Sunday, 12 May 2024
พิธา

‘อลงกรณ์’ ฟันธง ‘พิธา’ รอดคดีหุ้นไอทีวี เชื่อ จบในชั้นกกต. ภายใน 45 วัน

นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.หลายสมัยเขียนเฟซบุ๊กวิเคราะห์คดีหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เรื่อง “กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต. เรื่องง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน” โดยสรุปว่านายพิธาไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี จึงไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา151 และชี้ว่าคดีนี้จะจบลงในชั้น กกต. ภายใน45วันโดยมีข้อความดังนี้

ผมติดตามเรื่องหุ้นไอทีวี และมีความเห็นส่วนตัวในฐานะอดีต ส.ส.และอดีตรัฐมนตรี
จึงขออนุญาตแสดงความเห็นตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงในข้อเขียนสั้นๆเรื่อง
”กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต. เรื่องง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน” ดังนี้ครับ

“กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต.
เรื่องง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีการระบุไว้ในมาตรา 98(3) ซึ่งว่าด้วยคุณสมบัติที่ห้ามลงสมัคร ส.ส. โดยระบุว่า “ห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ”

ดังนั้นกฎหมายลูกคือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 จึงบัญญัติมาตรา 151 ความว่า “..ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร …(ลักษณะต้องห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ)

กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ถือครองเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 151ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 หรือไม่ เรื่องนี้มีหลายมุมมอง แต่สำหรับผมมีความเห็นดังนี้ครับ

1.ประเด็นหุ้นไอทีวี.ไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะมีคำถามเดียวที่ต้องพิสูจน์คือ หุ้นไอทีวี เป็นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือเป็นของกองมรดกที่นายพิธาเป็นผู้จัดการมรดก เป็นปมสำคัญที่สุด

2.การพิจารณาข้อกฎหมายเรื่องหุ้นไอทีวี ของนายพิธาคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยเฉพาะ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก

3.จากการประมวลข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบโดยปราศจากอคติจากทุกฝ่ายได้ความว่า นายพิธาถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดกไม่ใช่ถือในนามส่วนตัวและในฐานะทายาทได้สละมรดกแล้วซึ่งมีผลว่าไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นตั้งแต่ปี2550 

4.เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจึงสรุปได้ว่า นายพิธาไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 151 

5.ดังนั้นประเด็นเรื่องหุ้นไอทีวี จะปิดสำนวนในชั้น กกต. ภายใน 30 วันหรือ 45 วัน
การพิจารณาประเด็นหุ้น ไอทีวี. ต้องยึดหลักความยุติธรรมโปร่งใสเป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัย อย่าทำให้เป็นคดีการเมือง

ผมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแข่งขันกับนายพิธาและพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องช่วยผดุงความยุติธรรมเมื่อเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นกับใครก็ตามแม้แต่คู่แข่งทางการเมือง เพราะความยุติธรรมที่เที่ยงธรรมจะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง การบริหารประเทศด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรมสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยในวันนี้และวันข้างหน้าครับ.
 

‘จตุพร’ ฟันธง กรณีหุ้นไอทีวี แม้มีคลิปเสียงหลุด ‘พิธา’ ก็ไม่ได้นั่งเก้าอี้

วันที่ 13 มิ.ย. 2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ข่าวดี…มาก่อนข่าวร้าย?” โดยเชื่อว่า คลิปเสียงประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีจงใจหลุดออกมาปฎิบัติการตอกลิ่มขัดแย้งให้พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยที่กำลังช่วงชิงนายกฯ ถึงที่สุดปลายทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะคว้านายกฯ ไปครองสำเร็จ

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีหุ้นไอทีวี เกี่ยวข้องทั้งทางการเมืองและกฎหมาย โดยไอทีวีเกิดขึ้นในปี 2535 ต้องการให้เป็นสื่อเสรี เป็นช่องทางสาธารณะของประชาชน ไม่อยู่ใต้การครอบงำของรัฐ แต่สามารถดำเนินธุรกิจได้

กระทั่งไอทีวีมาอยู่ในมือของชินคอร์ป แล้วเกิดปัญหากับนักข่าวหลายคน นักข่าวที่มีทัศนคติเป็นปัญหากับเจ้าของก็ถูกสั่งให้ออก เมื่อเกิดปัญหาจ่ายค่าสัมปทานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จนถูกฟ้องร้องยกเลิกสัญญาพร้อมเรียกเงินค้างจ่ายค่าสัมปทานระบบ UHF

อย่างไรก็ตาม บริษัทไอทีวีถูกขายต่อกันหลายทอด จนมาอยู่กับบริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน โดยบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับบริษัทพลังงาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเจ้าของเดิมไอทีวี อีกทั้งได้สัมปทานไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ โดยไม่ต้องประมูลแข่งขัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในด้านพลังงานในปัจจุบัน แล้วไอทีวี กลายเป็นประเด็นการเมืองและถกเถียงด้านกฎหมายคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.

อีกทั้ง กล่าวว่า ถ้านายพิธา เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่เป็นนักการเมือง หรือไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ขอบเขตกฎหมายไม่สามารถเข้าไปจัดการกับการถือหุ้นไอทีวีได้ แต่ความจริงคือ นายพิธา เมื่อเป็นนักการเมือง กฎหมายมีข้อห้ามถือหุ้นสื่อ จึงเกิดรอยปริทางอำนาจขึ้นอย่างเดือดระอุ

นายจตุพร กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปกติมีหน้าที่แจกข่าวดีเป็นส่วนใหญ่ โดยข่าวดีที่แจกแล้ว คือ ยกเลิก 3 คำร้องจากผู้ร้อง 3 คนให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ของนายพิธา กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี จากนั้นจึงนำไปไต่สวนตามข้อหาคดีอาญา ม.151 ของ พรป.เลือกตั้ง ส.ส.ปี 2561 เกี่ยวกับการรู้ว่าไม่มีคุณสมบัติแล้วมาสมัครเลือกตั้ง ดังนั้น แสดงว่า คำร้องคุณสมบัติต้องห้ามการถือหุ้นสื่อน่าจะมีมูลพอสมควร จึงต้องไต่สวนหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปดำเนินคดีอาญา

รวมทั้ง กล่าวว่า เส้นทางของ ม.151 แม้มีการสร้างจินตนาการถึงการต่อสู้ได้ยาวนานถึง 3 ศาลกว่าจะผลยุติ แต่เมื่อไต่สวนจนมีความปรากฎ กกต. สามารถใช้ ม.98 (3) ของ รธน. 2560 ยื่นให้ ศาล รธน.วินิจฉัยได้ อีกอย่างผู้ร้อง 3 คนที่ถูกยกคำร้องนั้น ยังสามารถมายื่นใช้สิทธิตาม รธน.ได้ด้วย ซึ่ง กกต. อาจได้ชี้แจงให้ผู้ร้องรับทราบด้วยแล้ว

“ในข่าวดีที่ กกต. แจ้งยกคำร้องการถือหุ้นสื่อนั้น ยังมีข่าวร้ายคือ ทันที่นายพิธา ได้รับการรับรอง ส.ส. ผู้ร้องเดิมทั้ง 3 คนยังร้องต่อไปได้ หรือเมื่อผลจากตั้งกรรมการไต่สวน กกต.ก็ดำเนินการเอง โดยไม่จำเป็นให้แต่ละสภายื่นตรวจสอบคุณสมับัติห้ามถือหุ้นสื่อเลยก็ได้”

นายจตุพร ตั้งข้อสังเกตุว่า มันง่ายไปหรือไม่ที่บริษัทไอทีวีประชุมผู้ถือหุ้นโดยเปิดเผยผ่านช่องทางโชเชียลมีเดีย แล้วมีรายงานการประชุมออกไป ถัดจาดนั้นตามด้วยหลุดคลิปเสียงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะเสียงในการประชุมกับบันทึกการประชุมไม่ตรงกัน

อย่างร็ตาม ผู้คนไม่สนใจว่า ทางกฎหมายบริษัทไอทีวียังอยู่ และยังไม่ได้ปิดบริษัท หรือจดทะเบียนยกเลิกบริษัท จึงทำให้เกิดอารมณ์แรกที่ชัดเจน คือ การบันทึกรายงานการประชุมกับคลิปเสียงที่ออกไม่ตรงกัน ได้กลายเป็นข่าวดีกล่อมสร้างบรรยากาศดีใจของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล

“วันนี้ ถ้าเอาอารมณ์ความรู้สึกมาสร้างความชอบธรรมและอธิบายสาธารณะแล้ว ย่อมได้ทางการเมืองแน่นอน แต่ข้อกฎหมายนั้น มันยังดิ้นยากอยู่ เหตุคลิปเสียงนี้ออกมาจะเรียงร้อยทุกเรื่องให้มีนัยยะสำคัญ โดยไม่รู้ใครหย่อนออกมาให้กระจายไปในสาธารณะ และมีเจตนาอะไร แต่ก็เป็นข่าวดีสร้างขวัญกำลังใจให้นายพิธา กับผู้สนับสนุน ถึงที่สุดก็ไม่ใช่ปลายทางของการเมือง”

นายจตุพร กล่าวว่า อีกมุมหนึ่งการหลุดคลิปเสียงนั้น อาจส่งแรงกระเพื่อมและตอกลิ่มให้พรรคการเมืองจำนวน 312 เสียงก็ได้ เพราะคลิปเสียงดูเหมือนทำให้เกิดความรู้สึกว่า เกมพลิกแล้ว และเกิดความชอบธรรมทางการเมืองให้เกิดขึ้นกับนายพิธา ทั้งที่หากไม่มีคลิปเสียง กกต.ก็สามารถปิดเกมถือหุ้นสื่อได้อยู่แล้ว

สิ่งสำคัญ นายจตุพร เชื่อว่า กกต.ได้ปล่อยข่าวดีมาสร้างความชอบธรรมให้พรรคก้าวไกลมาต่อเนื่อง โดยเริ่มยกคำร้องการถือหุ้นสื่อ 3 คำร้อง ตามด้วยยกคำร้องการยุบพรรค 4 คำร้องในเวลากลางวันของวันอาทิตย์ และกระจายสะพัดสาธารณะในช่วงกลางคืนทันที ปรากฎการณ์นี้แสดงถึง กกต.กำลังลดความกดดันทางการเมืองที่ร้อนแรง ซึ่งเริ่มระอุเดือดขึ้นกับพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุน

อีกทั้ง เห็นว่า การสร้างข่าวดี ด้วยการยกคำร้องต่างๆ นั้น ทำให้ กกต.เริ่มกลายเป็นตัวดีในอารมณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นขึ้นของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล แต่ในปลายทางของการไต่สวน กกต.อาจจะกำไม้เด็ดไว้ในมือ เพื่อจัดการและมุ่งหวังผลในทางการเมืองอย่างเด็ดขาดในสถาการณ์ประทุขึ้นเมื่อปลายทาง

“เมื่อรายงานการประชุมหลุดออกมาในช่วงบรรยายสร้างข่าวดีของ กกต. แล้วเกิดคลิปเสียงหลุดออกมาอีกจากผู้อำนวยการสร้างข่าวดีคนเดิมที่ออกแบบสร้างให้เกิดความขัดแย้งในฝากฝั่งพรรคที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย และจะยิ่งตอกลิ่มหนักขึ้น เมื่อ กกต. รับรอง ส.ส.ให้เกิน 475 เสียง และที่ไม่รับรองก็จะจัดการเลือกตั้งด่วน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งหมด แล้วความวุ่นวายจะประทุประเดประดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”

นายจตุพร กล่าวว่า การคิดอ่านทางการเมืองในรอบนี้ ถึงนายพิธา จะถูกหยุดหรือไม่หยุดการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่มีกรณีถือหุ้นไอทีวีมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นก็ตาม ย่อมหาเสียงไม่ได้ถึง 376 เสียงอยู่ดี ดังนั้น แม้มีคลิปเสียงหลุดออกมา นายพิธา ก็ไม่ได้เป็นนายกฯ อยู่ดี

“สิ่งสำคัญ ทางที่กำลังเดินไปสู่ปลายทางนั้น จะเห็นคู่มวยอย่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยกำลังเริ่มตั้งท่าเดือดใส่กันในกรณีเลือกประธานสภา และเลือกนายกฯ ซึ่งฟันธงได้เลยว่า คนเป็นนายกฯ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคพลังประชารัฐ) ส่วนใครจะโหวตกันบ้าง คอยดูงูเห่าจะเลื้อยเพ่นพ่านในห้องประชุมสองสภาวันโหวตเลือกนายกฯ”

นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองครั้งนี้ อะไรที่ดีอย่างผิดปกติ ย่อมไม่ธรรมดา ดังนั้น ร่องรอยเรื่องคลิปหลุดสืบสาวกันไม่ยาก แต่ถึงที่สุดความขัดแย้งก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปลายทางที่กำหนดความต้องการไว้ เพราะการเมืองเป็นกลเกม และในกระดานแห่งอำนาจที่ต้องช่วงชิงกันรอบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายการออกแบบไว้.

โบว์ ณัฏฐา’ ชี้ มีความพยายาม เบนความสนใจ กรณีหุ้นไอทีวี ทั้งที่ ความจริงมีแค่ ไอทีวีเป็นสื่อ - พิธาถือหุ้น

วันนี้ (14 มิ.ย. 66) นางสาวณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ นักกิจกรรมอิสระ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ที่ชื่อ ‘โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา - Nuttaa Mahattana’ เกี่ยวกับเรื่องที่ ไอทีวี ยังคงดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของบริษัท มีการส่งงบการเงินและเสียภาษีอยู่ โดยระบุว่า…

สิ่งที่ระบุในรายงานผู้ถือหุ้นไอทีวี เป็นความจริงเกี่ยวกับธุรกิจ คือบริษัทยังดำเนินการตามวัตถุประสงค์บริษัท ส่งงบการเงินและเสียภาษีอยู่ 

ซึ่งวัตถุประสงค์บริษัทมี 45 ข้อ ไอทีวีอาจไม่ได้ดำเนินการตามข้อ 40 ที่ว่าด้วยการประกอบการวิทยุโทรทัศน์ แต่ยังดำเนินการตามข้อ 41 ที่ว่าด้วยการผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ ตามที่ระบุในงบการเงินตั้งแต่ปี 65 

เรื่องทั้งหมดเป็นกิจการของบริษัทที่เกิดขึ้นตามปกตินานก่อนจะมีเรื่องการร้องเรียนคุณสมบัติคุณพิธาปมถือหุ้นสื่อ ก่อนคุณพิธาจะได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดทนายกฯของพรรคก้าวไกล ก่อนจะมีการเลือกตั้งและรู้ผลกัน

การพยายามสร้างทฤษฎีสมคบคิดต่างๆนานา คือความพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในคดีที่เกี่ยวกับคุณสมบัติ ส.ส. และแคนดิเดทนายกฯตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีแค่ …

- ไอทีวี เป็นสื่อฯหรือไม่?
- คุณพิธาถือหุ้นไอทีวีขณะสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่?
เท่านี้เอง.

‘เปลว สีเงิน’ ชี้!! ไม่มีใครขวางจัดตั้ง รบ. ทุกอย่างทำตามขั้นตอน แนะ ‘ติ่งส้ม’ ดูกลเกม ‘พท.’ เป็นตัวอย่าง อย่ามัวแต่พล่ามไปเรื่อย

วันที่ (14 มิ.ย. 66) ‘เปลว สีเงิน’ นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้นำเสนอบทความ ในหัวข้อ “พล่านกันเอง "จนพัง" โดยระบุว่า…

ท่านว่าที่นายกฯ พิธาครับ

หมู่นี้ ท่านไม่ซ่าเหมือนโซดาเปิดขวดใหม่ๆ เลยนะครับ

ไม่เอาน่า… โซดาตายไม่ดีหรอก แฟน ๆ ‘สุราเสรี’ เขาจะเซ็ง เพราะเติมลงไป ปร่าเหมือนน้ำล้างตีน!!

‘ก้าวไกล’ เป็นพรรคตรวจสอบมิใช่หรือ เห็นตรวจสอบดะ (ไม่เลือก) ไม่เว้นแม้กระทั่งงบประมาณ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ที่เว้นตรวจสอบ เห็นมีแต่คดี ‘แม่สมพร-ธนาธร-พี่สาว’ รุกป่าสงวน กับคดีน้องชายว่าด้วย ‘สินบน 20 ล้าน’ เจ้าพนักงานทุจริตที่ดินทรัพย์สินฯ เท่านั้น

น่าจะส่ง ‘แอลคาโปน-วิโรจน์’ ไปตรวจสอบตำรวจหรืออัยการดูหน่อยนะว่า “มันติดอยู่ขั้นตอนไหน จะสิบปีแล้ว คดีจึงยังไม่ไปถึงศาล?”

ทีคดี ‘เอ๋-ปารีณา’ รุกป่าละก็ แหม… แจ้งปุ๊บ จับปั๊บ ฟันฉับทันที พ้นสภาพ ส.ส. ถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต คดีอาญาว่าด้วยโทษคุกตามมาเป็นพรวน

หรือกับ นายกฯ พลเอกประยุทธ์ ตอนเป็นรัฐบาลอำนาจเต็ม ถ้าจับแก้ผ้าตรวจได้ ก้าวไกลคงทำไปแล้ว เพราะช่วงนั้น เห็นทั้งตรวจ ทั้งสอบทุกอิริยาบถ กระทั่งจะตด ก็แทบเอาเครื่องมาตรวจจับว่า ‘สร้างมลพิษภาวะ’ เข้าข่ายผิดมาตราไหน?
.
ตรวจแค่นายกฯ ไม่พอ ยังลามปามไปถึงบิดาท่านด้วยซ้ำ!!
.
แล้วนี่ พิธา แค่เห็น ‘เงาเนื้อในน้ำ’ เที่ยวเดินสายโอ่อวดตัวเองไปทั่วบ้าน-ทั่วเมือง “ผมนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย”

แต่พอถูกตรวจสอบเรื่อง ‘ถือหุ้นสื่อไอทีวี’ เข้าหน่อยเท่านั้น เป็นไงล่ะ… แรก ๆ ยังปากแจ๋ว สื่อ, นักวิชาการ, อาจารย์มหาวิทยาลัยช่วยกันอุ้มไข่พ่อส้ม อุ้มไป-อุ้มมา ชักหนัก เพราะเป็นไข่ไส้เลื่อน

เมื่ออุ้มไม่ไหว… ขบวนการ ‘ออกลาย-ออกสันดานโจร’ ทันที

ไอ้ตาปลาดุก เจ้าของแผนชั่วร้าย ‘ปฏิวัติชนิดขุดราก-ถอนโคน’ ขู่ฟอด

ถ้าพิธา-ก้าวไกล ไม่ได้เป็นนายกฯ ไฟจาก ‘เหนือจรดใต้’ จะลุกพรึ่บ!! เหนือ-อีสานบอก ดี กูจะได้เผาข้าวหลาม ใต้บอก ไม่ต้องก็ได้ ไฟบ้านกู ลุกทุกวันอยู่แล้ว

เมื่อขู่ไม่มีใครสน ก็ไปเค้น กกต.ให้รีบประกาศรับรอง ส.ส. อยากเข้าไปเป็นรัฐบาลไว ๆ ความเจริญจะได้กระจายกลิ่นฟุ้ง กกต. (ไม่ได้บอก) ก้าวไกล มี ส.ส. 151 มิใช่หรือ?

งั้นเอาอาญา ‘มาตรา 151’ โทษคุก 1-10 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี เป็นออเดิร์ฟไปก่อน

โทษฐาน “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ”

เท่านั้นแหละ พระเอกยี่เก ‘มุดเข้าฉาก’ เงียบฉี่!! มีแต่ ติ่งส้ม สื่อ นักวิชาการ อาจารย์ สาวกส้ม ประเภท 3 โลร้อย ออกมาสร้างกระแสเบี่ยง มีขบวนการ ‘ล้มพิธา’ ไม่ให้เป็นนายกฯ บ้าง มีการ ‘ปลุกผี ITV’ ขึ้นมาใหม่บ้าง

ตอนนี้ ‘ก้าวหน้า-ก้าวไกล’ ไปถึงขั้นปลุกกระแสว่า ‘ขั้วอำนาจเก่า’ ชักใย-วางยา หวังชิงความเป็นรัฐบาล!!

โถ โถ เจ้าหนูน้อยเอ๊ย…

เม็ดพริกเจ้ายังจ้อย คิดได้-ทำได้ ตามประสา ‘เด็กมีปัญหา’ เท่านี้แหละ ตรวจสอบคนอื่นได้ พอถูกตรวจสอบบ้าง ร้องเอ๋ง โทษคนโน้นแกล้ง คนนี้วางยา แล้วคลิปกระจอก ๆ นั่นน่ะ มันช่วยฟอกผู้ร้ายให้กลายเป็นพระเอกไม่ได้หรอก บอกให้ด้วยเวทนา!!

ITV น่ะนะ อย่าปลุกผีขึ้นมาเชียว ขอร้อง ไม่ใช่อะไรหรอก ฟื้นวันไหน ก็ต้องยุบ ‘ไทย-พีบีเอส’ ไปวันนั้นน่ะซิ

แล้วแก๊งส้ม แก๊งเอ็นจีโอ แก๊งนอนกิน แก๊งปฏิวัติแบบขุดราก-ถอนโคน จะไปอาศัยสิงอยู่ที่ไหนกันล่ะ?

เพราะ ITV เป็น ‘เชื้อเกิด’ ของ ไทย-พีบีเอส สมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ยึดสัมปทานไอทีวี แล้วให้กำเนิด ไทย-พีบีเอส ขึ้นมาแทน เป็นหน่วยงานของรัฐ มีสถานะเป็นนิติบุคคลมหาชน จัดตั้งตาม พ.ร.บ. องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ใช้ ‘งบประมาณประจำปี’ จากการจัดเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่ โดยไม่เกินปีละ 2,000 ล้านบาท

เนี่ย…

ถ้า ITV ฟื้น กลับเป็นของ ‘บริษัทไอทีวี’ ตามเดิมได้ รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินปีละ 2,000 ล้าน ให้มีสถานีโทรทัศน์ของรัฐฯ คอยจิก-คอยกัดรัฐฯ สร้างทัศนคติโน้มน้าวให้คนเกลียดชังรัฐฯ อีกต่อไป เพราะ ITV เมื่อฟื้นมา เขาก็อาจทำหน้าที่นั้นแทนได้ โดยรัฐบาลไม่ต้องจ่ายค่าชังชาติให้ 2,000 ล้าน/ปี ตรงกันข้าม จะได้ค่าสัมปทานเข้ารัฐแทนด้วยซ้ำ!!

นี่พูดเล่นใน ‘เรื่องจริง’ หรอกนะ แต่สำนึกกันบ้างก็ดี พวกจิตคดไม่ต้องกลัว ยังไงๆ รัฐบาลเขาก็ไม่ ‘ทุบหม้อข้าว’ ใบนี้แน่

ในความดูเหมือนบ้านเมืองตอนนี้สับสนอลหม่าน คล้ายว่า รัฐบาล 8 พรรคที่มี ‘ก้าวไกล-พิธา’ เป็นแกนนำ มีปัญหาจนเกิดมลพิษภาวะทางการเมือง เผิน ๆ ก็ประมาณนั้น แต่ถ้าเรามีสติ ถอยห่างจากข่าวสารบิดเบี้ยวและเลอะเทอะจากพวกปัญญาเชิงปฏิบัติสักนิด จากนั้น ใช้สายตาด้วย ‘กฎเกณฑ์-กติกา’ มองกลับเข้าไป ก็จะเห็นว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรค-ปัญหาเลย!!

เอ้าดู… เลือกตั้ง 14 พฤษภาคม รุ่งขึ้นก็รู้คร่าวๆ แล้ว ก้าวไกล ได้รับเลือกตั้งมากสุด 151 เสียง ทุกพรรค ‘ทั้งหมด’ ไม่มีใครเกี่ยงงอน ไม่มีใครขี้แพ้ชวนตี ไม่มีใครออกมาพูดจากวนตีนพรรคชนะอันดับ 1 ก้าวไกล ประกาศเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลได้ราบรื่น เพื่อไทย พรรคอันดับ 2 ด้วยเสียง 141 เมื่อก้าวไกลชวนร่วม 8 พรรคตั้งรัฐบาล ก็พับเพียบรับสนอง มีข้อแม้เพียงว่า “ร่วมด้วย แต่ไม่ขอร่วมในการพูดจาดำเนินการอะไรกับการทำหน้าที่จัดตั้ง”

ฝ่ายรัฐบาลเดิม คือ รัฐบาลประยุทธ์ ทั้งพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา รวมไทยสร้างชาติ เข้าแถว-เปิดทาง ผายมือให้ก้าวไกล

“เชิญจัดตั้งได้ตามสบาย ไม่เกี่ยงงอน ไม่เล่นแง่ ไม่ยื่นแข้งขัดขา ด้วยประการทั้งปวง”

สรุป ทุกอย่างราบเรียบ ทางเปิดโล่งให้ก้าวไกลตั้งรัฐบาล มีเพียงเสียง ‘จิ้งจกทัก’ เท่านั้น นายเรืองไกร เขาทำหน้าที่ตรวจสอบตามวิถีของเขา พบหลักฐาน ‘พิธาถือหุ้นสื่อไอทีวี’ จึงไปร้องให้ กกต. ตรวจสอบ!!

เท่านั้นแหละ… ทั้งพรรคส้ม ทั้งติ่งส้ม พล่านกันเอง ประหนึ่งสิ่งมีชีวิตแต่ไร้สมอง เช่น ราเมือก พ่นพิษตลบกลบเมือง แล้วก็พาโลไปถึง กกต.ว่าประกาศช้าบ้าง จะฟ้อง-จะปลด กกต. บ้าง ต่าง ๆ นานา ทั้งที่มีกติกาเป็นกรอบให้ กกต. ทำงานอยู่แล้ว 2 เดือน คือ หลังเลือกตั้ง ภายใน 2 เดือน เมื่อตรวจสอบผลได้ ส.ส. ถึง 95% แล้ว ให้ประกาศรับรองไปก่อน เพื่อเปิดประชุมสภา

แล้วนี่กี่วันล่ะ? วันนี้ 14 มิ.ย. ก็ 1 เดือนพอดี!! ไม่ถือว่าช้า ยังเหลือเวลาอีกตั้งเป็นเดือนด้วยซ้ำ แต่ กกต. ก็บอกแล้ว ว่าจะประกาศรับรองภายใน มิ.ย. นี้

เอ้า… แล้วบอกสิ ตรงไหน-ใคร ‘จัดฉาก’ หวังไม่ให้พิธาเป็นนายกฯ และตรงไหน ที่ว่า ‘ขั้วอำนาจเก่า’ เดินเกม หวังชิงส้มหล่น?

ไม่เห็นมี มีแต่ก้าวไกลและพวกเดียวกันเองนั่นแหละ ที่ ‘ร้อนตัว-ร้อนท้อง’ เรื่องหุ้นสื่อ แล้วเที่ยวพล่าน พาลโทษคนโน้น-คนนี้ ถึงขั้นปลุกระดม ‘ลงถนน’

พูดถึง ‘ส้มหล่น’ จะสอนให้… ไอ้หนู

ดูและศึกษากลเกม ‘เพื่อไทย’ เขาโน่น เห็นมั้ย พิธาจะแถลงอะไร เพื่อไทยเออออตามไปทุกเรื่อง เพื่อไทย 141 เสียงน่ะหรือ เขาจะมากินน้ำใต้ศอกเด็กวานซืน?

โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กน้อย…

รู้ไหม? ทำไมเพื่อไทยจึงเล่นบท ‘พี่ชายที่แสนดี’ เพราะเขารู้น่ะสิ ว่ารายการนี้ ‘นอนรอ’ ได้เลย เดี๋ยว ‘ส้มก็หล่น’ เข้าปากเอง!!

‘กกต.’ จ่อประกาศรับรองผล ส.ส.ยกเซ็ตสัปดาห์หน้า รัฐฯ เตรียมกุมขมับ หลัง ‘ก้าวไกล’ เดินสายซ้อมมวลชน

(16 มิ.ย. 66) เลียบการเมือง สุดสัปดาห์ ‘เล็ก  เลียบด่วน’ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับบรรดาว่าที่ ส.ส. อย่างน้อย 475 คนที่จะได้รับการรับรองผลจาก กกต. เอาหนังสือรับรองผลไปรายงานตัวที่สภาฯ เปิดหน้าเปิดตาเตรียมคำพูดหล่อๆ สวยๆ แสดงกึ๋นกับนักข่าวกันให้เต็มที่… ตามรายงานข่าวคาดว่าอย่างเร็วหมุดหมายอยู่ที่วันพุธที่ 21 มิ.ย.หรืออย่างช้าวันที่ 28 มิ.ย.ที่วางไว้แต่เดิม

มีแนวโน้มสูงว่า การรับรองผลจะปล่อยผ่าน หรือรับรองทั้ง 500 คน หรืออย่างน้อยก็ 475 คน หรือ 95% ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้สามารถเดินหน้าเปิดรัฐพิธีประชุมรัฐสภาได้

ดังนั้น ว่าที่ ส.ส.เขต 71 คนที่อยู่ในลิสต์ของ กกต.ว่าถูกร้องเรียนคัดค้านนั้น ในชั้นนี้ขอให้สบายใจได้ว่า ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากจะมีการ ‘สอย’ เกิดขึ้น โดนใบส้ม ใบแดง ก็อีกนาน… ตอนนี้รับรองไปก่อน แล้วจะสอยไม่สอย ค่อยว่ากันทีหลัง

ทั้งนี้ โดยหลังรับรองผลเรียบร้อยต้องเปิดสมัยประชุมสภาใน 15 วัน เพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง ชะตากรรมโฉมหน้าบ้านเมือง ก็มองเห็นกันตั้งแต่ตำแหน่งประธานสภาฯแล้ว… ดังนั้น รวมความแล้วไม่เกินกลางเดือน ก.ค.ก็จะเข้าเขตคิลลิ่งโซน เดิมพันอนาคตบ้านเมือง เช่นนี้แล้ว ใครที่แหกปากร้องเช้าเย็น ว่าพวกอนุรักษ์นิยมยื้อเกมลากเกมเพื่ออยู่ในอำนาจให้นานยาวนั้น ได้โปรดเข้าใจเสียใหม่ว่า ไทม์ไลน์การประกาศการรับรองผลเลือกตั้งปีนี้เร็วกว่าปี 2562 ประมาณ 15 - 20 วัน

จะว่าไป กกต.ชุดนี้ก็ดำเนินการต่างๆ เรียบร้อยพอสมควรทีเดียว จุดอ่อนก็คือ การไม่สื่อสารกับประชาชนให้เป็นระบบ ชอบอ้ำอึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดา ‘7 เสือ กกต.’ ที่ชาวบ้านชาวช่องแทบไม่รู้จักหน้าตาและผลงาน

พูดถึง กกต.ก็ต้องต่อยอดขยายความอีกเล็กน้อย เมื่อต้นสัปดาห์ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้รายงานไปเบื้องต้นแล้วว่า มีสมาชิกวุฒิสภาสายทหาร รุ่นบิ๊กตู่คือ เตรียมทหาร 12 กำลังจับจ้องมอง กกต.ว่าที่สุดแล้ว กกต.จะใช้ช่องรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคท้ายร้องศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือไม่ ถ้าไม่พวกเขาอาจดำเนินการฟ้องร้องกกต.ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส.ว.ตัวตึงอย่างนายสมชาย แสวงการ ก็ออกมาสำทับมาอีกคนว่าจะร่วมขบวนด้วยคน

บรรทัดนี้ เล็ก เลียบด่วน ขอทำตัวเป็นสายลับกระซิบเบาๆ ให้บรรดาท่าน ส.ว.ทราบว่า กกต.คงไม่ละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรอก ยื่นร้องให้ศาลพิจารณาแน่ แต่มันต้องผ่านขั้นตอนรับรองผล ส.ส.ก่อน… ปัญหามีอยู่ว่ากว่า กกต.จะยื่นร้องและกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับไม่รับ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีโดยที่ประชุมรัฐสภาจะมาถึงก่อนหรือไม่… ถ้าโหวตก่อนศาลมีคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่กรณีมีมูลก็จะกลายเป็นว่า กกต.ยืมดาบ ส.ว.เชือดพิธาแทนที่ ส.ว.จะได้ยืมดาบ กกต.!!?

เอาเหอะ… ใครจะยืมดาบใครเชือดก็ว่ากันไป แต่การข่าวของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ยังเชื่อว่าถ้านายพิธาได้รับการโหวต นายพิธาจะได้คะแนนไม่เกินครึ่งของรัฐสภา คือ 376 เสียง ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ใครต่อใครหวั่นใจกันลึกๆ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงก็คือ สถานการณ์หลังจากนั้นจะเป็น อย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น?

ฟังมาว่า หน่วยงานด้านการข่าวที่ตามไปเก็บทุกคำพูดทุกบรรยากาศที่นายพิธากับคณะพรรคก้าวไกลผสมคณะก้าวหน้า เดินสายไปขอบคุณประชาชนในจังหวัดที่ก้าวไกลแลนด์สไลด์แล้ว… ได้ข้อสรุปว่า มันเป็นอะไรที่มากกว่า ‘การบ่มเพาะมวลชน’ หรือ ‘ซ้อมมวลชน’ … แต่ยากที่จะบอกว่าเป็นปรากฏการณ์อะไร เพียงแต่น่าจะคาดหมายได้ว่า ถ้านายพิธาวืดเก้าอี้นายกฯ ความวุ่นวายและยุ่งเหยิงรออยู่เบื้องหน้าแบบเห็นๆ… ม็อบด้อมส้มและคนที่เลือก 8 พรรค คงลงถนน  และถ้าสถานการณ์เลยธงม็อบอีกฝ่ายก็อาจจะออกมาเหมือนกัน

สถานการณ์บ้านเมืองรอบนี้ นอกจากช่วยกันยืนกรานหลักนิติรัฐนิติธรรมแล้ว เห็นที่จะต้องช่วยกันขอพรจากพระสยามเทวาธิราชเป็นกรณีพิเศษ!!

เข้าสู่โหมด ‘ด้อมส้ม’ ต้อง ‘ลุ้น’ เก้าอี้นายกฯ ของ ‘พิธา’  ต้องจับตาให้ดี งานนี้อาจจะไปจบที่ ‘ศาล’

หลังเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 จวบจนบัดนี้ก็ล่วงเลยมากว่า 1 เดือน บรรดาผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นส.ส. ก็ยังไม่มีใครได้รับการประกาศรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนทำให้บรรดา “ด้อมส้ม” พรรคก้าวไกล ซึ่งกวาดส.ส.เข้ามาเป็นอันดับที่ 1 ต้องออกมายื่นหนังสือกดดัน กกต.ให้เร่งประกาศรับรองผล เพื่อเปิดทางให้มีการสภาเลือกประธานสภา และประชุมรัฐสภาโหวตนายกฯ จะได้มีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว 

แต่ กกต.จะไปเร่งรีบตามที่ฝ่ายอยากเร่งรัดคงไม่ได้ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รอบด้าน เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายกับคำร้องเรียนมากถึง 280 เรื่อง ตามกฎหมายให้อำนาจ กกต. 60 วัน ในการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเลือกตั้ง ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 13 ก.ค. 2566 นี้ แต่ล่าสุดมีรายงานจาก กกต.ได้พิจารณาครบทั้ง 400 เขตแล้ว เตรียมประชุมประกาศรับรอง 329 คน และแขวนไว้ 71 คนในการประชุมสัปดาห์หน้าวันจันทร์ที่ 19 มิ.ย.นี้  กกต.พร้อมกับพิจารณารับรอง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไปพร้อมกัน ส.ส.เขตเลือกตั้ง หลังได้พิจารณาไปแล้วว่าทั้ง 400 เขตเลือกตั้ง 

ถ้าดูตามตัวเลขนี้ 329+100 คน = 429 คน ตัวเลขยังไม่ครบ 95% หรือ 480 คน คาดว่า หลังจากนั้น กกต.จะหยิบ 71 คนมาทบทวน และอาจจะประกาศรับรองไปก่อนสอยทีหลัง เพื่อให้งานกิจการสภาเดินหน้าไปได้

โดยคาดว่า กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส.ได้วันพุธที่ 21 มิ.ย.นี้  จากนั้นให้ ส.ส.จะทยอยไปรับเอกสารรับรองได้ที่สำนักงาน กกต. และนำเอกสารรับรองมารายงานตัวต่อสภา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เตรียมสถานที่ไว้พร้อมแล้ว

มีการประมาณกาลว่า ถ้า กกต.รับรองผลการเลือกตั้งได้ครบ 95% แล้ว วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯเปิดประชุมสภา และวันที่ 25 กรกฎาคม จะเป็นการประชุมสภาเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย อดีตประธานสภา ในวัย 85 ปี น่าจะมีอาวุโสสูงสุด (ไม่แน่ใจว่ามีใครอายุมากกว่านายชวนหรือไม่)ทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราว

หลังจากนั้นถึงจะเป็นช่วงเวลาของความระทึกของ “ด้อมส้ม” คือวาระเลือกนายกรัฐมนตรี

อนาคต“พิธา”จบที่ศาลรธน./ศาลอาญา

ต้องโฟกัสไปที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคก้าวไกล ว่าจะไปถึงดวงดาวในตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทยได้หรือไม่ หลังได้รับการประกาศให้เป็น ส.ส. 

อย่างที่ทราบกันดีว่า พิธา ถูกร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้งที่อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ จากกรณีถือหุ้นสื่อ “หุ้นไอทีวี” แม้ว่า กกต.จะไม่รับไว้พิจารณา แต่ กกต.กลับหยิบเอามาตรา 151 ของ พปร.ว่าด้วยการเลือกตั้งขึ้นมาพิจารณา “รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีคุณสมบัติ แต่ลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือยินยอมให้พรรคการเมืองส่งลงสมัครในระบอบบัญชีรายชื่อ” ซึ่งถ้ามีมูลก็ต้องฟ้องต่อศาลอาญา ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ และมีโทษหนักกว่า ทั้งจำทั้งปรับ ทั้งตัดสิทธิ์ทางการเมือง
อีกประเด็น หาก กกต.รับรองให้เป็น ส.ส.เมื่อไหร่ ก็จะมีคนไปยื่นใหม่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญอีกรอบ

โดยสรุปอนาคตของพิธาจะต้องไปจบที่ศาล ไม่ศาลรัฐธรรมนูญก็ศาลอาญา และจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ขึ้นกับขบวนการขั้นตอนของ กกต.และศาล รวมถึงผลโหวตของสมาชิกรัฐสภาด้วย ที่ต้องเพ่งไปที่สมาชิกวุฒิสภา

อย่าเพิ่งทิ้งประเด็น ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย’ ระวัง ‘พีระพันธุ์-ลุงป้อม’ เสียบเงียบๆ

จนถึงวินาทีนี้ สังคมนอกวงจัดตั้งรัฐบาล ไม่มีใครทราบว่า ตกลงตำแหน่งประธานสภา ที่จะต้องเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งนั้น เป็น ใคร เป็นโควต้าพรรคไทย ของก้าวไกล หรือเพื่อไทย

ภูมิธรรม เวชชยชัย เสี่ยอ้วน แห่งเพื่อไทย ไข่ข่าวเล่าแจ้งว่า จนถึงเวลานี้ยังอยู่ในจุดเดิม คือจุดที่เพื่อไทยยืนยัน เมื่อก้าวไกลได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายบริหารไปแล้ว กับจำนวน ส.ส.ในมือ 151 เสียง เพื่อไทย 141 เสียง พรรคอันดับสอง จึงควรได้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ

แต่เพื่อความชัวร์ ก้าวไกลในฐานะพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็ยืนยันว่า ประธานสภาต้องเป็นของก้าวไกล ชัวร์ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และการบรรจุระเบียบวาระสำคัญๆต่างๆของรัฐบาล

ที่จะต้องระวังเป็นที่สุด คือ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และคาดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็น ส.ส.แล้ว จะต้องมีคนไปร้องซ้ำ ให้ กกต.พิจารณาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของพิธาว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา ประธานสภา ถ้าเป็นของเพื่อไทยจะกล้าบรรจุวาระการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อของพิธาจ่อเข้าโหวตอยู่หรือไม่ เพื่อความชัวร์ก้าวไกล จึงต้องได้เก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติด้วย

ที่ประชุมของคณะทำงานจัดตั้งรัฐบาลจบลงตรงที่ให้เพื่อไทย และก้าวไกล ไปหารือกันเอง ซึ่งเพื่อไทยก็ยืนยันในข้อเสนอเดิม ก้าวไกลรับไปพิจารณา แต่ไม่มีคำตอบกลับมายังเพื่อไทย “เงียบสนิท”

จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคณะหลอมรวม ไม่รู้มีข้อมลอินไซเดอร์มาจากไหน จึงออกมาฟันธงว่า “พิธา-อุ้งอิ้ง-เศรษฐา” ไม่มีใครได้เป็นนายกฯ ในสถานการณ์ที่พรรคร่วมยังคุยกันไม่ลงตัว
“จตุพร”ฟันธงด้วยว่า น่าจะมีประธานสภาปรองดอง จะชื่อ “สุชาติ ตันเจริญ” อดีตรองประธานสภา ซึ่งพ่อมดดำเป็นชื่อที่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนี้เพื่อความปรองดอง

ไม่มีใครปฏิเสธว่า สุชาติ เป็นผู้มากบารมี รู้จักนักการเมืองทั้งขั้วประชาธิปไตยและขั้วรัฐบาลเก่า แม้วันนี้ พ่อมดดำจะสังกัดเพื่อไทย แต่ก็มีลูกน้องเก่าอยู่ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย อยู่ไม่น้อย

ประเด็นอยู่ที่ว่า ไม่ว่าใครจะเป็นประธานสภา และบรรจุระเบียบวาระเลือกนายกรัฐมนตรี เข้าสู่การพิจารณา ในสถานการณ์ที่อะไรก็ยังไม่ลงตัว ก้าวไกล เสนอชื่อพิธา ชิงนายกรัฐมนตรี ส่วนซีกรัฐบาลเดิม เช่น พลังประชารัฐ เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคลงชิง หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค ลงแข่งด้วย ก็อาจจะมีเกมพลิกได้

เกมพลิก เพราะซีกรัฐบาลเดิมมีอยู่ 188 เสียง เมื่อบวกรวมกับ สว.250 เสียง ก็จะมีเสียงรวมกับ 438 เสียง หรือตัดไปสัก 50 เสียง ก็ยังมากพอที่จะชนะโหวตได้ และเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ขอให้ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน เชื่อว่า จะมี ส.ส.เลื้อยไหลเข้ามาเอง หรือด้วยแรงดูดมากินกล้วย ฝากเลี้ยงไว้ที่บ้านเก่า แต่ป้อนกล้วย ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้กิน รัฐบาลเสียงข้างน้อยก็พอจะถูกไถไปได้

การเมืองไทยไม่มีอะไรแน่นอน อย่าได้ประมาทกับคำทำนายของจตุพร โดยเฉพาะประเด็นจะมีงูเห่าเลื้อยเพ่นพ่านเต็มสภา   

ด่วน!! ‘กกต.’ ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. 500 คนแล้ว คาด ประชุมสภานัดแรก 3 ก.ค.นี้ เร็วกว่าที่กำหนดร่วมเดือน

(19 มิ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม กกต. มีมติประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต และแบบบัญชีรายชื่อ100 คน รวม ส.ส. 500 คน และยังมีรายงานด้วยว่า นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เตรียมที่จะมีการแถลงข่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า การประชุมสภานัดแรกน่าจะเป็นวันที่ 3 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งถือว่า เร็วกว่าไทม์ไลน์ที่เคยกำหนดไว้ก่อนหน้านี้วันที่ 25 ก.ค.เพื่อเลือกประธานสภา

แต่อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ สำหรับ 71 เขตเลือกตั้งที่มีเรื่องร้องเรียนอยู่ วันนี้แค่ กกต.รับรองไปก่อน เพราะการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ กกต.จึงรับรองไปก่อน เพื่อให้ขบวนการในสภาเดินหน้าไปได้ แต่ กกต.ยังมีอำนาจพิจารณาให้ใบแดง ใบเหลือง ใบส้มอยู่เหมือนเดิม และอาจจะสอยที่หลังได้

เพียงแต่ถ้า กกต.จะให้ใบแดง หลังจากนี้ต้องส่งให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน…

ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เมื่อ กกต.รับรองให้เป็น ส.ส.แล้ว อาจจะมีคนไปร้อง กกต.ซ้ำเรื่องคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

เรื่อง : นายหัวไทร

‘ติ่ง มัลลิกา’ เปรียบ ‘พิธา’ เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกประชาชน นโยบาย 3,000 บาท ทำไม่ได้จริง ขึ้นค่าแรง 450 บาท ก็ลวงแรงงาน

ติ่ง มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการคนดังนั่งเคลียร์ ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2566 เกี่ยวกับประเด็น ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของก้าวไกล ได้เคยหาเสียงไว้ในการที่จะให้เงินผู้สูงอายุ และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยมีใจความว่า ...

ข้อที่ 1 เขาประกาศเองว่าเขาทำไม่ได้ นโยบาย 3,000 บาท เนื่องมาจากว่าเขาเป็นรัฐบาลพรรคผสม จากนั้นเขาไปดูงบประมาณแล้ว เขาจะต้องไปดึงงบไป เกลี่ยงบมา เขาจะต้องจ่ายเงิน 3,000 บาทให้ คนแก่ 1 คน ทั้งประเทศมีคนแก่ 12 ล้านคน สรุปเขาจะต้องใช้เงิน 6 แสนล้านบาท พิธาหลอกลวงประชาชนหรือไม่ พิธาเป็นยิ่งกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่
ทำบาปมากที่ไปหลอกคนแก่ทั่วทั้งประเทศไทย ตอนหาเสียงที่ทาบอกว่าสามารถทำได้ภายใน 100 วัน แต่ปัจจุบันบอกว่า 3,000 บาทจะทำได้หลังปี 2570 เท่ากับที่ผ่านมาพิธาหลอกลวงประชาชน

ข้อที่ 2 เงินค่าจ้าง 450 บาท หลอกลวงแรงงาน ทั้งหมดเลย ทั้งแรงงานต่างด้าว ทั้งแรงงานไทย อ้างว่าทำไม่ได้ เพราะเนื่องมาจาก เวลาจะขึ้นค่าแรง 450 บาทนั้น จะต้องไปผ่านคณะกรรมการ 3 ฝ่าย คณะกรรมการ 3 ฝ่ายนั้นเป็นบอร์ดไม่ใช่นายกจะสั่งซ้ายสั่งขวาได้เลย เขาหลอกลวงประชาชน จะมีหรือที่ว่า นักการเมืองอย่างพิธา ที่อยู่คณะกรรมาธิการงบต่างๆนั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ เขาจะต้องรู้อยู่แล้วว่าการจะประกาศขึ้นค่าแรงงานนั้นไม่สามารถประกาศได้เลยจะต้องผ่านคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ซึ่งคณะกรรมการ 3 ฝ่ายนี้เพิ่งประชุมไปเมื่อปี 2565 ค่าแรง 300 บาทยังไม่ขึ้น นั่นก็แปลว่าถ้าคุณเข้าไปเป็นรัฐบาล 100 วันค่าแรงมันก็ยังไม่สามารถที่จะขึ้นได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นสรุปได้ 2 อย่างก็คือข้อ 1 พิธาไม่รู้พิธาไม่มีความรู้ ในเรื่องของกลไกในเรื่องของการบริหารประเทศ หรือข้อที่ 2 ก็คือพิธาเจตนาหลอกลวงประชาชน มัลลิกากล่าวทิ้งท้าย
 

‘กลุ่มพิราบขาว’ ยื่นศาล รธน. สอย ‘พิธา’ ปมคุณสมบัติ ด้าน ‘เสรี’ เย้ย มี ส.ว.หนุนนั่งนายกฯ ไม่เกิน 5 เสียง

(27 มิ.ย. 66) ที่รัฐสภา นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำพิราบขาว 2006 ยื่นหนังสือต่อนายสมชาย แสวงการ ส.ว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และนายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.ในฐานะประธานกมธ.การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เพื่อขอให้ ส.ว.ร่วมกันลงชื่อร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี ซึ่งอาจขัด พ.ร.ป.ว่าด้วย ส.ส.มาตรา 42 (3) และกรณีโอนหุ้นให้กับบุคคลอื่นหลังวันเลือกตั้ง อาจเข้าลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) หรือไม่

นายสมชาย กล่าวว่า ประเด็นหุ้นสื่อ ตนขอเรียกร้องให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับนายพิธา และไม่มีปัญหากับการเป็นนายกฯ ส่วนที่เสนอให้ ส.ว.เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิธานั้น ในความเป็นส.ส.ของนายพิธา ส.ว.ไม่สามารถทำได้ แต่หากเป็นประเด็นของนายกฯ ส.ว.ทำได้

เมื่อถามถึงนายพิธา มั่นใจว่าจะได้รับเสียงโหวตจาก ส.ว.ให้เป็นนายกฯ นายสมชาย กล่าวว่า จากที่ตนพูดคุยกับ ส.ว.ที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้พรรคก้าวไกล พบว่าไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก้าวไกล เช่น การแก้ไขมาตรา 112 การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รวมถึงหมวด 1 หมวด 2 แต่เห็นด้วยกับบางนโยบาย ดังนั้น การลงมติเลือกของ ส.ว.ขอให้มั่นใจในดุลยพินิจ และวุฒิภาวะของ ส.ว.ที่จะพิจารณาในประเด็นสิ่งที่เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ความสงบสุข

“ส.ว.ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล หรือคำนึงถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจ เปลี่ยนข้างหรือข้ามขั้วหรือไม่ แต่ประเด็นนายกฯ มีความเกี่ยวข้องกับการตั้งรัฐบาล ต้องพิจารณาสิ่งที่จะไม่ทำให้เกิดความกังวลในความมั่นคงของประเทศ และไม่นำไปสู่ปัญหาความไม่มั่นคง สำหรับบางนโยบายของพรรค พบว่าสุ่มเสี่ยง ดังนั้น ผมขอให้เอาออกเพื่อประโยชน์ของประเทศ” นายสมชาย กล่าว

ด้านนายเสรี กล่าวว่า เรื่องการถือหุ้นของนายพิธา อยู่ระหว่างการตรวจสอบของ กมธ.พัฒนาการเมือง วุฒิสภาอยู่แล้ว และในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 10.00 น. กมธ.จะไปมอบให้กับประธานกกต. ขอทราบความคืบหน้าการตรวจสอบนายพิธา ที่ถูกตรวจสอบตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 151 กรณีรู้ตัวขัดคุณสมบัติ แต่ยังลงสมัครเลือกตั้ง และจะนำหลักฐานการถือครองหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา และข้อมูลการถือครองที่ดิน 14 ไร่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของนายพิธาไปยื่นต่อ กกต. โดยเห็นว่า กกต. ควรส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนจะมีการเลือกนายกฯ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับ ส.ว.ตัดสินใจ

นายเสรี กล่าวว่า หลังจากนี้ ส.ว.จะเข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา ยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกฯของนายพิธา ที่ระบุต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 160 ที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามการถือครองหุ้นสื่อ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ในฐานะที่ ส.ว.ต้องมีส่วนร่วมเห็นชอบนายกฯ

ดังนั้น เมื่อมีข้อสงสัยเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามย่อมยื่นตีความให้ตรวจสอบได้ โดยควรยื่นให้ตรวจสอบก่อนจะโหวตเลือกนายกฯ แต่จะมีผลทำให้การโหวตนายกฯ ต้องยุติก่อนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประธานรัฐสภาจะพิจารณา หาก กกต.ไม่ยื่นตีความคุณสมบัติของนายพิธา ก่อนโหวตนายกฯ ก็อาจเป็นไปได้ที่ ส.ว.จะเข้าชื่อกันยื่นตีความคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกฯของนายพิธา

ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก ส.ว.ยื่นตีความคุณสมบัตินายกฯ ของนายพิธา จะทำให้ปลุกกระแสสังคมออกมาต่อต้านหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า กระแสสังคมคือส่วนหนึ่ง ความถูกต้องคือส่วนหนึ่ง ถ้ากระแสสังคมไม่ถูกต้อง จะยึดอะไรระหว่างความถูกต้องกับกระแส ถ้ายึดแต่กระแสก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้

เมื่อถามว่านายพิธามั่นใจว่ามีเสียง ส.ว.เพียงพอจะโหวตให้เป็นนายกฯนั้น นายเสรีกล่าวว่า หากเสียงมากพอ ก็เป็นนายกฯ ได้เลย แต่ขณะนี้ยังไม่ปรากฏชัดเจนว่า ส.ว.คนใดสนับสนุน นอกจาก 17 คน ที่มีชื่อและหลายคนก็บอกว่าถูกเอาชื่อไปใส่ และหลายคนบอกว่า ถ้าได้เสียงข้างมากจะเลือกให้เป็นนายกฯ แต่ตอนนี้ทุกคนพูดตรงกันว่าถ้าเสียงข้างมาก แล้วยังไปแก้มาตรา 112 ก็จะไม่ลงคะแนนให้

“เท่าที่ทราบตอนนี้มี 5 คน ที่จะโหวตให้ ส่วนตนยืนยันมาตลอดว่าหากมีการแสดงออก หรือมีการกระทำไปในแนวทางที่แก้ไขมาตรา 112 ก็ไม่โหวตให้แน่นอน ดังนั้น การลงมติในครั้งนี้ ถึงไม่เหมือนกับการเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2562 พร้อมยืนยัน ส.ว.มีอิสระในการตัดสินใจ ไม่มีใบสั่งจากใครนอกจากประชาชน” นายเสรี กล่าว

เมื่อถามว่า หากเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ มาจากพรรคเพื่อไทย จะทำให้สบายใจขึ้นในการโหวตให้เป็นนายกฯ หรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องสบายใจหรือไม่สบายใจ แต่เป็นเรื่องที่ ส.ส.จะไปตกลงกันให้สบายใจ ไปจัดทัพรวบรวมเสียงกันมา เมื่อถึงตอนนั้น ส.ว.จะพิจารณาตามมาตรา 159 คือเลือกบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามย้ำว่า หากแนวโน้มเป็นแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย จะมีภาษีมากกว่านายพิธาหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ต้องดูว่าเป็นใคร เพราะพรรคเพื่อไทยมี 3 ชื่อ ก็ต้องดูว่าเสนอใคร ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คงยังตอบไม่ได้ ต้องพิจารณาก่อนว่าบุคคลนั้นเหมาะสมหรือไม่ รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top