Saturday, 11 May 2024
พิธา

ตี๊ต่าง!! ‘ปิยบุตร’ VS ‘พิธา’ ซัดกันไปมา ยังกะ ‘จูเลียส ซีซาร์’ VS ‘บรูตุส’

ต่อกรณีของ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดวิวาทะกับ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผ่านสมรภูมิเฟซบุ๊ก โดยมีผู้สันทัดกรณีและแฟนคลับของแต่ละฝ่ายเฝ้าติดตามด้วยความระทึกในหัวใจกับศึกสายเลือดครั้งนี้เป็นจำนวนมาก เพราะแม้ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ตัวพ่อลงทุนออกโรงหมายหย่าศึกด้วยตนเองแล้ว แต่ดูเหมือนทั้งสองยังไร้ทีท่าจะรามือกันแต่อย่างใด

ผู้ชมริงไซต์บางคนบอกนึกถึง ‘จูเลียส ซีซาร์’ (Julius Caesar) รัฐบุรุษแห่งกรุงโรม กับ ‘มาร์คุส ยูนุส บรูตุส’ (Marcus Junius Brutus) หรือ ‘บรูตุส’ นักการเมืองวัยห้าวชาวโรมัน สองตัวละครระดับตำนาน ‘แทงข้างหลัง’ ที่โลกจารึก

ฝ่ายแรก คือ บุรุษผู้กอบกู้และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่โรม แม้ช่วงหลังของการครองบัลลังก์จะถูกมองว่า “...เขาไม่สนใจจารีตเก่า ไม่แม้แต่จะเหลียวมองกลุ่มขั้วอำนาจการเมืองที่ยังคงอยากรักษาสถานะทางสังคมของพวกเขาเอาไว้ ในยามที่กรุงโรมกำลังอยู่ในสถานการณ์ความวุ่นวาย เขากลับเป็นอำนาจที่ไม่อาจโค่นล้มได้”

ขณะที่คนหลังเป็นนักการเมืองหนุ่ม อนาคตไกล ผู้มีอุดมการณ์ต่างจากซีซาร์คนละขั้ว แต่ยังคงได้รับความเมตตาตลอด เพียงเพราะชื่อ ‘เซอร์วิเลีย’ (Servilia) นางผู้เป็นที่โปรดปรานของซีซาร์ และก็คือมารดาของบรูตุส ดังนั้นสายตาที่มองมายังบรูตุส จึงไม่ต่างจากบิดามองลูกชายตน

เรื่องนี้จบอย่างไรหลายคนทราบดี - ส่วนคนไม่รู้ก็ไปหาอ่านเอาเอง

แต่ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ที่ว่า ‘พิธา กับ ปิยบุตร’ หรือ ‘บรูตุส กับ ซีซาร์’ เพราะเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมา ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ต้องกล่าวโทษอีกฝ่ายว่า คือ ‘ผู้ผิด’ เสมอ ดังที่ ปิยบุตรพูด (เขียน) ถามถึงพิธาก่อนว่า “...ผู้นำพรรคก้าวไกลมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะชนะในเขตเลือกตั้งได้หรือไม่?”

ขณะที่พิธาโต้กลับตรง ๆ ว่า ปิยบุตรต้อง “เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” - “เลิกทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ” เสียที

สองคนมองเหมือนว่าตนคือซีซาร์ผู้ถูกแทงกลางหลังโดยคมมีดของอีกฝ่าย

และทั้งปิยบุตรกับพิธาก็ถูกมองว่าคือ ‘บรูตุส’ ผ่านสายตาอีกฝั่งเช่นกัน

แต่หากพิเคราะห์ดี ๆ แล้ว เนื้อหาโพสต์เฟซบุ๊กซึ่งตอบโต้กันอย่างเปิดเผยคราวนี้ กลับแทบไม่ต่างจากการชี้หน้าด่ากันกลางตลาด หากเพียงตัดรูปประโยคสวยหรูทว่าแสนรุงรังออกทิ้ง เรื่องทั้งมวลจะเหลือแค่แกนหลักของเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘สาวไส้’ ของกันและกันออกมา ‘กอง’ ต่อหน้าสาธารณชนรับรู้ ส่วนคนดู (กา) จะกิน ปรบมือ เป่าปาก โห่ หรือฮา ก็แล้วแต่วิจารณญาณของใครของมัน

ศึกนี้มีที่มา!! หลัง 2 ตัวตึงก้าวไกลใส่กันยับ จนเจ้าของวิกต้องสั่งระงับ 'ห้ามปูด-ห้ามกัด'

ตลอด 2 วันมานี้ กรณีพิพาทระหว่าง 'พิธา-ปิยบุตร' ดุเดือดยิ่งกว่ามวยศึกวันทรงชัย ซัดดุเด็ดเผ็ดพริกยกสวน เมื่อตัวตึงใต้รั้วก้าวไกลอย่างพิธากับปิยบุตรกร้าวใส่กันอย่างหนัก แม้สุดท้ายวันนี้จะจูบปากกันเป็นที่เรียบร้อย

เรื่องนี้อยากขยาย...

บรรดาคนรักพรรคก้าวไกลตาปริบๆ เมื่อท่านหัวหน้าพรรค พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กร้าวใส่ท่าน ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล เต็มคาราเบล ว่าให้เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำได้แล้ว ส่วนปิยบุตรก็ฟาดกลับด้วยความแรงพอกันว่า พิธานั้นเอาดีใส่ตัว แต่เอาชั่วใส่ปิยบุตร แถมพูดขาวดำเป็นดำ พูดดำเป็นขาว

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ปิยบุตรเปิดเกมว่า กระแสพรรคก้าวไกลไม่ไกลไปกว่านี้ มีแต่จะเกาะเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เพราะยุทธศาสตร์การนำพรรคในปัจจุบัน คิดว่าเรื่องนี้น่าจะทำให้พิธาคันคะเยอจนฟาดใส่ไม่ยั้ง

แต่พิธาก็สมฐานะนายโรงลิเก ที่ก่อนจะด่าต้องโหมโรงด้วยคำหวานโอ้โลม ท้าวความหลังครั้งหวานชื่นเราสามคนที่มี ธนาธร, ปิยบุตร และ พิธา เป็นแกนนำพรรคอนาคตใหม่ พอพูดหวานจบ ก็ตบปากใครบางคนทันทีว่า ในฐานะผู้นำพรรคย่อมรับการวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตัวเองโดนมาตลอดสามปีที่เป็นหัวหน้าพรรค เข้าใจว่านี่เป็นอิสรภาพในการแสดงออก แล้วลำเลิกว่า ตนมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคในวันที่พรรคไม่มีใคร

จากนั้นร่ายยาวว่าปิยบุตรต้องเลิกทำตัวมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ และต้องทำตัวเป็นมืออาชีพ 

ตรงนี้ป้าบเข้าให้!! เหมือนกระทืบกลางใจท่าน ดร. เพราะการถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นมืออาชีพ คือสิ่งที่ ปิยบุตรทนไม่ได้ มันเป็นการกระแทกจุดอ่อนแบบเต็มทีน ซ้ำพิธา ก็ยังย้ำอีกว่า ปิยบุตรควรทำตามที่ธนาธรเคยขอไว้ ฮั่นแน่...มีกั๊ก มีความลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพราะประโยคนี้แปลได้ว่า มีเรื่องลับอันเป็นพันธะสัญญาของธนาธร ปิยบุตร และพิธา ที่คนนอกไม่รู้นั่นเอง

พิธาปิดท้ายฝากถึงปิยบุตรว่า ขอให้ตนเองมีสมาธิในการทำงานให้พรรค แปลไทยเป็นไทยคือ ไม่เผือกนะครับ ขอให้พอได้แล้ว ชะเอิงเอิงเอย บัดนั้น เชิด!!

คาดว่าปิยบุตรอ่านเจอก็หัวร้อน เพราะพิธาแท็กไปหา เลยตะบึงแล่นเข้ามาตอบในเพจพิธาแบบจัดเต็ม 

แน่นอนว่าปิยบุตรเมนต์ยาวเหยียดตามสไตล์ โดยมีใจความเด็ดกล่าวหาพิธาปังๆ ว่า กำลังเอาดีเข้าตัว แต่เอาชั่วเข้าปิยบุตร แล้วร่ายยาวด่ากระทบจิกกัดตามธรรมชาตินิสัยของปิยบุตรเหมือนผ่านมา ชื่อหลวงประดิษฐ์วาทกรรมไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะจ๊ะ     

แต่สำนวนโวหารคุณหลวงประดิษฐ์วาทกรรมไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ไม่เชื่อดูที่ปิยบุตรฟาดพิธากลับสิว่า ใครกันแน่ที่จับเสือมือเปล่า ใครกันแน่ที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ นั่นไง...มาแล้วตั้งสองสำนวน นี่ขนาดยังไม่เขียนชี้แจงนะ

ยี่ห้อปิยบุตรย่อมสุดฝีทีนเสมอ จิกกัดแซะทุกประโยค เช่น จิกพิธาว่าใจเสาะ พิธาน่ารังเกียจที่เขียนดำเป็นขาวขาวเป็นดำ กล่าวหาปิยบุตรว่าเป็นคนทำลายพรรค  แต่ตัวเองเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมากอบกู้พรรค อะไรประมาณนั้น
 
เรื่องนี้ร้อนถึงทนายหน้าหออย่างโรม อุตส่าห์ลงจากเหล่าเต๊งมาปกป้องลูกพี่ปิยบุตร ด้วยการพูดหล่อออกสื่อ แก้ตัวแทนว่า พรรคเราไม่มีความขัดแย้งกัน ไปตัดแว่นใหม่เถอะ โรม ไปห้างแว่นท็อป (บู้ต) เจริญก็ได้ มองลงมาจากดาวอังคารยังเห็นรอยร้าวในพรรคเลย 

นี่ยังไม่นับบรรดาคนเทพรรคก้าวไกลที่ออกมาแฉรัว ๆ ก่อนหน้านี้อีกเพียบ เพราะวันนี้ระดับตัวตึงพรรคชี้หน้าด่ากันแบบไม่เผาผี ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าไม่มีความขัดแย้ง ว่าง ๆ โทรหาคริส ตัวท็อปอีกรายที่เพิ่งเทก้าวไกลบ้างเถอะ จะได้เลิกเพ้อเจ้อ เพราะพอเกิดปมขัดแย้ง คริส ยังออกมาแฉต่อเลยว่าวัฒนธรรมการซุกปัญหาใต้พรม ไม่ใช่ส่วนผสมของประชาธิปไตย วะว้าว...เท่านี้ก็เปิดไพ่ชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในพรรค

จริงๆ ปมขัดแย้งคุกรุ่นมาตั้งแต่ปีกลาย ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ฝีเพิ่งมาแตกเอาตอนนี้เอง...อย่างเมื่อกลางปี 2022 ปิยบุตร ประกาศปังดังลั่นว่า จะเขียนบทความยาวเป็นซีรีส์ที่เป็นข้อเสนอแนะไปถึงพรรคก้าวไกล...พอปลายปีก็เขียนตำหนิพรรคก้าวไกลว่า ไม่จริงใจในการแก้มาตรา 112 ตกลงว่าพรรคอยากแก้ ม.112 อย่างแท้จริงหรือว่าแค่ยกประเด็นมาเพื่อหาเสียงเท่านั้น...ตอนสิ้นปี ปิยบุตรเขียนบอกโลกว่า จากนี้ไปจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลแล้ว เพราะอึดอัด พรรคนี้ไม่เปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้ใช้สมอง แล้วย้ำว่าระวังคนจะเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย 

‘พิธา’ ยัน!! เคลียร์ใจ ‘ปิยบุตร’ ทำงานร่วมกันได้ ปัด!! กุเรื่องแกล้งเกาเหลา สร้างกระแสก่อนเลือกตั้ง

(23 ก.พ. 66) ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุการเกิดวิวาทะกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าว่า สั้นๆ คือการถอยเพื่อที่จะก้าวกระโดด และมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน แต่เมื่อได้ปรับความเข้าใจกันแล้วก็สามารถทำให้ทำงานร่วมกันต่อไปได้ มั่นใจว่าเวลาที่เหลือสามารถสู้ศึกการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่ และหวังว่าเราสามารถทำงานไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ แน่นอนว่าในเรื่องของการเมืองย่อมมีอะไรที่มองไม่ตรงกันบ้าง แต่ในที่สุดเราก็สามารถปรับความเข้าใจกันได้

เมื่อถามว่า ข้อความที่นายปิยบุตรโพสต์ถึงนายพิธา ค่อนข้างที่จะรุนแรง ได้มีการชี้แจงให้นายปิยบุตรฟังว่าอย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า เป็นความเข้าใจผิด ที่เมื่อได้พูดคุยกันแล้วเขาก็เข้าใจ สิ่งที่ตนโพสต์นายปิยบุตรก็เข้าใจ ตอนนี้ได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรที่ค้างคาใจกัน และย้ำว่าสามารถที่จะทำงานต่อไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า เรื่องสำคัญเป็นเรื่องความคาดหวังของนายปิยบุตรที่อาจจะไม่สัมพันธ์กับสิ่งที่พรรค ก.ก. เป็นอยู่ตอนนี้ถ้าเทียบกับสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของนายปิยบุตรอย่างเดียว เมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไป คณะกรรมการบริหารพรรคก็ถูกตัดสิทธิ์ไป จึงทำให้ไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากเน้นได้ และกฎหมายก็ห้ามไม่ให้มีการเข้ามาครอบงำพรรค ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะไม่มีความเข้าใจกันบ้าง แต่เราก็ได้ปรับความเข้าใจกัน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะมีผลกระทบกับสนามเลือกตั้ง นายพิธา กล่าวว่า เป็นการถอยที่ทำให้เราก้าวกระโดดต่อไป ทั้งทีมงานพรรคที่ได้เห็นตนและนายปิยบุตร ปรับความเข้าใจกันแล้ว ความฮึกเหิมเมื่อคืนนี้ (22 ก.พ.) ก็เทียบเท่ากับว่าสปิริตของพรรคอนาคตใหม่กลับคืนมา ฉะนั้น แม้อาจจะมีกรณีที่เหมือนจะมีการขัดขากันบ้าง แต่ยืนยันว่าเราไม่มีการขัดขากัน แต่เป็นการถอยหลังกันคนละก้าว และเวลาที่เหลืออยู่ตอนนี้ยันทันที่จะเรียกความเชื่อมั่นใจกลับคืนมา ขอบคุณทุกท่านที่เป็นตัวเชื่อมให้ความเป็นปึกแผ่นของพรรค ก.ก. กลับคืนมา และทำให้เราสองคนได้พูดคุยกัน ซึ่งตัวเชื่อมที่สำคัญคือประชาชน และสมาชิกพรรคที่บอกว่าไม่อยากเห็นความขัดแย้งนี้ ปรับความเข้าใจกันเถอะ มั่นใจว่าเขาก็คงบอกนายปิยบุตรเช่นกัน ฉะนั้น ต้องขอขอบคุณทุกคน

เมื่อถามย้ำว่า ในส่วนนี้จะเป็นพลังในการสู้ศึกเลือกตั้งได้อย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวเพียงสั้นๆว่า “จากสิ่งที่เกิดขึ้นยืนยันว่าตอนนี้สปิริตของพรรคอนาคตใหม่กลับคืนมาครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมเมื่อปะทุออกมา และได้ทำความเข้าใจกัน ได้นึกถึงว่าเรามาเป็นนักการเมือง และตั้งพรรคขึ้นมาทำไม ก็ทำให้เรากลับมามีพลังมากขึ้น และเราจะใช้พลังนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งให้ได้”

เมื่อถามต่อว่า ท้อหรือไม่เพราะคนใกล้ชิดมองตัวนายพิธาในด้านลบ นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีเหนื่อย ไม่มีท้อ เราตั้งใจที่จะไปสู่เป้าหมายเดียวกันให้ได้ และเราก็ลงพื้นที่อย่างหนัก รวมถึงได้การตอบรับจากการลงพื้นที่อย่างดี ซึ่งหากเราทำงานอย่างมีสมาธิที่สุด ในช่วงโค้งสุดท้าย ก็จะเป็นประโยชน์ที่สุดกับการทำงานพรรค ทั้งนี้ สิ่งที่แตกต่างไปจากอดีตคือการทำงานที่เข้มข้นขึ้น ก้าวไกลได้มากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น แม้จะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันอีกในอนาคต เราก็จะได้พูดคุยกันอย่างฉันท์มิตร โดยที่ไม่ต้องผ่านสื่อหรือโซเชียลมีเดีย และนายปิยบุตรไม่ได้มาครอบงำตน แต่เมื่อมีความไม่เข้าใจตรงกัน ก็จะพูดคุยกันในฐานะเพื่อนร่วมงานเก่า

เมื่อถามถึงประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกันคือประเด็นอะไร นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องของการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ มารวมกัน เช่นการลงพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น

เมื่อถามว่า ความขัดแย้งครั้งนี้เป็นการเรียกเรตติ้งให้พรรคหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ พรรคเรามีวุฒิภาวะพอ ในการที่จะหาเสียง ในการทำงาน บางครั้งเมื่อมีความไม่เข้าใจกัน และโอกาสในการที่จะปรับความเข้าใจกันน้อย มีการสื่อสารไปทางโซเชียล ตรงนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ยืนยันกับพี่น้องประชาชน ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก และคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็จะมีสมาธิในการทำงานการเมืองต่อไป ไม่มีปัญหาอะไร ”

เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะได้เห็นนายปิยบุตรและนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมลงพื้นที่ด้วยหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า คงต้องดู เพราะตามกฎหมายสามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ แต่ที่แน่ ๆ ทั้งสองพร้อมสนับสนุนพรรค ก.ก. ตามที่กฎหมายกำหนดได้ ถามต่อว่า หากเป็นเช่นนี้จะหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาว่าครอบงำพรรคได้อย่างไร นายพิธา กล่าวว่า เราสามารถแจ้งชื่อกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เป็นผู้ช่วยหาเสียงได้ เหมือนตอนที่เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่นายธนาธร ขึ้นเวทีปราศรัยให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.

เมื่อถามว่า บทบาทและอิทธิพลของแกนนำพรรคอนาคตใหม่และพรรคก.ก. มีมากแค่ไหน นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องของอุดมการณ์และแนวคิด ที่แบ่งปันกันมาตั้งแต่ร่วมตั้งอนาคตใหม่ แต่เรื่องของการบริหารและการคัดเลือกผู้สมัครส.ส. เป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ เรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเราเจอมาตลอด 3 ปี และการเป็นบุคคลสาธารณะคงจะหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้

ขณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ในกรณีเดียวกันว่า เกิดจากความไม่เข้าใจกัน และความเห็นที่แตกต่างกันในการทำงานหลายเรื่อง เพราะหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบนายปิยบุตร ก็ไม่ได้เข้าไปร่วมขับเคลื่อนพรรคก้าวไกล ไม่ได้ทำงานในสภา เกิดระยะห่าง ทำให้ความเห็นไม่ตรงกัน จึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดความไม่เข้าใจกัน และความขัดแย้งตามมา แต่มองว่าเป็นเรื่องดี เพราะทั้งคู่ก็จะได้เรียนรู้และเติบโตกับสถานการณ์ ซึ่งทั้งคู่ก็มีวุฒิภาวะเพียงพอ ที่จะปรับความเข้าใจกันและถอยกันคนละก้าว และการได้มานั่งคุยกัน และเห็นผลประโยชน์ของพรรคมากกว่าอัตรา ก็จะทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจ ทำให้ผู้สนับสนุน คนที่เชียร์พรรค ซึ่งเราก็ดีใจที่ทั้ง 2 ท่านซึ่งเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีความสำคัญต่อการผลักดันประชาธิปไตยในประเทศนี้ กลับมาจากมือทำงานร่วมกันเดินหน้าก้าวไปอย่างมีพลัง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ นายปิยบุตร จะเดินทางไปพบภรรยาที่ต่างประเทศ ถึงไม่แน่ใจว่าจะกลับมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรคก้าวไกลทันหรือไม่

เมื่อถามถึงความไม่เข้าใจกันระหว่างทั้ง 2 คนเป็นเรื่องอะไร นายธนาธร กล่าวว่า ขอให้ไปสอบถามนายปิยบุตรและนายพิธาเอง ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของมิติการทำงาน ความคิดความอ่านของสถานการณ์​บ้านเมืองที่ไม่เข้าใจกัน

เมื่อถามว่าที่ทั้ง 2 คนดีกันได้เพราะ นายธนาธร เข้าไปเคลียร์ใจ นายธนาธรยิ้มและยักคิ้ว พร้อมกล่าวว่า ไม่ใช่ ตนไปร้องเพลง

ลองกา 'ก้าวไกล' ‘พิธา’ มั่นใจ ก้าวไกล 10 คน 10 เขต พลิกเมืองคอน เปลี่ยน 'นครศรีฯ' จากเมืองรอง สู่ เมือง 'ต้องลอง'

ชิมโกปี้ ไม่มีขมปี๋ เพราะวงน้ำชาก้าวไกลสุดคึกคัก พิธา ศิริกัญญา เยือนเมืองคอน ตอบทุกคำถามคาใจ ชูแก้หนี้เกษตร กระจายอำนาจสร้างนครศรีธรรมราช ให้กลายเป็นเมืองที่ 'ต้องลอง'

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ควง ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค หวังปักธงก้าวไกลทั้งจังหวัด โดยเปิดวงน้ำชา ณ ร้านโกปิ๊ ซึมซับบรรยากาศและวัฒนธรรมการถกเถียงแลกเปลี่ยนทางการเมือง กลางเมืองคอน นครศรีธรรมราช พร้อมด้วย ปกรณ์ อารีย์กุล ว่าที่ผู้สมัครส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 1 จากพรรคก้าวไกล ร่วมเสวนาพบปะพี่น้องประชาชนด้วยกัน

พิธา ได้กล่าวกับพี่น้องประชาชนที่มาร่วมแลกเปลี่ยนว่าต้องการเห็นนครศรีธรรมราช ที่เป็น 'เมืองรอง' ให้กลายเป็นเมืองที่ต้องมา 'ลอง' ชี้เป็นเมืองที่มีครบทั้ง 3 ธรรม ทั้งธรรมะ ธรรมชาติ และธรรมดา เป็นเมืองที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองในอดีต สถานที่ทางประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่สมบูรณ์ จึงคิดว่าสามารถยกระดับจังหวัดนครศรีธรรมราชให้ดีกว่านี้ได้ พร้อมประกาศว่ามั่นใจในตัวผู้สมัครทั้ง 10 คน 10 เขต ที่พรรคก้าวไกลส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ และเชื่อจะสามารถเปลี่ยนเมืองคอนให้ดีได้กว่านี้ จากนั้นมีการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนสอบถาม โดยคำถามส่วนใหญ่เป็นเรื่องของปัญหาหนี้สิน ที่ดินทำกิน และการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น

พิธา เริ่มต้นตอบคำถามถึงเรื่องการกระจายอำนาจปลดล็อกท้องถิ่น พร้อมเน้นย้ำว่า ต้องกระจายทั้งงบประมาณและบุคลากร ในด้านของ พ.ร.บ. ต้องเพิ่มงบประมาณ อิสระในการตรวจสอบ ตลอดจนสามารถออกพันธบัตรในพื้นที่ได้ในด้านที่สนใจ อย่างเช่น นครศรีธรรมราชสามารถใช้พันธบัตรแก้ไขประเด็นต่าง ๆ โดยไม่ต้องรอนโยบายจากส่วนกลาง ไม่ต้องเกษตรจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด ท่องเที่ยวจังหวัด  เพราะฉะนั้นสิทธิชุมชน การบริหารน้ำประปาในพื้นที่ ท้องถิ่นสามารถทำได้ พิธา ย้ำว่า สิ่งนี้ เกาถูกที่คันแน่นอน ส่วนกรณีราคายางตกต่ำ หากส่งออกแล้วเขาไม่รับ พรรคก้าวไกล ได้ออกแบบอุตสาหกรรมที่ใช้ยาง เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น การนำประปาก้าวหน้า ในส่วนประกอบ แต่ละส่วนต้องใช้ยางร่วมด้วย หรือของเล่นเด็กและพื้นรองเท้า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถสร้างงานและซ่อมประเทศไปพร้อมกันได้  ยาง 3 แสนตัน ต้องสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้

‘จุดยืนดังเดิม!! พิธา’ ลั่น!! พร้อมจับมือ พท. จัดตั้งรัฐบาล พร้อมย้ำ!! ไม่มีวันจับมือ ‘พรรคทหารจำแลง’

(15 มี.ค.66) ที่โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต ดอนเมือง พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดประชุมใหญ่พรรคเตรียมพร้อมก่อบการยุบสภาฯ มีแกนนำพรรคและว่าที่ผู้สมัครส.ส.ครบทุกเขต เข้าร่วมประชุม

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่าสามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลได้แต่มีเงื่อนไขคือการไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เราไม่มีเจตจำนงในการรวมกับพรรคทหารจำแลงคือพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ เพราะเป็นพรรคที่ทำรัฐประหาร และตอนนี้ยังจะรักษาอำนาจต่อ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะร่วมมือกัน

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดจดหมายเสนอตัวเชื่อมประสานระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยม ที่ล้มเหลวทั้งคู่ นายพิธา กล่าวว่า เราไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องได้ การจะก้าวข้ามความขัดแย้งและก่อให้เกิดการปรองดองได้จะต้องมีระบบความยุติธรรม และการเสาะหาข้อเท็จจริงก่อน ต้องทำให้วัฒนธรรมคนผิดลอยนวลหมดไปก่อน จึงจะทำให้เกิดการปรองดองที่แท้จริงได้

ส่วนจดหมายของพล.อ.ประวิตรฉบับที่ 4 ทั้งเรื่องการตั้งคณะกรรมการมากรองนโยบาย ตนขอเรียนพล.อ.ประวิตรให้เข้าใจว่านโยบายของตัวเองตั้งแต่พรรคพลังประชารัฐ และในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ยังทำไม่ได้ตั้งเยอะตั้งแยะ จึงขอให้ไปทำนโยบายที่เคยสัญญากับประชาชนไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้วให้เสร็จก่อน การที่จะเอานโยบายนโยบายหนึ่งมาผลิตมีกระบวนการของมัน

นายพิธา กล่าวว่า สำหรับกระบวนการทำนโยบายของพรรคก้าวไกลคือการลงพื้นที่พบพี่น้องประชาชนหาปัญหาให้เจอว่าอยู่ที่กฎหมาย งบประมาณ หรือระบบราชการ แล้วค่อยนำมาปฏิบัติ ฉะนั้นคนที่จะนำนโยบายที่เป็นของแต่ละพรรคและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงต้องเป็นคนที่คลุกคลีกับปัญหา ไม่ใช่ว่าตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างในประเทศไทยได้ ถ้าอยากจะปรองดอง ก็ตั้งคณะกรรมการปรองดอง ถ้าอยากจะตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายก็ตั้งคณะกรรมการ ประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนง่ายขนาดนั้น

เมื่อถามว่าหากเสียงไม่พอก็พร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เป็นรัฐบาลจะมีประโยชน์กับประชาชนมากกว่า เราจะหาเสียงให้เต็มที่ ถ้าไปถึงตามเป้าหมาย เรามั่นใจว่าจะมีน้ำหนักทางการเมืองพอที่จะได้เป็นรัฐบาล

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย เดินเกมรุก นำส.ส.บ้านใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตรที่ออกมาจากพรรคพลังประชารัฐ แล้วจะทำให้มีปัญหาในการจับมือร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เราไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้และกระบวนการทำงานของพรรคก็แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามเรื่องนโยบายและจุดยืนของพรรคเพื่อไทยจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร

ตนจึงคิดว่าจะยังร่วมมือกันได้ ส่วนนี้เป็นเรื่องภายในของพรรคเพื่อไทย กับกลุ่มสามมิตร ทั้งนี้ ตนไม่มีวิธีการทำงานทางการเมืองในลักษณะนั้น และจะพยายามโฟกัสในสิ่งที่พรรคก้าวไกลพยายามอยากจะนำเสนอพี่น้องประชาชนทั้งเรื่องนโยบายและว่าที่ผู้สมัครส.ส.

เมื่อถาม ว่าสามารถทำงานกับคนที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องดูแยกเป็นคนคนไป แต่หากใครที่มาจากพรรคทหารจำแลงก็น่าจะทำงานด้วยกันยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมองไปข้างหน้าวันนโยบายและจุดยืนทางประชาธิปไตยเข้มแข็งมากเพียงใด

'พิธา' โว 4 ปี 'ก้าวไกล' ทำงานดุดัน-คุ้มค่าภาษีประชาชน แต่เป็นฝ่ายค้านทำงานได้ไม่เต็มที่ ขอคนไทยช่วยเลือกให้เป็นรัฐบาล

(15 มี.ค.66) ที่โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต ดอนเมือง พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดประชุมใหญ่พรรคเตรียมพร้อมก่อนการยุบสภาฯ มีแกนนำพรรคและว่าที่ผู้สมัครส.ส.ครบทุกเขต เข้าร่วมประชุม

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในครั้งนี้ว่า เป็นการเตรียมตัวก่อนการยุบสภาฯ ไม่เช่นนั้นจะทำให้โอกาสการเตรียมตัวของว่าที่ผู้สมัครส.ส. ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ จะเป็นไปได้ยาก โดยมียุทธศาสตร์การหาเสียงโค้งสุดท้ายและแคมเปญแมสเสจที่จะใช้หาเสียง รวมถึงการพยายามปลุกขวัญและกำลังใจของส.ส.ทุกคน ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่และอยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราจะมีประโยชน์กว่าเมื่อเราได้เป็นรัฐบาลในอีก 4 ปีข้างหน้า เราจึงต้องเตรียมความพร้อมการทำงานเพื่อให้ส.ส.เขตได้ลงพื้นที่และมีงานสภาเด่น และต้องย้ำดีเอ็นเอของพรรคก้าวไกลในช่วงโค้งสุดท้ายที่เหลืออยู่ 60 กว่าวัน

เมื่อถามว่า วางเป้าหมายส.ส.ของพรรคก้าวไกลไว้เท่าไหร่ นายพิธา กล่าวว่า ขณะนี้มีอยู่ 2 เป้าหมายเป้าหมายแรกคือการได้ส.ส.มากกว่าสมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ และเป้าหมายที่สองคือการมี ส.ส.เขตครบทุกภูมิภาคให้ได้

เมื่อถามถึงยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเลือกตั้ง นายพิธา กล่าวว่า ยุทธศาสตร์คือ การเข้าหาประชาชนให้มากที่สุด และอยู่ที่การบริหารจัดการ การทำงานอย่างทุ่มเทของว่าที่ผู้สมัครส.ส. แกนนำพรรคและการจัดวางพื้นที่ในการเข้าหาพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าการมีพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลสามารถทำให้ปัญหาของเขาได้รับการผ่อนคลายไป

เมื่อถามถึงกรณีที่เกิดความขัดแย้งและความวุ่นวายระหว่างที่ลงพื้นที่ นายพิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเข้าใจเรื่องนี้ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบประชาธิปไตยคือการมีกระบวนการพูดคุยและสิทธิในการแสดงออกแต่ต้องมีกระบวนการจัดการและมีวุฒิภาวะ โดยเราจะไม่ทำให้เหมือนกับกรณีของป้านาที่จังหวัดราชบุรีอย่างแน่นอนไม่ว่าจะตอนที่หาเสียงหรือตอนที่ตนรัฐบาลแล้ว เพราะเราต้องการให้มีพื้นที่ปลอดภัยไว้พูดคุยกัน ขณะเดียวกันคนก็คงจะดูออกว่าเป็นความตั้งใจมาใช้สิทธิทางการเมืองจริงหรือไม่ หรือมาอย่างมีความตั้งใจแอบแฝงอื่นที่โดนบังคับมา

‘พิธา’ นำทัพ ‘ก้าวไกล’ ลุย ‘ปทุมฯ’ พื้นที่ยุทธศาสตร์ พร้อมแง้มนโยบายเศรษฐกิจ ก่อนยุบสภา

‘พิธา’ พร้อมปักธง ‘ก้าวไกล’ ปทุมธานี ชี้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ แง้มเปิดนโยบาย-ทีมเศรษฐกิจ จัดเต็มหลังยุบสภา

วันที่ 17 มีนาคม 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย รังสิมันต์  โรม โฆษกพรรคก้าวไกล และ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี ทั้ง 7 เขต ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ที่ตลาดจัมโบ้ คลองสาม จังหวัดปทุมธานี โดยก่อนหน้านี้ระหว่างวัน พิธา พร้อมกับ เชตวัน เตือประโคน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี เขต 6 ได้ขึ้นรถแห่ขอคะแนนจากประชาชนชาวปทุมธานีด้วย

พิธา กล่าวถึงกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าการแบ่งเขตตามรูปแบบที่ 1 ที่ กกต.เลือกใช้ ถึงแม้ว่าจะมีค่าความเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยประชากรที่ไม่เกินร้อยละ 10% ตามเกณฑ์ตัวเลข แต่ก็สร้างความสับสนแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก บางเขตเลือกตั้งประกอบด้วยเขตปกครองมากกว่า 3 เขต ฝั่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคมีการจัดทีมหาเสียงกันใหม่ เพื่อลดความสับสนและพบปะพี่น้องประชาชน สร้างความเข้าใจให้มากขึ้น อันที่จริงตนคิดว่า กกต. ควรแบ่งเขตเลือกตั้งเสร็จสิ้นตั้งนานแล้ว เพราะตอนนี้ใกล้ช่วงยุบสภา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความสับสนในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง จึงหวังว่าจะไม่มีเจตนาแอบแฝง ช่วงชิงความได้เปรียบในการหาเสียงของผู้มีอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายและผลกระทบต่อประชาชนในอนาคต อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกล พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งไม่ว่าเขตเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร และมั่นใจว่าจะกวาดที่นั่ง ส.ส. ได้เป็นอันดับหนึ่งใน กทม.

ส่วนความคาดหวังต่อผลการเลือกตั้งในจังหวัดปทุมธานี พิธากล่าวว่า ปทุมธานีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลมาตั้งแต่ครั้งพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนเป็นอันดับสอง รวมมากกว่า 147,000 คะแนน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของคนปทุมธานี เลือกพรรคอนาคตใหม่ วันนี้ลงพื้นที่พบปะประชาชนตั้งแต่เช้า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ปทุมธานีเป็นเมืองที่มีการเจริญเติบโตเยอะ มี SMEs มากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ทำให้มีคนย้ายเข้ามาทำงานอยู่อาศัย ดังนั้น โจทย์ที่พรรคก้าวไกลต้องตีให้แตกคือ การแก้ไขปัญหาที่มาพร้อมกับการเจริญเติบโตของเมือง คือ 'คลอง คน ถนน' ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการคมนาคม ปัญหาขยะ ปัญหาความสะอาดของลำคลอง

'ก้าวไกล' ตบเท้า ยื่น 92 บัญชีรายชื่อ  ด้าน 'พิธา' ลั่น!! พรรคส้มไม่ได้ส้มหล่น

(4 เม.ย.66) ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง พรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางมาสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และแคนดิเคตนายกรัฐมนตรี

นายพิธา กล่าวว่า ตนจะเป็นผู้จับหมายเลขด้วยตนเอง เบอร์อะไรก็ได้ เพราะเราตั้งใจทำงานให้กับประชาชน ตามยุทธศาสตร์ของเรา ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้ เราต้องระบุเบอร์ในแต่ละเขต เพราะในบัตรเลือกตั้งแบบเขตไม่มีโลโก้พรรคและรายชื่อ ต้องดูว่าจะทำอย่างไรในการสื่อสารกับประชาชน เพื่อไม่ให้สับสน แต่ตนคิดว่าประชาชนจำโลโก้พรรคได้ หากได้เบอร์ 9 "อย่างที่ก้าวไกลให้ไทยก้าวหน้า"ก็จะดี 

เมื่อถามว่าวันนี้ได้เตรียมตัวมาแตกต่างกับเมื่อวานหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า วันนี้เตรียมเอกสารมาสมัครเอง เมื่อวานเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์  "วันนี้พิธามาสมัครงานกับพี่น้องประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป"

เมื่อถามว่ากดดันหรือไม่ เพราะเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีกรณีพรรคไทยรักษาชาติแล้ว นายพิธากล่าวว่า ไม่กดดัน ที่ทุกคนคิดการอาจจะไม่เป็นความจริงทั้งหมด ว่าเราเป็นพรรคส้มหล่น ต้องขอเรียนกับประชาชนว่า "พรรคส้มไม่ได้ส้มหล่น" มีหลายพื้นที่ ที่มีบ้านใหญ่ แต่อดีตพรรคอนาคตใหม่ก็ชนะ ทำให้เห็นว่ามีประชาชนจำนวนมาก ที่ต้องการการเมืองแบบใหม่ ต้องการปลี่ยนแปลงประเทศ ที่อยู่ในระบบอุปถัมภ์ และต้องการกระจายอำนาจ เลือกตั้งผู้ว่าราชการด้วยตนเอง และต้องการงบประมาณท้องถิ่นเพื่อจัดการด้วยตนเอง

เมื่อถามว่า มั่นใจว่ากระแสพรรคจะดีกว่าพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ดีขึ้นทุกวัน เราไม่ได้แข่งขันกับอนาคตใหม่ เราแข่งขันกับตนเอง พรรคอนาคตใหม่คือพรรคของเรา และเพื่อนของเราในตอนนี้ที่จะสนับสนุน ให้เราสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับครั้งแรกที่เริ่มแคมเปญ ตนคิดว่าได้การตอบรับที่ดี มากขึ้นทุกวันที่เราหาเสียง และเรายังมีเวลาก่อนถึงการเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชน ที่จะทำให้ได้รับการยอมรับและทำให้ประชาชนเชื่อ เชื่อในสิ่งที่เราจะทำให้ประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ และหวังว่าในที่สุดจะได้รับโอกาส และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน

'พิธา' ยกทัพใหญ่บุกสามย่าน ประกาศ '9 เปลี่ยน' คนไทยไว้ใจได้ ย้ำ!! จุดยืนชัด “มีลุงไม่มีเรา-มีเราไม่มีลุง”

(22 เม.ย.66) 'พิธา' ปิดเวทีทัพใหญ่ก้าวไกลบุกสามย่าน ตื้นตันกระแสพุ่งทะยานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่มีพรรค ชวนทุกคนที่ยังไม่ตัดสินใจ ร่วม “9 เปลี่ยน” ย้ำ ก้าวไกลคือความเปลี่ยนแปลงที่ไว้ใจได้ ตรงไปตรงมา “มีลุงไม่มีเรา-มีเราไม่มีลุง”

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ปราศรัยปิดท้ายเวทีปราศรัย “ทัพใหญ่ก้าวไกล ปราศรัยโค้งสุดท้าย” ที่สามย่านมิตรทาวน์ ท่ามกลางผู้เข้าร่วมฟังการปราศรัยที่ล้นหลาม

โดยพิธาระบุว่าปัจจุบันการหาเสียงของพรรคก้าวไกลเข้าฝักเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนตรงไปตรงมา และความพร้อมในการเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของตน นี่เป็นเวลาที่อันดับในโพลล์ของพรรคก้าวไกลขึ้นมากที่สุดตั้งแต่มีพรรคก้าวไกลมาและสูงกว่าสมัยอนาคตใหม่ด้วยซ้ำ การค้นหาในกูเกิลเทรนด์สูงสุดตั้งแต่มีพรรคก้าวไกลมา คนที่โทรเข้าฮอทไลน์ของพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า คนซื้อสินค้าพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้น 15-20 เท่า และยอดบริจาคผ้าป่าก้าวไกลตอนนี้ ได้มาเกิน 10 ล้านบาทแล้ว ทุกพื้นที่ในประเทศไทยที่ตนไป ได้รับการต้อนรับจากประชาชนเป็นอย่างดีมาจนถึงตอนนี้

ในโอกาสนี้ ตนอยากสื่อสารถึงประชาชนคนไทยทุกคนสามกลุ่ม คือ กลุ่มแรก คนที่ยังคิดไม่ออกว่าวันที่ 14 พ.ค. นี้จะออกมาเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งตนเข้าใจว่าหลายคนอาจจะมีความจำเป็น ทั้งเรื่องของการเดินทางที่ยากลำบาก มีลูกหลานที่ต้องดูแล มีพ่อแม่ที่ป่วยติดเตียง หรือต้องเปิดร้านออกมาไม่ได้ แต่ตนอยากเชื้อเชิญให้ทุกคนเชื่อมั่น ว่าหากเราคือ...ความเปลี่ยนแปลงที่ท่านถวิลหา, ความเปลี่ยนแปลงที่ท่านเชื่อถือได้, ความเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ และความเปลี่ยนแปลงที่คุ้มค่า 14 พฤษภาคม เข้าคูหากาก้าวไกล ให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม

สำหรับกลุ่มคนที่สอง คือทุกท่านที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคไหน ตนยืนยันได้ว่าพรรคก้าวไกลคือการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อถือได้ ตรงปก เลือกแบบไหนได้แบบนั้นแน่นอน คือมี "ลุงไม่มีเรา-มีเราไม่มีลุง" และสุดท้าย คนที่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเลือกพรรคอื่นแล้วผิดหวัง ไม่เป็นไปตามสัญญา ตนขอยืนยันว่ากว่า 300 นโยบายที่พรรคก้าวไกลทำไว้ มีเงินจ่ายและทำได้จริงแน่นอน โดยเฉพาะรัฐสวัสดิการที่ต้องเกิดขึ้นในประเทศไทย

พิธากล่าวต่อไป ว่าเพราะการกาให้พรรคก้าวไกล จะทำให้เกิด “9 เปลี่ยน” ครั้งประวัติศาสตร์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาในประเทศไทยก่อน ตามยุทธ์ศาสตร์ “การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต” ของพรรคก้าวไกล เป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 3, ปากท้อง 4 และอนาคต 2 กล่าวคือ...

1) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เราจะมีรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เปลี่ยนจากเผด็จการจำแลงให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ 

2) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่จะเปลี่ยนประเทศที่ทุกอย่างถูกรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพให้เป็นประเทศไทย ด้วยการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ 

3) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่จะมีระบบการแก้ปัญหาทุตริต โดยพลิกโฉมเปลี่ยนจากรัฐปกปิดให้เป็นรัฐโปร่งใส

4) เปลี่ยนจากที่ดินนายทุน ขุนศึก ศักดินา ให้กลายเป็นที่ดินของประชาชน 

5) สำหรับแรงงานทั่วประเทศ เปลี่ยนจากการขึ้นค่าแรงตามใจผู้มีอำนาจ เป็นการขึ้นค่าแรงที่แปรผันตามค่าครองชีพ โดยจะขึ้นทันที 450 บาท ก่อนขึ้นอัตโนมัติตามค่าครองชีพ 

‘พิธา-อภิสิทธิ์’ ลั่น!! พร้อมดันกระทรวงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ปลดล็อก 'เสรีภาพ-สวัสดิการ-สนับสนุน' งานครีเอทีฟ

‘พิธา-อภิสิทธิ์’ ชู ‘6 เปลี่ยน’ รัฐบาลก้าวไกลดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทุกมิติ เปลี่ยนกระทรวงวัฒนธรรมเป็นกระทรวงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ปลดล็อกเสรีภาพ-สวัสดิการ-การสนับสนุน ศิลปินหลายแวดวงร่วมแลกเปลี่ยน

(23 เม.ย.66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปิดเวที 'Future of Creative Economy เปิดอนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์' ที่ชั้น 5 Creative Space สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บางรัก

พิธา กล่าวว่า ตนเคยมีประสบการณ์สั้นๆ ในวงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ลองทำมาแล้วหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น งานดนตรี งานโฆษณา งานภาพยนตร์ หรืองานเขียนหนังสือ พบว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้กว่านี้อีกมาก คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก แต่มีบางสิ่งที่เป็นข้อจำกัดทำให้ศักยภาพเหล่านั้นไม่ถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องสวัสดิการของคนทำงานในกองถ่าย การสนับสนุนจากรัฐ และสิทธิเสรีภาพของผู้ผลิตผลงาน

“งบประมาณของประเทศกว่า 3.3 ล้านล้านบาท มีคำว่าซอฟต์พาวเวอร์อยู่ในงบประมาณเพียง 80 ล้านบาทเท่านั้น จากงบกระทรวงวัฒนธรรม 7,000 ล้านบาท มีเพียง 150 ล้านบาทเท่านั้นที่มีไว้สำหรับศิลปะร่วมสมัย สรุปว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยคนที่ทำงานสร้างสรรค์ แต่ขาด 3 ส. ได้แก่ เสรีภาพ, สวัสดิการ และสนับสนุน การสร้างพลังเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้จริงๆ เราจึงต้องการพรรคการเมืองที่กล้าคิดนอกกรอบและเข้ามาทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง” พิธากล่าว

จากนั้น อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเป็นหนึ่งในทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกลได้ร่วม อภิปราย พร้อมยกแนวทาง 6 เปลี่ยนเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย

1. เปลี่ยนกระทรวง ‘วัฒนธรรม’ เป็นกระทรวง ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นนโยบายระดับชาติ การปรับกลไกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำงานตอบโจทย์ของประเทศ
2. สร้างสวัสดิการแรงงานสร้างสรรค์ก้าวหน้า รัฐบาลสมทบเงินประกันสังคม และให้สิทธิเสรีภาพในการจัดตั้งสหภาพแรงงานสร้างสรรค์
3. ตั้งกองทุนสร้างสรรค์เพื่อเปิดโอกาสในการทำงานใหม่ๆ ส่งเสริมและอุดหนุนส่งผลงานเข้าประกวด และมีทุนกู้ยืมเพื่อทดลองทำผลงาน รวมถึงมีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อประกอบธุรกิจตั้งต้น
4. คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก แก้ไข พ.ร.บ.เซ็นเซอร์, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, และกฎหมายปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอื่นๆ รวมถึงทลายทุนผูกขาดในอุตสาหกรรมและผลักดันให้ขอใบอนุญาตได้รวดเร็วและเป็นธรรม
5. ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ในระดับจังหวัด เปิดโอกาสให้ทำสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบในทุกพื้นที่ การสร้างห้องทดลองในการทดสอบรับรองมาตรฐานคุณภาพและเพิ่มศักยภาพของการผลิตสินค้าท้องถิ่น
6. เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ให้ได้คนที่เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นแต่ละที่จริงๆ ได้พัฒนาศักยภาพของบ้านเกิดตัวเอง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top