Sunday, 12 May 2024
พิธา

‘กราน-มอนเต้’ ชี้แจง!! หลังโดนอันธพาลโซเชียลโจมตี ปมเสิร์ฟไวน์ในงานประชุมผู้นำเอเปคก่อนฝันของ ‘พิธา’

ผู้ผลิต ‘กราน-มอนเต้’ ไวน์ไทยชื่อดังโพสต์ชี้แจง เป็นผู้ผลิตสุราไทยที่ไม่มีเจ้าสัวหนุนหลังธุรกิจ และได้ร่วมต่อสู้เรื่องสุราพื้นบ้านจนกฎเหล็กคลี่คลาย และไม่ได้บุกรุกป่าหลังโดนอันธพาลโซเชียลระราน ให้ข้อมูลบิดเบือน เนื่องจากไวน์ของที่นี่ได้รับเลือกให้เสิร์ฟผู้นำเอเปค 2022 ก่อนไอเดียความฝันของพิธา

จากกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ของช่อง 3 ว่า มีความฝันอยากเห็นเหล้าไทยเสิร์ฟผู้นำเอเปคในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็มีชาวเน็ตเข้ามาชื่นชมแนวคิดนี้กันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี ในโลกโซเชียลก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเช่นกันได้ออกมาให้ข้อเท็จจริงโต้แย้งแนวคิดดังกล่าว ว่า ในการประชุมเอเปค 2022 ที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ได้มีการเสิร์ฟไวน์ ‘กราน-มอนเต้’ ไวน์ชื่อดังสัญชาติไทยในงานเลี้ยงอาหารค่ำสุดยอดผู้นำที่เข้าร่วมประชุมมาแล้ว

เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับด้อมส้มจำนวนหนึ่งที่รับไม่ได้ว่า นายพิธาโดนแหกข้อเท็จจริง จึงทำตัวเป็นอันธพาลโซเชียลไประรานตามเพจที่ให้ข่อเท็จจริงที่ต่างจากที่พวกตัวเองมโo

นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยข้อมูลผ่านสื่อดังบางสำนัก ว่า นโยบายสุราก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล จะส่งกระทบถึงเจ้าสัวผู้ผลิตน้ำเมารายใหญ่ ซึ่งได้รวมผู้ผลิตไวน์กราน-มอนเต้เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

ทำให้ล่าสุดผู้ผลิตไวน์กราน-มอนเต้ ได้ออกมาชี้แจงต่อสารพัดข้อมูลบิดเบือน ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ GranMonte Vineyard and Winery ว่า…

วันนี้ ไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้ ขอเล่าเกี่ยวกับตัวเรา และแก้ความเข้าใจผิดนิดหน่อย เป็นข้อๆ แล้วกันค่ะ

1.) เราไม่ใช่ตระกูลเจ้าสัวหรือมีบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นแบค สมาชิกครอบครัวโลหิตนาวีที่ทำไวน์กราน-มอนเต้ มีกันแค่ 4 คน (พ่อแม่ลูก 2) เริ่มไร่กันเองเมื่อเกือบ 25 ปีที่แล้วค่ะ ลูกสาวคนโต นิกกี้ วิสุตา โลหิตนาวี ไปเรียนปริญญาตรีการปลูกองุ่นและทำไวน์จากประเทศออสเตรเลีย กลับมาทำไวน์ที่ไร่ของครอบครัว ได้พัฒนาความรู้จากการทำงานในไทยและประเทศอื่นๆอีก จนเป็นผู้เชี่ยวชาญการปลูกองุ่นและทำไวน์ในเขตร้อนของโลก (เรียกว่า Tropical Viticulture และ Tropical Winemaking)

2.) เราไม่ใช่ไร่ที่โดนกล่าวหาหรือดำเนินคดีเรื่องบุกรุกป่านะคะ นั่นคือ รีสอร์ต ‘88 การ์มองเต้’ ที่ตั้งชื่อคล้ายเคียงเรา อยู่แถบวังน้ำเขียว สร้างความสับสนมาเป็นเวลานาน แต่เราหยุดเขาไม่ได้

3.) เราปลูกองุ่น ทำการเกษตรในพื้นที่ 100 ไร่ของเราที่เขาใหญ่ และเราผลิตไวน์จากองุ่นที่เราปลูกเองเท่านั้นในโรงผลิตไวน์ที่อยู่ในไร่ เติบโตมาเรื่อยๆจนเวลานี้ได้ประมาณ 1 แสนขวดต่อปี เราเชื่อว่าไวน์ของเราก็คือสินค้าไทย จากท้องถิ่นเขาใหญ่ และเรายังได้ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย (Geographical Indication) ด้วย ได้รับรางวัลจากการแข่งขันไวน์นานาชาติที่จัดขึ้นในเอเชียและยุโรปมาตลอด ในฐานะไวน์ที่ปลูกและทำในประเทศไทย เราไม่ใช่ “เหล้านอก” ที่มาตัดโอกาสของสุราที่ผลิตในไทยแต่อย่างใด มาเยี่ยมชมไร่และดูไวน์เนอรี่ของเราได้เลยค่ะ ท้าพิสูจน์

4.) ไวน์ไทย 100% ของกราน-มอนเต้ ได้เสิร์ฟในงานในงานเลี้ยงต่างๆ ของการประชุม APEC ปี 2022 รวมถึงงานเลี้ยงสุดท้ายที่เป็น gala dinner เลี้ยงผู้นำระดับโลก หน่วยงานรัฐและผู้จัดงานทั้งหลาย ต่างซื้อไวน์ของเราเพื่อใช้เสิร์ฟ ไม่ได้ขอสปอนเซอร์จากเราเลย

เราเห็นด้วยว่ารัฐต้องใช้โอกาสอย่างนี้ นำเสนอเบียร์และสุรากลั่นจากผู้ผลิตไทยรายย่อยอื่นๆด้วย เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยได้ขึ้นเวทีโลกไปด้วยกัน และเป็นผู้ผลิตที่ประเทศไทยจะภาคภูมิใจได้

เราเชื่อว่า ไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้ของเรา เป็นตัวอย่าง หรือ case study ที่ดี ให้เห็นว่าเกิดขึ้นได้ที่จะมีผู้ผลิตสุราแช่ (ไวน์) ที่เริ่มจากขนาดเล็ก ค่อยๆคืบคลานโตขึ้นมาจนถึงจุดกลางๆได้ แม้ในตลาดที่ยังเป็นสภาพผูกขาด และเราได้รับโอกาสที่รัฐนึกใช้สินค้าของเราในงานอย่างงานประชุม APEC ทำให้ได้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้น

จนถึงไม่นานมานี้ กฎกระทรวงสรรพสามิตทางด้านการอนุญาตผลิต เคยเป็นโครงสร้างที่ไม่เปิดโอกาสให้ทั้งเบียร์และสุรากลั่นมีเส้นทางโตจากเล็กมาเป็นกลางอย่างที่สุราแช่อย่างเราทำได้ การเปลี่ยนแปลงกำลังค่อยๆเกิดขึ้นแล้ว

เราได้เป็นส่วนหนึ่งของการรวมตัวผู้ผลิตสุรารายย่อย ผลักดันกันทุกด้าน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นงานที่เราตั้งใจทำมาหลายปีมาก ทั้งด้านกฎหมายอนุญาตผลิต กฎภาษีสรรพสามิต และพรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อผู้ผลิตรายย่อยทุกคน

เพราะเราเป็นเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมด้วยกัน อยากเห็นตลาดที่มีพื้นที่ให้กับความหลากหลายและมีสุรากลั่น, เบียร์, ไวน์น่าสนใจจากแหล่งผลิตย่อยต่างๆในไทย เน้นความครีเอทีฟและนำเสนอสนุกๆ และอยากได้มีโอกาสออกงานและการประชุมระดับโลกต่างๆด้วยกัน เพราะเรารักเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นวิชาชีพของเรา และมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนๆผู้ผลิตรายย่อยที่มี passion ให้กับสิ่งเดียวกัน

ยังไงกราน-มอนเต้ก็ขอเชิญมาเยี่ยมชม ทำความรู้จักงานของเรา ที่ไร่องุ่นไวน์ของเรานะคะ ไร่ของเราไม่มีค่าเข้า ส่วนการร่วมทัวร์ไร่และไวน์เนอรี่โดยมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญ

‘ไพศาล’ ยัน!! ไอทีวีไม่ใช่สื่อ ใช้เรื่องนี้สอย ‘พิธา’ ไม่ได้ เนื่องจากช่องถูกยึดคลื่นสัญญาณ ตั้งแต่เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว!!

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 66 นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องหุ้นสื่อไอทีวี ผ่านเฟซบุ๊ก ‘Paisal Puechmongkol’ โดยมีรายละเอียดว่า “เรื่องหุ้นสื่อไอทีวี ประเด็นชี้ขาดเรื่องหนึ่ง คือ ‘ไอทีวี’ เป็นสื่อและทำธุรกิจสื่อหรือไม่?

1.) ตั้งร้านชื่อรุ่งฟ้าอาภรณ์ แต่ที่ทำคือขายข้าวมันไก่ ร้านนี้เป็นร้านข้าวมันไก่ ทำการขายข้าวมันไก่ จึงไม่ใช่ร้านตัดเสื้อผ้าฉันใด ไอทีวีก็ฉันนั้น

2.) ไอทีวีเป็นสื่อประเภทวิทยุโทรทัศน์ จะทำธุรกิจได้ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 2 อย่าง คือใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรทัศน์วิทยุ และคลื่นสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งเป็นของรัฐ ถ้าไม่มีสองสิ่งนี้แล้ว ก็ทำธุรกิจสื่อไม่ได้

3.) ไอทีวีทำสัญญาร่วมการงานกับรัฐฯ คือ สำนักปลัดสำนักนายกทำธุรกิจสื่อวิทยุโทรทัศน์ จึงได้รับอนุญาตให้ทำวิทยุโทรทัศน์ และคลื่นสัญญาณจากทางราชการ

4.) ต่อมาสำนักนายกฯ ได้ยกเลิกสัญญาร่วมการงาน และยึดเอาคลื่นวิทยุสัญญาณ กลับมาเป็นของรัฐทำให้ไอทีวี ทำสื่อไม่ได้ และเลิกทำสื่อตั้งแต่บัดนั้น เรียกว่า ‘ไอทีวี’ จอดำตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โดยไม่ได้ทำธุรกิจอื่นใดอีก ความเป็นสื่อและการประกอบธุรกิจสื่อจึงสิ้นสุดลง ตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่ผ่านมาแล้ว!!!

5.) ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไอทีวีก็ไม่ได้ทำธุรกิจสื่อใดๆ อีกเลย จึงไม่ได้เป็นสื่อและไม่ได้ทำธุรกิจสื่อด้วย

6.) ไอทีวีได้ดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ จึงยังเลิกบริษัทไม่ได้ เพราะรอรับค่าเสียหาย และชนะคดีตลอดมา ซึ่งศาลฎีกาจะตัดสินคดีในที่สุดในไม่กี่วันข้างหน้านี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไอทีวีมีรายได้จากดอกเบี้ยของเงินฝาก และมีค่าเช่า จากการนำเอาอุปกรณ์ให้เช่า ซึ่งไม่ใช่กิจการสื่อ

ดังนั้น ตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา ไอทีวีจึงไม่ใช่สื่อ และไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อ และไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ 

ดังนั้น หุ้นของไอทีวีจึงไม่ต้องห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะถือหุ้นดังกล่าว ต่อให้ใครถือหุ้นไอทีวีสักเท่าใดก็ไม่ผิด ไม่ขาดคุณสมบัติในการเลือกตั้ง

เมื่อประเด็นสำคัญนี้ ยุติว่าไอทีวีไม่ใช่สื่อแล้ว ไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อแล้ว ก็สอยนายพิธา ไม่ได้
เงิบๆๆๆ”

ประเมินทิศทางการเมืองไทย ‘พิธา’ อาจไปไม่ถึงดวงดาว? และการนับถอยหลังสู่คราวอวสานของรัฐบาลในโลกเสมือนจริง

เลียบการเมืองส่งท้ายสัปดาห์… ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขออนุญาตจุ๊บจิ๊บซุบซิบข่าวการบ้านการเมืองแบบห้วนๆ สั้นๆ อ่าน-ฟังกันพอเพลินๆ แต่รับประกันไม่ใช่ข่าวโคมลอย…

ประเดิมที่เรื่องร้อนสุดในสัปดาห์นี้และอีก 2-3 สัปดาห์หน้า คือ ‘หุ้นไอทีวี’ ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้จะงัดไม้เด็ดโดยการโอนหุ้นให้ทายาท แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นการ ‘โอน’ หรือ ‘สละมรดก’ กันแน่… ถ้าแค่โอนก็เป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ…

เอาเข้าจริงๆ เชื่อเถอะว่าไพ่ใบสำคัญที่มือกฎหมายฝ่ายพิธาจะงัดออกมาต่อสู้ คือ ไอทีวียังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ และการถือหุ้นแค่ 0.0035% มีนัยยะในเชิงการสั่งการครอบงำได้จริงหรือ?

มีสุภาษิตทางการเมืองที่บอกว่า ถ้าอยากรู้จักตัวเองให้หมดจดล่อนจ้อนก็จงลงเล่นการเมือง… ไม่เชื่อก็ดูกรณีพิธาที่กำลังถูกขุดอดีตในแทบทุกมิติแบบว่า “ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก” มีมากหลายเรื่องที่ถาโถมเข้ามา ทั้งเรื่องธุรกิจและชีวิตส่วนตัว สำหรับ ‘เล็ก เลียบด่วน’ แม้จะยึดมั่นในพุทธภาษิตที่ว่า “คนโกหกไม่ทำชั่วไม่มี” ก็ตาม แต่ส่วนลึกภาวนาให้พิธาฝ่าด่านต่างๆ ไปให้ถึงดวงดาว… เพียงแต่ให้ตระหนักสำนึกมั่นว่า “ไม่มีใครสมบูรณ์” ต่อไปนี้ ขอให้พูดแต่เรื่องจริง อย่าปรุงแต่งตนเองให้ดูดีดูหล่อจนเสียผู้เสียคน…

แล้วในที่สุด กกต.ก็ประกาศออกมาแล้ว 47 หน่วยเลือกตั้ง ใน 16 จังหวัดที่จะต้องนับคะแนนใหม่ เหตุเพราะ ‘คะแนนเขย่ง’ อันหมายถึง จำนวนบัตรกับคนหย่อนบัตรเท่ากัน แต่คะแนนดันไปมากกว่าหรือน้อยกว่า… ซึ่งจำนวน 47 หน่วยจากทั้งหมด 95,000 กว่าหน่วยคงไม่เป็นเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้ง เพราะแต่ละหน่วยก็มีแค่ 500-600 คะแนนเท่านั้น

อีกทั้งเมื่อส่องไปที่สนาม กทม.แล้ว ปรากฏว่าไม่มีการนับคะแนนใหม่ที่เขต 20 ลาดกระบัง ที่พรรคเพื่อไทยหลุดรอดมาได้ด้วยคะแนนที่เหนือกว่าคู่แข่งเพียง 4 คะแนน แต่อย่างใด ดังนั้น ความระทึกใจเลยแทบไม่มี และคนที่โล่งใจที่สุด นาทีนี้ก็น่าจะเป็น ดร. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ หรือ ‘ดร.อิ่ม’ ว่าที่ ส.ส.ลาดกระบัง โฆษกพรรคเพื่อไทย นั่นแล…

ส่งท้ายหมายเหตุให้คอการเมืองไปลุ้นกันต่อ นาทีนี้ต้องสรุปว่าไทม์ไลน์โหวตเลือกนายกฯ ก็จะไปตกเอาต้นเดือน ส.ค.

ประเมินสถานการณ์ทิศทางการเมืองในความเชื่อของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ จะมี 3 แพร่ง คือ

1.) พิธาไปไม่ถึงดวงดาว ด้วยเหตุอาจจะถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ผ่านด่านโหวตของรัฐสภา

2.) ส้มหล่นใส่เท้าพรรคเพื่อไทย ได้เป็นนายกฯ ยอมผสมข้ามขั้วภายใต้ความอ่อนน้อมถ่อมตัว

3.) ลุงป้อมหรือลุงตู่ผนึกแน่น 188 เสียง จัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกฯ โดยได้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคร่วม หรือหากเพื่อไทยไม่ยอมร่วม ก็จะมีบ้านใหญ่… ระดับอนาคอนดาจากพรรคเพื่อไทยข้ามฝั่งมาร่วมรัฐบาล ดังที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เคยวิสัชนามาแล้ว

สรุปว่า คณะเปลี่ยนผ่านรัฐบาลก้าวไกลที่ลงนามเอ็มโอยู 23 ข้อ 5 แนวปฏิบัติ พร้อมตั้งคณะทำงานขึ้นมาถึง 14 ชุด ในขณะนี้ จะว่าไปก็เป็นรัฐบาลในโลกเสมือนจริง คำถามสำคัญมีอยู่ว่า ณ วันที่สิ้นสุดรัฐบาลเสมือนจริง อะไรจะเกิดขึ้น?

คิดขึ้นมาแล้วก็ร้อน ๆ หนาว ๆ

ต้องขอลาไปคิดต่อ… สวัสดีครับ

‘จตุพร’ ชี้ ‘ทักษิณ’ เป็นคนไม่มีสัจจะ เกมกลับบ้าน เป็นแค่กลยุทธ์ ทางการเมืองเท่านั้น

9 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ใครได้...ใครเสีย..." โดยกล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร หลอกคนอื่นตลอดเวลา ดังนั้นคนไม่มีสัจจะมักจะได้รับสิ่งที่ไม่มีสัจจะกลับคืน ยิ่งอ้างว่า ครอบครัวชินวัตร ยังไม่ให้กลับบ้าน เพราะกลัวถูกหลอก โดยนัยยะข่าวนี้สะท้อนถึงมีการดีลกันมาต่อเนื่องนับตั้งแต่หาแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ที่มีชื่อ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย แต่กลับไปไม่ถึง และไม่เป็นจริง

นายจตุพร กล่าวว่า นายทักษิณ ประกาศกลับบ้านหลายครั้งคงเชื่อว่า ประชาชนยังรักตัวเองอยู่มากมาย โดยประกาศกลับบ้านร่วม 20 ครั้งแต่ไม่กลับ เท่ากับมุ่งหวังผลเพียงคะแนนเสียง จนการเลือกตั้งปี 2566 ได้เปลี่ยนกระดานการเมืองไปมาก และเป็นบทเรียนของคนไม่ยึดมั่นสัจจะวาจา ซ้ำร้ายชอบหลอกเอาความรู้สึก ความศรัทธาของประชาชนมาเป็นของเล่น

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ข่าวครอบครัวชินวัตรหารือไม่ให้ทักษิณกลับบ้านนั้น เริ่มออกอาการรวนมาตั้งแต่ผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเป้าหมายแลนด์สไลด์ หรือพรรคเพื่อไทยไม่มาอันดับหนึ่ง แต่พรรคก้าวไกลมาแรงแซงโค้งชนะเลือกตั้งเป็นพรรคที่หนึ่ง จึงต้องมีการจัดเกมการเมืองกันใหม่ในการกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม ตนย้ำเสมอว่า ไม่มีใครห้ามทักษิณกลับบ้านเลย แต่ผู้นำที่จิตใจมีแต่ความขลาดกลัว จึงไม่กล้าแสดงความรับผิดชอบ

“มีรองนายกฯ และรัฐมนตรีสมัยทักษิณ มีอำนาจ อย่างน้อยต้องติดคุก ส่วนเสื้อแดงก็เข้าคุก และบางคนตายในคุกก็มี แต่ทักษิณ คนเป็นหัวหน้าคนอื่นต้องมีความละอาย เมื่อลูกน้องไม่หนี ตัวเองจะหนีไม่ได้ ต้องอยู่จนวินาทีสุดท้ายของการต่อสู้หรือการทำหน้าที่นั้นๆ แต่ทักษิณหนีไป ส่วนคนไทยเป็นคนให้โอกาสตลอดเวลา และพร้อมรับคำโกหกของทักษิณ ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

นายจตุพร กล่าวอีกว่า แม้มีบางคนวิเคราะห์การไม่กลับบ้านของทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่วันที่ทักษิณออกจากไทยล่าสุดเมื่อปลาย ก.ค. 2551 ก็ไปในวันที่นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (หลังจากไทยรักไทยถูกยุบ) เป็นนายกฯ จนไม่กล้ากลับมา

ดังนั้น การไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจึงไม่เกี่ยวข้องกับการกลับบ้าน แต่อยู่ที่ตัวของทักษิณเอง จะยืนหยัดและพร้อมน้อมรับคำพิพากษาของศาลที่ตัดสินคดีจนถึงที่สิ้นสุดให้จำคุก 10 ปีหรือเปล่า รวมทั้ง ย้ำว่า ทักษิณ ไม่อยากติดคุก ตราบใดถ้ายังคิดว่าตัวเองจะต้องเข้าเรือนจำก่อนนั้น ก็ไม่มีทางได้กลับมา และยิ่งพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็กลับมาไม่ได้ เพราะกลับมาไม่ติดคุกคนก็ออกมาเต็มถนน

“ยังไม่เข็ดเรื่องการนิรโทษกรรมสุดซอยกันอีกหรือ ถ้าทักษิณ ประกาศกลับในช่วงวันเกิดและไม่เป็นภาระกับพรรคเพื่อไทย แล้วยังให้สัจจะวาจาจะกลับในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรักษาการนายกฯ อยู่ แค่การที่ตัวเองเบี้ยวหลายรอบ ผิดสัจจะนับสิบหน จุดจบของคนชอบหลอกคนอื่น คือ ตัวเองก็จะถูกหลอกเช่นกัน”

อีกทั้ง เห็นว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ พูดยืนยันการกลับบ้านในเดือน ก.ค. ซึ่งใกล้มาแล้ว ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่เป็นใจอะไรให้กลับบ้านเลย ดังนั้น การทรยศ หักหลัง หลอกลวง ประชาชน จะกลายเป็นโมฆะบุรุษทันที หรือจากรัฐบุรุษก็กลายเป็นทรราช

“คนผิดสัจจะวาจาครั้งแรกก็เสียคนแล้ว แต่ทักษิณผิดวาจากลับบ้านมาตั้ง 20 ครั้ง จึงไม่มีความเป็นคนให้เสียได้อีกแล้ว ดังนั้น เกมนี้เหมือนโยนหินถามทาง ย่อมมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาเกมการเมืองในอนาคตที่ใครไม่คาดคิดว่า จะกล้าทำ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมมีร่องรอยเสมอ”

ดังนั้น ตนเคยวิเคราะห์ไว้ว่า สุดทางเดินการเมืองจะนำไปสู่การรัฐประหาร และขณะนี้เกมยังเดินอยู่ระหว่างทาง และยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รอแจกใบเหลือง ส้ม หรือดำ และยังจะมีจำนวนที่มากกว่าที่ระบุออกมาด้วย เพราะนี่คือเกมระหว่างทางไปสู่การยึดอำนาจปลายทาง

อีกทั้ง การไม่กลับบ้าน โดยอ้างกลัวถูกหลอก ทั้งที่ความจริงแล้วทักษิณไม่ต้องการกลับมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เอาลูกสาวสมัครแคนดิเดตนายกฯ เพื่อหลอกเอาความรู้สึกของประชาชนมาเป็นของเล่น ดังนั้น การเมืองครั้งนี้จะเห็นความตลบตะแลงที่ใหญ่มาก แต่ต้องแลกมาด้วยวิกฤตศรัทธา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของวิกฤตศรัทธาคือ การลวงโลกและการดูถูกประชาชน โดยพยายามเจรจาแลกเปลี่ยน ถ้าทำกันจริงประชาชนจะต่อต้านอย่างรุนแรง

“เกมกลับบ้าน ใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองมาตั้งแต่ต้น จึงอย่าได้ประมาท แม้ใจของทักษิณไม่กล้าก็ตาม แต่การบอกกลับบ้าน ซึ่งเป็นการหลอกลวง เป็นธรรมชาติของผีที่ชอบหลอกมาตลอด จนไม่มีความละอายใจเลย เมื่อเป็นผู้นำแล้วประกาศกลับบ้าน ถึงจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ต้องกลับ กลัวอะไรกับติดคุก ลูกน้องคุณยังไม่กลัวกันเลย”

นายจตุพร ย้ำว่า การห้ามทักษิณกลับบ้าน โดยอ้างกลัวถูกหลอก นั้นหมายความว่า มีการดีลกันมาตลอด เป็นดีลที่ถูกปัดและปฏิเสธมาแต่ต้น จนผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามความต้องการ แม้ปฏิเสธไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในภายหลัง แต่คนไม่เชื่อคำพูดเสียแล้ว

“ถ้ากลับมาในวัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ รักษาการ แล้วเข้าคุกจะกลัวเรื่องการถูกหลอกทำไม เพราะการเข้าคุกเป็นไปตามคำพิพากษา แต่การไม่กลับมาทำให้เสื่อมหนักไปอีก ยิ่งมาถึงวันเลือกประธานสภา แล้วมาโหวตนายกฯ หากเป็นไปตามการแลกเปลี่ยนกันแล้ว จะยิ่งทำให้เกิดวิกฤตศรัทธารุนแรง ประชาชนจะออกมาเต็มท้องถนนแล้วจะปกครองกันอย่างไร”

พร้อม สงสัยว่า เพียงแค่วันที่ 8 มิ.ย.เท่านั้น ทำไมต้องรีบสื่อสารจะไม่กลับบ้านกันแล้ว นอกจากต้องการตรวจสอบอาการของคนว่า ใครหลอกใคร ที่ถูกหลอกกันมาเป็นทอดๆ เช่นกัน เพราะเป็นคนไม่มีสัจจะ ชอบหลอกคนอื่น ย่อมถูกคนอื่นหลอกไม่แตกต่างกัน ซึ่งทางเดินของโมฆบุรุษจึงเป็นเช่นนี้ ต่อไปพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ นอกจากบอกชื่อตัวเองเท่านั้น ซึ่งเป็นความจริงเดียวที่เหลืออยู่

นายจตุพร ประเมินว่า เมื่อยิ่งใกล้วันทักษิณกลับบ้านใน ก.ค.นี้ เกมการเมืองเดินมาอย่างมีนัยยะสำคัญ ตนคาดว่า กรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน่าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ จะได้เข้าประชุมสภาผู้แทน ได้เลือกประธานสภา ซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทย โดยอาจเป็นนายสุชาติ ตันเจริญ หรือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นตัวเลือกจะได้รับตำแหน่ง

“หลังจากนั้น ช่วงรอพระบรมราชโอกงการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งประธานสภาและรองประธาน จะเป็นช่วงเวลาที่นายพิธา จะถูกศาล รธน.สั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ แต่จะเห็นร่องรอยความขัดแย้งแล้ว เนื่องจากการเลือกประธานสภา ย่อมรู้ได้ชัดเจนแล้วว่า ใครจะเลือกใครอย่างไร”

กกต.ตั้งธงหนัก หยิบ ม.151 มาเล่นงาน  มีโทษทั้งจำคุก - ตัดสิทธิ์ 20 ปี

กกต.มีมติเป็นเอกฉันท์ 6 เสียง ไม่รับ 3 คำร้องที่ร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และคาดิเดตนายกรัฐมนตรี มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ในการสมัครรับเลือกตั้งส.ส. กรณีถือหุ้น บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น ทำให้บางคนรู้สึกโล่งอก มีช่องทางเดินไปได้

ยัง….ยังไม่จบ กกต.ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า การถือหุ้นไอทีวีของพิธาถูกหรือผิด ขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ เพียงแต่ผู้ยื่นให้ตรวจสอบ ยื่นหลังจากเลยเวลาตรวจสอบมาแล้วเท่านั้นเอง ง่ายๆคือเลยเวลาแล้ว

แต่กกต.ได้หยิบเอาประเด็นจาก 3 คำร้องมาสั่งตั้ง “คณะกรรมการสืบสวนไต่สวน” ลุยสอบเอง ในประเด็นการฝ่าฝืนมาตรา 42 (3) และมาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ต่อไป

กกต.ใช้คำว่า “สืบสวนไต่สวน” น่าสนใจกับการตั้งกรรมการชุดนี้แสดงว่า มีอำนาจทั้งสืบสวน และไต่สวนด้วย

ดูเหมือนจะหนักกว่าเดิม ถ้าผิดโทษจะหนักกว่าด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะคดีอาญา ถ้านายพิธารู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเพราะมีลักษณะต้องห้าม แต่ยังฝืนลงสมัครเลือกตั้ง และอนุญาติให้พรรคการเมืองส่งลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่

ซึ่งในกรณีนี้นายสิระ เจนจาคะ อดีตส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เคยเจอมาก่อนแล้ว 
เมื่อถูก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขุดอดีตขึ้นมาร้อง อดีตที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกฐานฉ้อโกง โดยศาลแขวงปทุมวัน สั่งจำคุกนายสิระ ในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีแดง หมายเลขที่ 2218/2538 อันเป็นผู้มีคุณสมบัติต้องห้ามของคนเป็นส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10)

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ในฐานะอดีต ผบ.ตร.นำมติ 7 ต่อ 2 เสียงที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ในคดีดังกล่าว ไปร้องต่อกกต.เป็นดาบสอง มาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.เช่นเดียวกับกรณีนายพิธาและกกต.ก็มีมติแจ้งความเอาผิด

ทั้งนี้ ตามมาตรา 151 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่กกต. ตั้งกรรมการสอบสืบสวนไต่สวนมีเนื้อหาว่า

“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนด 20 ปี”

“ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย” 

กล่าวสำหรับนายพิธาหากถูกชี้ตามมาตรานี้ นายพิธาจะมีโทษจำคุกสูงสุด 1-10 ปี ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี และยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องคืน “เงินเดือน-ค่าตอบแทนอื่นๆ” จากการเป็นส.ส.ทุกบาท ทุกสตางค์อีกด้วย

วิบากกรรมของพิธาบนเส้นทางก้าวเดินสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมันยากยิ่งกับสิ่งที่ก่อไว้แล้วไม่ได้แก้ให้จบสิ้นก่อนกระโดดเข้าสู่เวทีการเมือง รู้ทั้งรู้ว่า เมื่อยืนอยู่บนเวทีการเมือง ประวัติทุกเม็ดจะต้องถูกขุดคุ้ย ไส้ทุกขดจะถูกลากออกมากองให้สังคมได้ตรวจสอบ

ที่เห็นๆว่าถูกขุดคุ้ย ตั้งแต่ปัญหาในครอบครัวแตกแยกเลิกรากับภรรยา ถือหุ้นสื่อ ค้ำประกันเงินกู้ และขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

ลำบากแท้นะ “พิธา”เสียงมหาชน 14 ล้านเสียงอาจจะช่วยไม่ได้ เมื่อทำผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายต้องบังคับใช้โดยเสมอภาค เท่าเทียมกัน

นายหัวไทร

‘จตุพร’ ฟันธง ‘พิธา’ ชวดนายกฯ โดยบางส่วนใน 312 เสียง จะย้ายไปหนุนฝ่าย 188 เสียง

10 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คำพูด...เป็นนาย?" โดยกล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ถือหุ้นสื่อไอทีวีว่า เป็นข้อหาที่ผสมเกมการเมืองได้จัดเตรียมไว้ หากไม่เข้ามาเล่นการเมืองแล้ว การถือหุ้นสื่อก็ไม่มีปัญหา แต่กฎหมายกำหนดห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อจึงกลายเป็นปัญหา

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพทางสังคมสื่อไอทีวีไม่ได้ออกอากาศ อีกทั้งในข้อกฎหมายแล้ว บริษัทยังไม่ได้ปิดและไม่ได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์ ยังรายงานบัญชีทุกปี ดังนั้น กฎหมายจึงไม่ได้สนใจว่า ไอทีวีออกอากาศหรือไม่

นายจตุพร กล่าวต่อว่า วันนี้ไอทีวีไปอยู่ในเครือบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเจ้าของบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนขายอย่างดี นอกจากนี้ ยังแต่งตัวหุ้นกรณีของนายพิธา จนครบถ้วนตามกฎหมายห้ามถือหุ้นสื่ออีกด้วย โดยมีการถาม-ตอบในที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ดังนั้น การถือหุ้นสื่อไอทีวีจึงเป็นเรื่องการเมือง และนายพิธา ควรสงสัยมากที่สุดกับคนในฝ่ายเซ็น MOU ร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพียงแต่จะยอมรับความจริงได้หรือไม่ อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ได้หลุดออกมาจากทางอื่นเลย

"นายพิธา เมื่อเดิมพันด้วยแคนดิเดตนายกฯ จึงตกเป็นเป้าถูกการเมืองเล่นงาน ซึ่งในอดีตมีนักการเมืองโดนกันแทบทุกฝ่าย มีทั้งคนรอดและไม่รอดจากศาล รธน. ดังนั้น วันนี้นายพิธา จึงเจออุปสรรค ต้องต่อสู้ทุกคดีความตามกฎหมายในด่านต่างๆ ต้องมีสมาธิไปต่อสู้คดีการเมืองในทุกด่าน รวมทั้งต้องทำใจรับผลทุกกรณี แม้จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม”

นายจตุพร กล่าวว่า นายพิธา แม้ไม่ถูกร้องเรียนเป็นคดีถือหุ้นสื่อก็ตาม แต่ความจริงไม่สามารถได้เป็นนายกฯ ถึงมี 8 พรรครวมเสียง 312 ยังจับมือกันมั่นแน่น รวมทั้งออกข่าวร่วมกันว่า กำลังประสาน ส.ว. 100 คน ซึ่งบรรดากองเชียร์ฟังแล้วคงสบายใจมีความสุขเพิ่มขึ้น ก็ว่ากันไปให้บรรเจิด

"เรื่อง 100 ส.ว. มันเป็นเรื่องร้อยเล่ห์ มันไม่มีจริง แต่สามารถนำมาคุยให้ฟังเพื่อสร้างบรรยากาศความสุขกันได้ แต่ความจริงแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่ขาดเสียง ส.ว.อยู่ 64 คนเลย แค่หาเพียง 30 เสียงให้ได้ก่อนก็ยังยาก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะมีเสียงอย่างน้อย 376 เสียงจากทั้งหมดของสองสภา 750 เสียง จึงมีค่าเท่ากับศูนย์ เหตุนี้นายพิธา จึงไม่มีโอกาสได้เป็นนายกฯ เลย"

พร้อมประเมินว่า ถ้านายพิธา มีอุบัติเหตุการเมืองขวางไม่ให้ไปถึงโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ แล้ว แม้เปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่มาเป็นพรรคเพื่อไทยก็จะมีเสียง 8 พรรค 312 เสียงเหมือนกัน และต้องอาศัยเสียง ส.ว. อีก 64 เช่นกัน จึงยากจะตั้งรัฐบาลได้ไม่แตกต่างกัน

"ดังนั้น เมื่อหมากโหวตนายกฯ ตั้งรัฐบาลมันตัน ให้จับตาไว้จะมีปรากฎการณ์โคตรงูเห่าเกิดขึ้น โดยบางส่วนใน 312 เสียงจะย้ายไปหนุนฝ่าย 188 เสียง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้"

นายจตุพร เชื่อว่า เกมการเมืองแบบนี้ อาจะหลอกได้ในบางเวลาเท่านั้น แต่จะถูกจับได้อยู่ดี เนื่องจากคนที่ย้ายพรรคก่อนเลือกตั้งมาอยู่พรรคเพื่อไทยนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีชนักในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ทั้งสิ้น อีกอย่างรูปถ่ายในวันไปอำลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มูลนิธิป่าร้อยต่อฯ นั้น ยังสะท้อนเบื้องหลังรอยยิ้มเบิกบานเข้าตามแผนการเมืองได้ดี และไม่เพียงเท่านั้น ภาพๆนี้ ยังถูกปล่อยออกมาสื่อสารทางการเมืองเพื่อเขย่าขวัญสาธารณะ

อีกทั้งย้ำว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่มีสัจจะใดๆ ใครจะพูดอะไรก็ได้ วันนี้เรื่องไม่กลับบ้าน ทักษิณก็ไม่เหลือสถานภาพคนให้เสียอีกแล้ว แต่สิ่งสำคัญ กลับสร้างภาพให้ครอบครัวเบรคไม่ให้กลับบ้านแสดงถึงที่ผ่านมามีการดีลกันในทุกขั้นตอน เพราะหลุดคำว่า "กลัวจะถูกหลอก" ออกมา

นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องราวของทักษิณ เราเคยพยากรณ์มาตั้งแต่ต้นแล้ว กระทั่งถึงวันนี้ สรุปได้ชัดเจน คือ ไม่กลับมา และอีกอย่างยังตอกย้ำว่ามี การดีลทางการเมืองกันจริง อย่างไรก็ตาม ตามประสาการเมืองไม่มีสัจจะ แม้คุยกันต่อหน้าราบรื่น ยิ้มรับการแลกเปลี่ยนด้วยดี แต่ลับหลังพฤติกรรมปกติของนักการเมืองมักถามพวกตัวเองว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งการเมืองเป็นเช่นนี้มาตลอด ดังนั้น ประเทศต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกันใหม่ มาจัดความสมดุลให้เป็นจริง พร้อมกับแบ่งสรรทรัพยากรของชาติกันให้เท่าเทียม ขจัดการเหลื่อมล้ำ เพื่อจะได้นับหนึ่งประเทศกันเสียที

"แต่การเปลี่ยนแปลงสู่การนับหนึ่งประเทศใหม่ เกิดได้ยากมากภายใต้สมการการเมืองแบบไร้สัจจะ เอาเปรียบและมุ่งแสวงหาประโยชน์ของตนเองเช่นนี้ นักเลือกตั้งก็คิดแต่การเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่ไม่คิดถึงประเทศในวันต่อไป นักการเมืองจะไม่มีใจเป็นรัฐบุรุษ มีแค่จิตใจของนักเลือกตั้งเท่านั้น เราผ่านสิ่งเหล่านี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า" นายจตุพร กล่าว

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชำแหละรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ชี้!! เป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบได้ ไม่มีผลต่อ ‘พิธา’ ปมถือหุ้นสื่อ

วันที่ (12 มิ.ย. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมอิสระ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชื่อ ‘Bow Nuttaa Mahattana’ ถึงกรณี ความถูกต้องของรายงานการประชุม เพื่อการตรวจสอบความโปร่งใสของไอทีวี โดยระบุว่า…

แม้การตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องของรายงานการประชุมจะทำได้และควรทำ เพื่อการตรวจสอบความโปร่งใสของบริษัทมหาชน แต่จะไม่มีผลกับการวินิจฉัยประเด็น ‘การถือหุ้นสื่อ’ (ส่วนที่ว่าไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่) ของคุณพิธานัก (หากถูกส่งคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญหลังรับรอง ส.ส.) เพราะ

1.) หากศาลให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการประกอบกิจการ ว่าไอทีวียังมีการผลิตสื่ออยู่หรือไม่ ก็ต้องแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงอยู่แล้ว

2.) หากศาลให้ความสำคัญกับวัตถุประสงค์ของบริษัท ตามเอกสารจดทะเบียนบริษัท ก็มีปรากฏอยู่แล้ว และไม่เคยถูกเปลี่ยน

จึงต้องพิจารณาว่าความเป็นสื่อนั้น นับตามนิตินัยจากเอกสาร หรือพฤตินัยเฉพาะช่วงเวลา หรือประกอบกัน

คำตอบในเอกสารรายงานการประชุม จึงเป็นเพียงการยืนยันว่า บริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์อย่างกว้างๆ เท่านั้น ไม่ได้เจาะจงว่าทำอะไรแน่ชัด ซึ่งวัตถุประสงค์ทั้งหมดมีถึง 45 ข้อ

(ส่วนคดี ม.151 เป็นอีกประเด็น จะตั้งต้นได้ต้องวินิจฉัยประเด็นนี้ให้ชัดก่อน)
ที่มาเอกสารอ้างอิง : https://www.isranews.org/.../118460-inves09-545-4.html

ส่วนความเห็นส่วนตัวโบว์ที่พูดมาตลอด คือ กฎหมายนี้ไม่ควรมีอยู่แต่แรก ไม่สมเหตุสมผลทั้งในเชิงหลักการและการปฏิบัติ ทันทีที่ทำได้ควรแก้ไขค่ะ

นอกจากนี้ คุณโบว์ ยังได้โพสต์ข้อความอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “ประเด็น คือ ไม่ว่าจะเขียนอย่างไร คำตอบต่อคำถามนั้นในรายงานการประชุมก็ไม่มีผลต่อคดีคุณพิธา เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบได้อยู่แล้ว คำตอบตามเอกสารนี้จึงไม่ได้ให้คุณให้โทษกับใคร ไม่ว่าคนที่โยนคำถามจะมีเจตนาพิเศษอะไรหรือไม่ก็ตาม

ด้อมส้ม อย่าอ่านโพสต์นี้ด้วยอคติ (หรือไม่อ่านแต่พิมพ์ด่า) เพราะไม่มีส่วนไหนที่เป็นโทษกับคุณพิธาค่ะ ประเด็นคือ รายงานการประชุมนี้ ไม่สามารถให้คุณให้โทษกับคุณพิธาได้ในทางคดี

ส.ว.’ เพื่อนบิ๊กตู่ งัดไม้เด็ด ม.157 ขู่เตรียมสับ ‘กกต.’ เอาผิดฐานแทงกั๊ก ปมตรวจสอบคุณสมบัติ ‘พิธา’

ถ้าไม่มีอะไรผิดคิว สัปดาห์นี้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ ‘กกต.’ ก็คงจะเริ่มทยอยประกาศรับรองผลเลือกตั้งได้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะได้ช่วยให้บรรยากาศทางการเมืองให้ผ่อนคลายขึ้น…

แต่สำหรับเรื่องของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แม้จะมีความชัดเจนส่วนหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังมีความร้อนแรง และเงื่อนปมความยุ่งเหยิงซุกซ่อนอยู่ไม่น้อย…

มาทำความเข้าใจกันแบบช้าๆ ชัดๆ อีกครั้ง ว่ากันแบบเนื้อๆ เน้นๆ

ปลายสัปดาห์ที่แล้ว กกต.มีมติตีตกไม่รับเรื่องของปมคุณสมบัติกรณีถือหุ้นไอทีวี อ้างเหตุเพราะยื่นเรื่องร้องช้ากว่าที่ระเบียบกฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม กกต.โดยคุณแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงาน กกต.ได้ตอบคำถามพอที่จะสรุปทิศทางได้ว่า เรื่องคุณสมบัตินายพิธาจะดำเนินการได้ต่อเมื่อเป็น ส.ส.แล้ว ส่วนเรื่องคดีอาญาตามมาตรา 151 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง หรือ พ.ร.ป เลือกตั้ง 2560 นั้น ตอนนี้จะพิจารณาดำเนินการ

คำสัมภาษณ์ดังกล่าว คือที่มาของการจับประเด็น และพาดหัวไปในทิศทางเดียวกันของสื่อมวลชนน้อยใหญ่ว่า ‘พิธารอด” รับรองผลก่อน… สอยทีหลัง…

บางสำนักฯ ก็พาดหัวข้ามช็อต เอาบทลงโทษของ พ.ร.ป.เลือกตั้งมาตรา 151 มาพาดหัวว่า “พิธาหนักกว่าเดิม ลุ้นระทึกโดนตัดสิทธิ-ติดคุก…”

อย่างไรก็ตาม คุณแสวง บุญมี ก็ได้พูดกว้างๆ เอาไว้ตามหลักกฎหมายว่า เรื่องคุณสมบัตินั้นสมาชิกรัฐสภาและ กกต.สามารถยื่นเรื่องตาม “ความปรากฏ” ต่อ กกต.ได้ ตามมาตรา 82 (วรรคสี่) แต่ไม่ได้บอกว่า กกต.จะดำเนินการหรือไม่
.
ความที่ชอบแถลงกันแบบกำกวม หรือการ์ดสูงของ กกต.ชุดนี้นี่เอง ที่ทำให้นาทีนี้ กกต.ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ว่า หลายต่อหลายครั้งออกอาการ “เหยาะแหยะ และขาดความคมชัด”

และด้วยความไม่ชัดเจนกรณีการดำเนินการเรื่องคุณสมบัติของนายพิธานี่เอง ที่กลุ่มสมาขิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะ ส.ว.สายบิ๊กตู่ เตรียมทหารบกรุ่น 12 ได้จับกลุ่มหารือกันเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา และมีความเห็นคล้ายๆ กันว่า “ใช่หรือไม่? ว่าตอนนี้ กกต.กำลังโยนเผือกร้อนให้ ส.ว.และ ส.ส.โหวตคว่ำพิธาไปก่อน” จากนั้น กกต.ค่อยไปคิดอีกทีว่าจะทำอะไรหรือไม่ อย่างไร

ส.ว.กลุ่มนี้ตั้งคำถามด้วยว่า จะดำเนินคดีอาญา ตามมาตรา 151 กับนายพิธาได้อย่างไร ถ้าปัญหาคุณสมบัติยังไม่ได้ถูกพิจารณา และใครต่อใครก็รู้ว่า คดีอาญาตามมาตรา 151 นั้นใช้เวลาอีกนานและโอกาสรอดก็มีสูง เหมือนที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยรอดมาแล้ว เพราะอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องเมื่อปี 2565 หลังจากใช้เวลาทั้งหมด 2 ปีครึ่ง…

หลายเสียงใน ส.ว.กลุ่มนี้ เลยตั้งประเด็นขึ้นมาว่า หาก กกต.ไม่ดำเนินการประเด็นคุณสมบัติของนายพิธาให้เป็นที่แจ้งชัด อาจจะต้องฟ้อง กกต.ผิดอาญามาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ก็ได้…

“ขอเวลาให้พวกผมดูข้อกฎหมาย รายละเอียดต่างๆ ให้รอบคอบ หาข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมอีกหน่อย” ส.ว.เตรียมทหารรุ่น 12 ท่านหนึ่งกล่าว

พูดถึง ส.ว.จากเตรียมทหารบก รุ่น 12 ก็ต้องบอกว่าพวกเขาคือขุมกำลัง ส.ว.สายทหารที่ใหญ่ที่สุดมีถึง 28 คน เสียชีวิตไปหนึ่งคน คือ พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงศ์ เหลือ 27 คน ที่ชื่อคุ้นๆ เช่น พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ, พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ, พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์, พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร, พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เป็นต้น

สรุปว่า ในชั้นนี้… พิจารณาจากไทม์ไลน์แล้วอีกเดือนเศษ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็จะเดินเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ในฐานะแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี… แต่โอกาสผ่าน 376 เสียงนั้นยังมืดมิด ส่วนหลังจากนั้น จะถูกสอยด้วยปัญหาคุณสมบัติหรือไม่อย่างไร ก็รอดูกระบวนท่า กกต.อีกนิด ก็จะชัดเจนขึ้น

 

‘ปรเมษฐ์ ภู่โต’ ชี้สาระสำคัญคดี ‘พิธา’ ไอทีวี ยังถือว่าเป็นสื่อ ส่วนเรื่องคลิป-รายงานประชุม ต้องไปพิสูจน์กันอีกเรื่อง

นายปรเมษฐ์ ภู่โต นักข่าวสื่อมวลชนอาวุโส และผู้ดำเนินรายการคุยถึงแก่น ซึ่งออกอากาศทางช่อง NBT ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงกรณีการถือครองหุ้นไอทีวี โดยมีใจความว่า ...

คิดเอง จากข่าว....
ถ้าเอาตามที่ นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต. ออกมาให้ความเห็น สาระสำคัญแห่งคดี น่าจะอยู่ที่ Itv ยังไม่ได้ไปจดเลิกกิจการ หรือเปลี่ยนวัตถุประสงค์ ดังนั้นจึงยังถือว่า เป็นบริษัทที่ยัง "ประกอบกิจการสื่อ" 

ส่วนเรื่องคลิปการประชุมผู้ถือหุ้น ไม่ตรงกับ รายงานการประชุมที่เป็นเอกสารนั้นเป็นคนละประเด็น

ประเด็นสำคัญคือ

1.พิธา ถือหุ้น Itv ณ วันสมัครรับเลือกตั้งจริง

2.บริษัท ItV ยังคงเป็นบริษัท ที่ถือว่าดำเนินการสื่อจริง
แม้ว่าวันนี้จะไม่มีสถานีโทรทัศน์ Itv แพร่ภาพอยู่ก็ตาม แต่ บริษัท ยังคงมีความประสงค์จะประกอบกิจการสื่อ ตามวัตถุประสงค์ ไม่ได้มีการแจ้งยกเลิก

3.พิธา รู้ว่า ตัวเองถือหุ้นสื่อ ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้าม แต่ก็ยังไปสมัคร 

4.ถ้าจะสู้ว่า ก็รู้ว่าถือหุ้น แต่คิดว่าItv ไม่ได้เป็นสื่ออีกแล้ว

ฟังขึ้นหรือไม่ กะอีแค่ให้คนไปคัดเอกสาร ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อมาตรวจสอบให้แน่ใจ มันยากตรงไหน

5.ส่วนคลิปที่ข่าว3มิติ ที่ไม่ตรงกับเอกสารรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ตัดต่อ หรือ ไม่ เป็นคนละส่วนที่ต้องไปพิสูจน์ความจริง

อาจจะมีผลในแง่สนับสนุนคำกล่าวของพิธาที่ว่า มีขบวนการฟื้นItv เพื่อสกัดไม่ให้เป็นนายกฯ 
แต่ไม่น่าจะมีผลต่อคดี

จบ....สวัสดี
 

‘สุริยะใส’ ผ่าปมคลิปบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ชี้!! ข้อมูลมัดตัวแน่น คลิปและเอกสาร ขัดแย้งกันชัดเจน

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีเอกสารรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566 ที่ลงนามโดย นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานในที่ประชุม โดยระบุว่า มีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งถามในที่ประชุมว่า “ไอทีวียังประกอบกิจการสื่อหรือไม่?” ซึ่งในบันทึกการประชุมระบุไว้ว่า “ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ”

จนกระทั่ง เมื่อไม่นานนี้ ได้มีการนำเอาคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวี ประจำปี 2566 บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 ออกมาเปิดเผย โดยในคลิปวีดิโอดังกล่าว มีเสียงคำถามที่ถามโดยผู้ถือหุ้นว่า “บริษัท ไอทีวี มีการดำเนินงานเกี่ยวกับสื่อ หรือไม่” โดย นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ในฐานะประธานในที่ประชุม ให้ตอบว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ นะครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ”

ซึ่งทำให้ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาล่าสุด มีความขัดแย้งกับเอกสารรายงานการประชุมที่ถูกเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ จนทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อเรื่องดังกล่าวในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในทวีตเตอร์ ที่ได้มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าวอย่างแพร่หลาย และมีการติดแฮชแท็ก #หุ้นitv ไปแล้วมากกว่า 1 แสนทวีต

ล่าสุด วันนี้ (12 มิ.ย. 66) ผศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ออกมาโพสต์คลิปผ่านสื่อโซเชียลติ๊กต็อกส่วนตัว ชื่อ ‘suriyasai_k’ โดยได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวนี้ ว่า…

“เรื่องหุ้นไอทีวีของคุณพิธา นับวันจะยิ่งเป็นมหากาพย์ และได้กลายเป็นมหากาพย์ของการเมืองไทยไปแล้ว และดูเหมือนไม่มีท่าทีจะจบลงง่ายๆ ประเด็นเก่าหลุดไป ก็มีประเด็นใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีกตลอดเวลา จนล่าสุดก็ได้มีประเด็นบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นหลุดออกมาเป็นคลิปวิดีโอจากสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง และได้มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ ณ ขณะนี้”

นอกจากนี้ ผศ.ดร. สุริยะใส ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า คลิปวิดีโอบันทึกการประชุมที่หลุดออกมานั้น มีรายละเอียดคนละอย่างกับที่บันทึกในเอกสาร ซึ่งในบันทึกการประชุมรูปแบบเอกสาร โดยเฉพาะในช่วงคำถามที่ผู้ถือหุ้นถามถึงประเด็นที่ว่า ไอทีวียังประกอบกิจการอยู่หรือไม่นั้น ในเอกสารได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ว่า คำตอบคือ ยังประกอบกิจการสื่ออยู่ปกติ แต่ในคลิปวิดีโอที่หลุดออกมาโดยสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง ไม่ได้กล่าวแบบนั้น และยังกล่าวตรงกันข้าม ว่า ไม่ได้ดำเนินกิจการอะไร ยังต้องรอศาลปกครองตัดสินในคดีที่เป็นคู่ขัดแย้งกับสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะมีคำตัดสินออกมาในปลายเดือน มิ.ย.นี้

คำถามที่ต้องคิดต่อจากนี้ คือ

1.) หากคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมนี้เป็นความจริง แสดงว่าเอกสารฉบับนั้น เป็นของปลอม และมีคนไปแก้บันทึกการประชุม ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมาไล่เรียงกันว่า ใครบ้าง ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีตัวละครเกี่ยวคนที่ต้องดำเนินคดีกันอย่างถึงที่สุด

2.) หากคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมนั้นไม่ใช่ของจริง ก็ต้องมาตรวจสอบว่ามีการตัดต่อคลิปวิดีโอหรือไม่ และความจริงหรืออะไร เพราะมีผู้ที่ตั้งข้อสังเกตว่า เสียงและภาพในคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมนั้น มีความไม่สอดคล้องกัน ไม่ตรงกัน 100% จึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีการตัดต่อหรือไม่

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไป ว่าคลิปวิดีโอที่ถูกปล่อยออกมานั้น เป็นของจริงหรือผ่านการตัดต่อ และถ้าหากเป็นคลิปวิดีโอจริงที่ไม่ผ่านการตัดต่อ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับเอกสารบันทึกการประชุมก่อนหน้านั้น ซึ่งมีรายละเอียดไม่ตรงกัน

“ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ สมมติว่า บันทึกที่เป็นเอกสารนั้นเป็นของปลอมก็ไปไล่จับผู้ที่ทำการแก้ไขกันต่อไป และหากคลิปวิดีโอที่ปล่อยออกมานั้นเป็นของจริง คดีจะหายไปหรือไม่? อย่าลืมนะครับว่า คดีที่มีการสอบสวนอยู่ ณ ขณะนี้ คือ “คุณพิธาถือหุ้นสื่อไอทีวีอยู่หรือไม่?” คำตอบคือ “ยังถือหุ้นอยู่จริง” และคำถามที่ว่า “ไอทีวี ยังเป็นสื่ออยู่หรือไม่?” ตรงนี้ผมไม่ทราบ แต่ ไอทีวียังไม่ได้แจ้งยกเลิกการประกอบกิจการ ซึ่งหมายความว่า ไอทีวีจะกลับมาประกอบกิจการเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ในประเด็นนี้ยังไม่สามารถตัดออกไปได้ อาจจะเป็นคนละประเด็นกับคลิปบันทึกการประชุมว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แต่คดีการถือหุ้นสื่อนี้ ยังคงอยู่ บางคนอาจจะบอกว่าคดีจะเบาลง แต่ผมว่าก็คงจะเบาลงเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ยังคงต้องติดตามกันต่อไป เพราะเรื่องนี้จะยังไม่จบลงง่ายๆ ครับ” ผศ.ดร.สุริยะใส กล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top