Saturday, 4 May 2024
พรรคก้าวไกล

'ธัญวัจน์' อ้าง!! ต่างชาติกังขา ครม.เตะถ่วงร่างกม.สมรสเท่าเทียม จี้!! กรมองค์กรระหว่างประเทศ เผยการแถลงที่เจนีวา

14 มี.ค. 65 ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ สัดส่วนผู้มีความหลากหลายทางเพศ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ( ปพพ.1448 ) หรือที่เรียกกันว่า ร่างกฎหมาย #สมรสเท่าเทียม กล่าวว่า ตนได้มีโอกาสรายงานสถานการณ์ประเด็น #สมรสเท่าเทียม ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (Foreign Correspondents’ Club of Thailand : FCCT) ซึ่งมีเครือข่ายภาคประชาชนความหลากหลายทางเพศ #YoungPrideClub #ภาคีสีรุ้งเพื่อสมรสเท่าเทียม #1448forAll ร่วมอภิปรายด้วย จึงขอขอบคุณภาคีเครือข่าย อาทิ  Phil Robertson และ FCCT ที่เปิดพื้นที่สื่อต่างประเทศประเด็นสมรสเท่าเทียม

"นี่เป็นประเด็นหนึ่งของความเสมอภาคที่ทั่วโลกเองก็จับตามอง น่าเสียดายที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยได้เชิญกรมคุ้มครองสิทธิ์ให้มาเป็นผู้ร่วมอภิปรายในฐานะฝ่ายรัฐ แต่ทางกรมคุ้มครองสิทธิ์ไม่สามารถมาร่วมได้" 

ธัญวัจน์ กล่าวต่อไปว่า นักข่าวและกลุ่มคนผู้มีความหลากหลายทางเพศที่มาร่วมฟังการอภิปราย ต่างสะท้อนว่าไม่เข้าใจถึงขั้นตอนที่นำกฎหมายไปพิจารณา 60 วันก่อนรับหลักการวาระ 1 ว่าทำไมจึงต้องนำกฎหมายสมรสเท่าเทียมไปพิจารณาอีก เพราะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน 

"มีคำถามถึงประเด็นดังกล่าวว่าจะตีเป็นเรื่องของการเมืองได้หรือไม่ เพราะกฎหมายสมรสเท่าเทียมถูกเสนอโดยฝ่ายค้าน แต่ก็มีทางออก 2 ทางคือ ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมด้วยหลักการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์เพื่อประกบกับพรรคก้าวไกล เพราะร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิตไม่สามารถประกบกับสมรสเท่าเทียมได้ เพราะเป็นคนละเรื่อง และแยกพิจารณาสมรสเท่าเทียมกับคู่ชีวิตคนละวาระกันไป และอีกทางหนึ่งคือผลักคู่ชีวิตให้เป็นกฎหมายสำหรับทุกเพศเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจะนิยามความสัมพันธ์แบบ "เพื่อน" หรือแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่การสมรส เพราะอย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีไม่มีความจำเป็นต้องผ่านกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งเท่านั้น"

'สน.บางขุนนนท์' ล็อกเป้า!! ส่อสั่งขัง 'โรม' หวังให้หลุดสถานะ ส.ส. เจ้าตัวเผย!! เป็นผลพวงจากอภิปราย 'ป่ารอยต่อ - ค้ามนุษย์'

(17 มี.ค.65) รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่เพิ่งได้รับหมายจับจาก สน.บางขุนนนท์ ว่าหลังจากที่ตนได้อภิปรายทั่วไปเรื่องการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาเป็นต้นมา ก็ได้มีความพยายามที่จะเร่งรัดกระบวนการของคดีต่างๆ ที่ยัดเยียดมาให้จากการปฏิบัติหน้าที่ผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะคดีที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ฟ้องตนในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อต้นปี 2563

"จากกรณีที่เกิดขึ้น ผลที่ฝ่ายรัฐบาลคาดหวังจากความพยายามเหล่านี้ ก็คงหนีไม่พ้นการให้ผมได้ถูกศาลสั่งขังโดยไม่ให้ประกันตัว แม้เพียง 1 วันก็พอ เพื่อให้หลุดพ้นจากความเป็น ส.ส. โดยล่าสุดผมทราบว่าทางตำรวจ สน.บางขุนนนท์ ถึงขั้นมีการออกหมายจับผมในคดีนี้ โดยอ้างว่าไม่ได้ไปเข้าพบตามหมายเรียกที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งผมขอชี้แจงดังนี้..

“หมายเรียกแรกที่ออกมานั้น ออกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งยังอยู่ในระหว่างสมัยประชุมของสภาผู้แทนราษฎร จึงได้โต้แย้งไปแล้วว่าเป็นการออกหมายเรียกโดยไม่ชอบ เนื่องจากในรัฐธรรมนูญมาตรา 125 ได้ห้ามไม่ให้มีการออกหมายเรียกตัว ส.ส. ในระหว่างสมัยประชุม

"ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ทาง สน.บางขุนนนท์ก็ได้ออกหมายเรียกอีกครั้งให้ไปพบในวันที่ 11 มีนาคม อย่างไรก็ตามตนติดภารกิจในฐานะ ส.ส. ในวันดังกล่าว จึงได้ทำหนังสือต่อ สน.บางขุนนนท์ เพื่อชี้แจงความไม่สะดวกและขอเลื่อนการเข้าพบออกไปเป็นวันอื่นที่ได้ระบุไว้ ทว่าทางตำรวจกลับมีคำสั่งไม่อนุญาตเลื่อนการนัดหมายดังกล่าว และอ้างเหตุนี้ในการขอศาลเพื่อออกหมายจับตน” รังสิมันต์ กล่าว

รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66 กำหนดว่าหมายจับจะออกได้ก็ต่อเมื่อ (1) มีหลักฐานการกระทำความผิดอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี หรือ (2) มีหลักฐานการกระทำความผิดและมีเหตุควรเชื่อว่าจะหลบหนี (ซึ่งให้สันนิษฐานกรณีไม่มาตามหมายเรียกโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควรด้วย) กรณีของตนนั้นไม่ใช่ข้อ (1) แน่ๆ เพราะข้อหาหมิ่นประมาทมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ส่วนตามข้อ (2) นั้น เมื่อมีหมายเรียกมาตนก็ได้ยื่นหนังสือชี้แจงถึงความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ไปแล้ว พร้อมทั้งระบุวันที่สะดวกเข้าพบอย่างชัดเจนด้วย ยังไม่นับว่าในอดีตที่ผ่านมาเมื่อมีการแจ้งข้อหาแก่ตนในคดีนี้ ซึ่งตนก็ได้ไปแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมายังมาปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. อย่างสม่ำเสมอไม่หนีหายไปไหน จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะต้องออกหมายจับผมแต่อย่างใดเลย

'หมอเก่ง' จี้ 'อนุทิน' ศึกษาข้อมูลใหม่ นำเข้ายาสู้โควิดที่ได้ผล อย่าเสียดายงบประมาณ มุ่งรักษาชีวิตประชาชนไว้ก่อน

21 มี.ค. 65 นายแพทย์วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวแสดงความเห็นกรณีที่ในวงการแพทย์ทางวิชาการ มีการถกเถียงถึงประสิทธิภาพของ 'ยาฟาวิพิราเวียร์' ที่ใช้ในการรักษาต้านโรคโควิด-19 

"จากกรณีที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางถึงประสิทธิภาพของยาฟาวิพิราเวียร์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สรุปแล้วยาฟาวิพิราเวียร์นั้นมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะใช้รักษาต้านโรคโควิด-19 หรือไม่ โดยการถกเถียงนั้นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายที่หนึ่งอ้างอิงข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ในต่างประเทศ ซึ่งรายงานออกมาอย่างต่อเนื่องว่า ยาฟาวิพิราเวียร์นั้นไม่ค่อยมีประสิทธิภาพต่อการรักษากับโรคโควิด-19 กับฝ่ายที่สอง อ้างอิงข้อมูลจากผลการศึกษาในประเทศ ซึ่งรายงานว่า ยาฟาวิพิราเวียร์นั้นมีประสิทธิภาพสามารถรักษากับโรคโควิด-19 ได้ ในกลุ่มที่อาการไม่รุนแรงจนถึงอาการรุนแรงปานกลาง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งกันโดยอาศัยข้อมูลคนละชุดกัน ดังนั้น การพิจารณาถึงน้ำหนักความน่าเชื่อถือของข้อมูลจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา"

วาโย กล่าวต่อไปว่า เมื่อสืบค้นในฐานข้อมูลทางการแพทย์ระดับสากล พบว่า มีรายงานทางวิชาการหลายฉบับให้ข้อสรุปค่อนข้างตรงกัน ซึ่งได้รายงานอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงล่าสุดในช่วงต้นปี 2565 นี้เอง ร่วมกับรายงานทางวิชาการในระดับที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งอาจถือได้ว่าสูงที่สุด ที่ได้จากการวิเคราะห์อภิมานหรือที่เรียกว่า “Meta Analysis” เผยแพร่เมื่อช่วงปลายปี 2564 โดยได้รายงานว่า “No significant beneficial effect on the mortality among mild to moderate COVID-19 patients” 

"แปลเป็นไทยได้ว่า 'ยาฟาวิพิราเวียร์' ไม่มีประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราการตายในผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงไปจนถึงในรายที่มีอาการรุนแรงปานกลาง

"อย่างไรก็ตาม พบว่า มีรายงานบางฉบับรายงานว่า ยาฟาวิพิราเวียร์มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยเมื่อใช้รักษากับโรคโควิด-19 ในหลอดทดลอง อีกทั้งยังพอจะปรากฏรายงานว่ายาฟาวิพิราเวียร์นั้นช่วยให้อาการโดยรวมดีขึ้นได้ ถึงแม้จะไม่ช่วยลดปริมาณไวรัสและอัตราการตายอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม โดยฝ่ายที่โต้แย้งข้อมูลดังกล่าว โต้แย้งด้วยข้อมูลจากผลการศึกษาวิจัยในประเทศโดยคณะแพทย์แห่งหนึ่ง ร่วมกับหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุขหลายหน่วยงาน 

'โฆษกก้าวไกล' มั่นใจ!! สนามกรุงเทพ ชี้!! กระแส 'วิโรจน์' ดีขึ้นต่อเนื่อง

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึง สนามการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพฯ (ส.ก.) ว่าขณะนี้หลายพรรคต่างเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ และ ส.ก.ออกมาหลังจากที่กรุงเทพมหานครไม่มีการเลือกตั้งมากว่า 8 ปี สำหรับพรรคก้าวไกลมีความมั่นใจและเตรียมความพร้อมมานาน ลงทำงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่องจึงพร้อมส่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ครบทั้ง 50 เขต เพื่อเป็นแรงสนับสนุนการทำงานของ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร หากได้รับเลือกเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ คนต่อไป 

"กระแสของว่าที่ผู้ว่าวิโรจน์ ดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหลังเดินทางไปรับฟังปัญหาของกรุงเทพด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยไปพร้อมแนวทางออกทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่ต้องใช้ทั้งงบประมาณและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ รวมถึง ส.ก.ที่จะเป็นพลังสำคัญในการผลักดันนโยบายของกรุงเทพให้เป็นจริง ซึ่งการเป็นพรรคการเมืองถือเป็นจุดแข็งในการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ เพราะนอกจากสามารถออกแบบนโยบายแล้ว ยังสามารถผลักดันให้เป็นจริงได้อย่างรวดเร็วด้วยแรงสนับสนุนจากสภาของกรุงเทพ"

‘วิโรจน์’ นำขบวน ส.ก. มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชู!! พัฒนาเมืองเก่า ยกระดับเสน่ห์ย่านตามสไตล์วิโรจน์

วิโรจน์ เบอร์ 1 ขน ส.ก. 50 เขต ประเดิมแนะนำตัวกับคนกทม. มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หวังคว้าชัยชนะ กทม. ทุกเขตพื้นที่ เขตแรกเริ่มที่พระนคร ชูนโยบายพัฒนาฟื้นฟูเมืองเก่า ยกระดับเสน่ห์ย่านตามแบบฉบับวิโรจน์

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เดินทางออกจากศาลาว่าการ กทม. 2 พร้อมผู้สมัคร ส.ก. ทั้ง 50 เขต มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประเดิมพื้นที่เขตพระนคร พาผู้สมัครแนะนำตัวกับพี่น้องประชาชนคึกคัก วิโรจน์ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ถึงหมายเลขที่จับได้ในวันนี้ว่า รู้สึกดีใจที่ได้เบอร์ 1 เพราะหมายถึงประชาชนต้องมาอันดับ 1 สอดคล้องกับนโยบายของพรรค สร้างเมืองที่คนเท่ากัน

สำหรับเส้นทางขบวนรถแห่วันนี้คือการมุ่งหน้าสู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นสัญลักษณ์ในการคืนอำนาจให้กับประชาชน หลังจากที่ถูกแช่แข็งการเลือกตั้งมากว่า 8 ปี  ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการคืนอำนาจ คืนความเป็นธรรม และคืนเมืองที่คนเท่ากัน ให้กับกรุงเทพ ด้วยนโยบายหลัก 12 ข้อ โดยเฉพาะนโยบายสวัสดิการถ้วนหน้า ที่จะเติมเงินสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุ เด็ก และผู้พิการ  

'วิโรจน์' ควง 'ผู้สมัคร ส.ก.' ลุยหาเสียงย่านฝั่งธนใต้ ขอโอกาส 'แก้น้ำท่วม-ปราบส่วย-ช่วยเพิ่มเงินสวัสดิการ'

ที่เขตบางแค เขตบางบอน และเขตจอมทอง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยผู้สมัคร ส.ก. ฝั่งธนฯ เดินทางโดยการขึ้นรถเครื่องเสียงไปยัง 3 เขตพื้นที่ฝั่งธนใต้ เพื่อพบปะพี่น้องประชาชนและแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ก. ซึ่งนายวิโรจน์เชื่อว่า "การทำงานที่เป็นปึกแผ่นระหว่างผู้ว่าฯ ส.ก. และส.ส. จะช่วยให้การทำงานแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนราบรื่นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอแก้ไขหรืออนุมัติงบประมาณ เรื่องระเบียบราชการต่างๆ ซึ่งเป็นจุดเด่นของพรรคก้าวไกลในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้"

โดยจุดแรกของขบวนแห่เริ่มต้นที่ตลาดบางแค นำโดยนายอำนาจ ปานเผือก ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางแค เบอร์ 6 ซึ่งเป็นผู้สมัครที่ชูประเด็นแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ เนื่องจากเขตบางแคเป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีน้ำท่วมซ้ำซาก ปัจจุบันพี่น้องประชาชนบางส่วนยังใช้คูคลองเป็นทางสาธารณะในการเดินทาง นายอำนาจ กล่าวว่า "พร้อมตอบสนองนโยบาย 12 ข้อ ของนายวิโรจน์ทันที โดยเฉพาะข้อที่ 9 ลอกท่อทั่วเมือง ลอกคลองทั่วกรุง เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่บางแค

จากนั้น นายวิโรจน์และนายนิธิกร บุญยกุลเจริญ ผู้สมัคร ส.ก. เขตบางบอน เบอร์ 2 ได้เดินทางพบปะประชาชนที่ตลาดเช้าปิ่นทอง ถนนเอกชัย ระหว่างนั้นได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ประชาชนก็ได้ให้การต้อนรับและซักถามถึงนโยบายเป็นระยะ รวมถึงเข้ามาพูดคุยและขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งนายนิธิกรเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มแจ้งปัญหาให้กับพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งน้ำท่วม แจ้งทางเท้ามีปัญหา ล่าสุดนายนิธิกรได้เปิดตัวเว็บแจ้งปัญหาส่วย ร่วมกับนายวิโรจน์ ซึ่งเป็นนโยบายข้อ ที่ 12 เจอส่วยแจ้งผู้ว่าฯ สร้างกรุงเทพโปร่งใสไร้คอร์รัปชัน ซึ่งหากได้รับเลือกตั้งก็พร้อมเปิดให้บริการประชาชนในทันที
 

‘โรม’ เปิดตัวหนังสือ ‘เรียนประชาชนที่เคารพ’ หวังปลุก ส.ส.กล้าเปิดโปงความผิดในสังคม

รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล เผยชีวิต ความคิด และเรื่องราวการต่อสู้ทางการเมืองตลอดช่วงที่ผ่านมา จากนักกิจกรรมสู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พร้อมเปิดตัวหนังสือ ‘เรียนประชาชนที่เคารพ’ รวมบทอภิปรายไม่ไว้วางใจ กรณีตั๋วช้างและป่ารอยต่อ ที่อยากชี้ให้เห็นใจกลางของปัญหา หวังนักการเมืองทุกคนมีความกล้า ร่วมเปิดโปงความผิดปกติของสังคมไทยอย่างไม่ต้องกลัว เพราะประชาชนจะยืนเคียงข้างไปด้วยกัน

รังสิมันต์ กล่าวว่า ชื่อหนังสือเรียนประชาชนที่เคารพ เป็นความตั้งใจที่จะสื่อสารกับประชาชน เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นรวมบทอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีป่ารอยต่อและกรณีตั๋วช้าง โดยกรณีแรกต้องอภิปรายนอกสภา กรณีหลังอภิปรายไม่จบ ดังนั้น การตั้งชื่อจึงสื่อถึงการพูดกับประชาชนโดยตรง เปิดโปงให้ประชาชนได้รับรู้ เมื่อรู้แล้วจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และจะทำให้สังคมไทยไม่กลับไปสู่จุดนั้นอีก ทั้งนี้ สิ่งที่ทำให้กล้าอภิปรายเรื่องป่ารอยต่อ เรื่องตั๋วช้าง มาจากความคิดว่า อยากทำให้ประเทศนี้เปลี่ยนแปลง 

'ก้าวไกล' โว!! คว้าเก้าอี้ ส.ส.เขตอีสานไม่ต่ำกว่า 15 ที่นั่ง มั่น!! ทิศทางการทำงานตอบโจทย์พี่น้องเสื้อแดงมากสุด

ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการ 'พรรคก้าวไกล' มั่นใจได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 15 เขต เชื่อผลงานที่ผ่านมาประชาชนให้การยอมรับ และรอบนี้มีเวลาทำงานในพื้นที่มากขึ้น ขณะที่อีสานตอนบน จ.อุดรธานี เมืองหลวงของคนเสื้อแดงนั้น สามารถปักธงได้เกินกว่า 2 เขตแน่นอน เพราะทิศทางการทำงานของพรรคก้าวไกลตอบโจทย์พี่น้องเสื้อแดงมากที่สุด

ที่จังหวัดอุดรธานี นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวในการอบรมสัมมนาว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ว่า เรามีความมั่นใจในพื้นที่ภาคอีสานสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอย่างมาก โดยพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เรามั่นใจว่าจะสามารถชนะเลือกตั้งได้มีไม่ต่ำกว่า 15 เขต เนื่องจากที่ผ่านมาเราได้พิสูจน์การทำงานให้พี่น้องเห็นมาแล้วตั้งแต่ครั้งยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ มาจนเป็นพรรคก้าวไกลในวันนี้ ประชาชนทั่วประเทศให้การยอมรับ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน พรรคก้าวไกลมีคะแนนความนิยมสูงขึ้นมาก ได้รับการยอมรับทั้งความหนักแน่น ความชัดเจนในทางการเมือง ศักยภาพของนักการเมืองรุ่นใหม่ที่จะสามารถบริหารประเทศได้ รวมถึงเรายังมีนโยบายที่จะตอบโจทย์ครบเครื่องทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสวัสดิการชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน

ผู้สมัคร ‘ส.ก.ก้าวไกล’ โวย กกต. ตีความเป็น ‘เจ้าของสื่อ’ อาจเสียโอกาสลงเลือกตั้ง ทั้งที่ยุติบทบาทไปนานแล้ว

ต่อกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีประกาศตัดสิทธิ์ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร 1 ราย และผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพ (ส.ก.) 3 ราย หนึ่งในนั้นปรากฏชื่อ พีรพล กนกวลัย ผู้สมัคร ส.ก. หมายเลข 7 พรรคก้าวไกล โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากตรวจสอบพบว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 50 (3) แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 “เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ”

พีรพล หรือ ‘เฮียเล้า’ ให้ความเห็นว่า กรณีที่เกิดขึ้นเสมือนว่ากำลังมีการใช้ข้อหาความเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาเดิมๆ มาเล่นงานผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลอีกครั้ง ยอมรับว่า เคยยื่นจดแจ้งการพิมพ์หนังสือพิมพ์ หรือเป็นเจ้าของกิจการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา และบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ ‘ท่องธรรมชาติ’ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 จริง แต่ได้พิมพ์ออกมาเพียง 6-7 ฉบับ และยุติกิจการในปีเดียวกัน พูดง่ายๆ คือ เคยทำสื่อเมื่อ 28 ปีก่อนและได้หยุดดำเนินการไปนานแล้วโดยไม่พิมพ์ต่ออีกเลย กรณีนี้ถึงไม่มีการแจ้งยกเลิก แต่ตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 45 ระบุว่า หนังสือพิมพ์รายวัน ถ้ามิได้ออกโฆษณาต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาสามสิบวัน หรือหนังสือพิมพ์รายคาบ ถ้ามิได้ออกโฆษณาต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาสี่คราวหรือเกินกว่าสองปี การเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการ และเจ้าของหนังสือพิมพ์นั้นเป็นอันสิ้นสุดลง

พีรพล ย้ำว่า ความเป็นเจ้าของสื่อของตน ได้สิ้นสุดลงไปแล้วตั้งแต่ปี 2539 เป็นอย่างน้อย ต่อมา เมื่อมี พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 เปลี่ยนจากการที่เคยต้องจดแจ้งต่อสันติบาล เป็นหอสมุดแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ก็ไม่เคยมีการไปขอจดแจ้งใหม่ เมื่อความเป็นเจ้าของสิ้นสุดเด็ดขาดลงตามข้อกฎหมายไปนานแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงยังมีชื่อความเป็นเจ้าของปรากฏอยู่ตามกฎหมายใหม่

'ณัฐชา' ชี้!! รัฐประกาศส่งๆ ให้คนกลับบ้าน ไร้มาตรการรองรับ วอน!! เชื่อกันสักครั้งก่อนติดเชื้อหลักแสน 

ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพ และโฆษกพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-19 ว่า ในขณะที่มีตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงกว่าร้อยรายติดต่อกัน 4 วัน โดยกลุ่มที่น่าห่วงที่สุดคือผู้สูงอายุและเด็ก

นอกจากนี้ ยังมีคำเตือนจากฝ่ายสาธารณสุขว่า หลังเทศกาลสงกรานต์จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่าแสนรายต่อวัน แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้รัฐบาลจะเลิกสนใจความสูญเสียของพี่น้องประชาชนไปหมดแล้ว จึงไม่เห็นความตื่นตัวที่จะออกมาตรการรับมือใดๆ นอกจากการประกาศส่งๆ ให้ประชาชนกลับบ้านและให้ระมัดระวังตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนทำกันเองอยู่แล้ว

ณัฐชา กล่าวว่า เหตุผลที่รัฐบาลเลิกสนใจชีวิตประชาชน คงเพราะบริหารประเทศล้มเหลวจนใกล้ถังแตกเต็มที จึงต้องผ่อนคลายทุกมาตรการและมุ่งเดินหน้าไปสู่การประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น จึงทำเหมือนการตายวันละร้อยคนเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใส่ใจ ซึ่งในความเป็นจริงสถานการณ์ยังน่ากังวลมาก โดยเฉพาะการที่ยังมีประชาชนอีกจำนวนมากไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น และในกลุ่มเด็กก็ยังเข้าถึงวัคซีนลำบาก ไม่รู้จะไปรับวัคซีนเด็กที่ไหน การประชาสัมพันธ์ก็น้อย ส่วนเด็กต่ำกว่า 5 ปี ก็ยังไม่สามารถรับวัคซีนได้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top