที่ก้าวหน้าไปอีก” 

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวอีกว่า เพื่อให้ชัดขึ้น ทุกคนต้องกลับไปฟังการให้สัมภาษณ์ของพิธา เรื่องกัญชา สมัยยังมีพรรคอนาคตใหม่ แล้วไปดูจุดยืนการรับร่าง พ.ร.บ.กัญชาของภาคประชาชน แล้วมาดูพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลในวันนี้ คำพูดและจุดยืนของเขาเกี่ยวกับกัญชาตรงกันหรือไม่ ดังนั้น จึงมีคำถามถึง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่ผู้นำที่คนรุ่นใหม่สนับสนุน

1.) จุดยืนของคุณเรื่องกัญชา เปลี่ยนไปตามกระแสและผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ ตลอดระยะเวลาพวกคุณไม่เคยพูดถึงกัญชาในแง่ไม่ดีเลย จนกระทั่ง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร พวกคุณจึงเริ่มมีท่าทีเกี่ยวกับกัญชาเปลี่ยนไป คิดเอาคืนทางการเมืองกับพรรค ซึ่งคาดหวังว่าจะยกมือสนับสนุน พ.ร.บ.สุรา แต่แล้วพรรคนั้นไม่ยกมือให้ในนาทีสุดท้ายใช่หรือไม่

ความพลาดหวังครั้งนี้ ทำให้พวกคุณลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง ที่นักการเมืองรุ่นก่อนเขานิยมทำกัน คือ การเอาคืนทางการเมือง และการเอาคืนนี้ต้องเลือกประเด็นที่สังคมอ่อนไหวอยู่แล้ว คือเรื่องกัญชา (อาจเพราะพวกคุณดูโพลสำรวจแล้วพบว่า จากการสำรวจคนยังกลัวกัญชา จึงใช้กระแสความกลัวนี้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อทำลายพรรคนั้น และกัญชาเริ่มกลายเป็นเหยื่อ) โดยหลังจาก พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าไม่ผ่านสภาฯ ปฏิบัติการเกี่ยวกับกัญชาของพรรคคุณเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนับแต่บัดนั้น คำถามคือ พวกคุณเปลี่ยนเรื่องกัญชาจากหน้ามือเป็นหลังเพราะอะไร

2.) คำถามที่สำคัญคือ มีเหตุผลอะไรที่พรรคก้าวไกลจะเอากัญชากลับไปสู่ยาเสพติด ประเด็นนี้ต้องพูดกันด้วยข้อเท็จจริง และเพื่อเป็นการเทียบเคียงจุดยืนของพรรคนี้ จึงต้องยกอ้าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้ามาเปรียบเทียบ ถ้าพรรคใช้หลักการตัดสินเรื่องนี้ด้วยข้อเท็จจริง พรรคต้องแสดงข้อเท็จจริงและงานวิจัยที่มี เพื่อเปรียบเทียบโทษระหว่างกัญชากับสุราให้ชัดเจน ย้ำว่าต้องเป็นงานวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ข้อมูลจากความรู้สึก สุราทำให้เกิดอุบัติเหตุอย่างไร ทำลายสุขภาพอะไรบ้าง ประจักษ์กันมานานแล้วมิใช่หรือ ส่วนกัญชานั้นมีงานวิจัยสนับสนุนทั่วโลกนับ 100 สถาบัน ซึ่งพูดถึงกัญชาในฐานะยารักษา พรรคต้องเอาข้อมูลวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบมาแสดงโดยด่วน ถ้าจะแสดงความจริงใจว่าไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนเรื่องกัญชาเพราะการเมือง

3.) มันตลกกับตรรกกะที่บอกว่า ‘เอากลับไปเป็นยาเสพติดก่อน แล้วค่อยเปิดให้ประชาชนเข้าถึง’ มันเหมือนการอธิบายว่า ‘ปลูกมะเขือแล้วจะได้กินฟักทอง’ ถ้าแบบนั้น ฝิ่น มอฟีน เห็ดเมา ซึ่งถูกจัดเป็นยาเสพติดก็ต้องมีโอกาสเอาออกมาให้ประชาชนเข้าถึงได้ด้วย เพราะอยู่ในกฎหมายเดียวกัน การอธิบายแบบนี้มันล่องลอยไร้จุดยืน เพราะการตัดสินใจครั้งแรก ไม่ได้ตัดสินใจบนข้อเท็จจริง มันจะทำแบบที่พรรคก้าวไกลพูดได้ยากมาก ถ้าทำได้มันจะเป็นกติกาแบบการผลิตเบียร์ คือ เมื่อกัญชาไปเป็นยาเสพติดแล้ว กติกาที่ประชาชนจะใช้ได้นั้นแคบมาก กลายเป็นว่าคนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ทำกัญชาได้ ส่วนประชาชนจะเป็นเพียงผู้บริโภค ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึง ธุรกิจเบียร์ ที่พรรคก้าวไกลต่อสู้อยู่ พวกคุณเจ็บปวดเรื่องเบียร์แต่เหยียบกัญชา มันเพราะอะไร

ตอนที่พรรคเปลี่ยนจุดยืนเรื่องกัญชา จาก พ.ร.บ.ประชาชนที่ต้องการให้คนเข้าถึงกัญชาได้ ภายใต้การควบคุมโดยกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ไปเป็นการนำกัญชากลับไปสู่ยาเสพติด พรรคไม่ได้หารือกับขบวนการประชาชนเลย นั่นเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคไม่ได้สนใจเสียงของประชาชน หากพรรคคิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว การอธิบายกับภาคประชาชนเกิดขึ้นตอนหลังจากที่พรรคไปฟ้องศาลให้กัญชากลับสู่ยาเสพติดแล้ว มันคือการชี้แจงให้ภาคประชาชนยอมรับกับแนวทางใหม่ของพรรค ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางเดิมอย่างสิ้นเชิง

“จะอะไรหนักหนากับนโยบายเดียว เราต้องมองภาพรวมของประเทศ แค่เรื่องกัญชาเรื่องเดียวมันจะอะไรหนักหนา สำหรับผมแล้ว เมื่อเรื่องนี้ละเลยหลักการและข้อเท็จจริง มันจะเกิดความเสียหาย ผมไปศึกษานโยบายประมงแล้วก็พบว่า ถ้าบังคับใช้จะก่อความเสียหายต่อทะเลไทยภายใน 5 ปี เพราะมันไม่ได้กำหนดจากข้อเท็จจริง

“หลัง ๆ คนของพรรคพยายามอธิบายว่า ประชาชนต้องปลูกได้ ต้องปกป้องนักปลูกไทยฯ เอามาใช้สันทนาการได้... เอาแบบนี้นะครับ” 

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า กัญชาเพิ่งออกจากคุกมาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ปีที่แล้ว โดยมันถูกขังคุกจากการผลักดันของกลุ่มอิทธิพลในสหรัฐอเมริกามากว่า 40 ปี แล้วหน่วยงานรัฐไทยก็ช่วยกันเอากัญชาออกมาให้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน โดยบอกว่า แม้ว่าจะอยู่ร่วมกับผู้คนก็ต้องมีกฎหมายควบคุม โดยใช้กฎหมายระดับ พ.ร.บ. เพื่อให้กัญชาใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติได้ นี่คือแนวทางของการเคารพสิทธิ พรรคก้าวไกลกลับมีจุดยืนว่า แม้มันออกจากคุกมาแล้ว ก็ต้องเอาไปขังคุกต่อ เมื่อมันอยู่ในคุกแล้ว เราค่อยมาพูดถึงสิทธิของประชาชนในการใช้กัญชา แบบนี้คือ วิธีคิดของนักประชาธิปไตยเหรอครับ หัวใจของความผิดพลาดของพรรคก้าวไกลเรื่องกัญชา คือ ไม่ได้ตัดสินจากข้อเท็จจริง แต่ตัดสินจากภาวะทางการเมือง

“ที่พูดกันเรื่องกัญชาเสรีนั้น เป็นคำพูดทางการเมืองใช่ไหมครับคุณพิธา เพราะคุณรู้ดีว่า ถ้า พ.ร.บ.ผ่าน มันจะเป็นกฎหมายหลักที่ใช้บังคับ แต่กลไก ส.ส.ในสภาฯ ช่วยกันเล่นเกมจน พ.ร.บ.ไม่ผ่านสภาฯ และจุดนี้แหละที่ ส.ส.ทุกพรรคต้องการ เพราะเป็นจุดเปราะบางในการทำลายพรรคคู่แข่งได้เป็นอย่างดี และเหตุการณ์เหล่านี้ก็เกิดขึ้นตลอดมา จนกัญชากลายเป็นแพะรับบาป

“ฝากไว้ให้คิดครับ พิธา หวังว่าทุกครั้งที่คุณสูบกัญชา คุณจะสำนึกถึงข้อเท็จจริงของมัน ว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ชูวิทย์ปั่น แล้วคุณก็รับลูกกันอย่างดี พรรคคุณกับคนแบบชูวิทย์หลังๆ นี้แนบแน่นกันหลายเรื่องนะครับ แน่ใจแล้วใช่ไหมครับที่ทำแบบนี้ พรรคก้าวไกลแน่ใจแล้วใช่ไหมครับที่จะแนบแน่นกับชูวิทย์ อีกไม่กี่วันกระแสการเลือกตั้งจะจบ โลกของความจริงจะเข้ามาเยือนแทนกระแสแล้วนะครับ แน่ใจแล้วใช่ไหมครับว่าจะเอาแบบนี้” นายประสิทธิ์ชัย กล่าวย้ำ 


ที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9660000041476